หากนับปีประวัติศาสตร์ของโลกไดม่อน ถือว่าพึ่งมีมาได้เพียงแค่ 125 ปี เท่านั้น
หรือก็คือเป็นดาวเกิดใหม่อายุ 700 กว่าปี ที่พึ่งจะเริ่มสร้างอารยะธรรมมาได้เพียง 125 ปี
หลายทวีป จึงนับเป็นทวีปเกิดใหม่ที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ
บ้างก็ด้วยเหตุผลทางธรรมชาติ
บ้างก็ด้วยระดับความอันตรายของการพัฒนาพื้นที่อาศัย
ทวีปออโรร่าเองก็ไม่ต่างกัน
ทวีปขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ใกล้แถบขั้วแม่เหล็กเหนือของดวงดาวแห่งนี้ พึ่งจะถูกค้นพบและพัฒนาเป็นถิ่นอาศัยได้เพียง 100 ปีเท่านั้น
ผู้ที่เป็นหัวหอกของการสำรวจและบุกเบิกดินแดนในอดีต คือสองพี่น้องเผ่ามนุษย์ [เอซ] กับ [ดิวซ์]
พวกเขาคือบุตรชายและบุตรสาวของยอดวีรบุรุษเผ่ามนุษย์ [เอรีส] กับ [แอร์บาส์ร] ที่ได้ถูกจารึกลงไปในประวัติศาสตร์ของโลก
เป็นผู้ที่ก่อตั้งเมืองแรกของเผ่ามนุษย์ที่ปกครองโดยเผ่ามนุษย์ จนเผ่ามนุษย์ได้ทวีปออโรร่ามาครอบครองเป็นของตัวเองอย่างชอบธรรม
ถึงกระนั้น ตั้งแต่ที่พวกเขาได้ครอบครองทวีปออโรร่ามาร่วม 100 ปี ก็ยังคงมีพื้นที่บางส่วน ที่ไม่ได้รับการบุกเบิกจนถึงทุกวันนี้
“พื้นที่เขตเหนือสุดของทวีปอีกกว่าห้าในสิบของพื้นที่ทั้งหมด มันจำเป็นต้องมีบันทึกช่วงสุดท้ายของพวกเขา! ”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายของทีมนักสำรวจที่ถูกส่งออกไปเพื่อบุกเบิกพื้นที่เพื่อการเกษตรและอยู่อาศัย
ต่อหน้าธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ แม้แต่รถถัง เครื่องบินรบ ดาวเทียมทางการทหาร ก็ยังมีพื้นที่บางส่วนที่พวกเขาไม่อาจสามารถพิชิตชัยได้
“พวกเราจะเป็นผู้สำรวจให้เอง! ”
ดังนั้น เพื่อประโยชน์ของเผ่ามนุษย์ ในช่วงบั้นปลายชีวิตของวีรบุรุษเผ่ามนุษย์ [เอซ] กับ [ดิวซ์] ที่ควรใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างสงบ จึงต้องออกเดินทางอีกครั้ง
พวกเขาใช้เวลาออกสำรวจนานถึง 10 ปี และสามารถพิชิตชัยเขตเหนือสุดของทวีปทั้งหมดได้สำเร็จ
พวกเขาได้กลับมาสู่เมืองบ้านเกิด
พวกเขาได้ประกาศชัยชนะของเผ่ามนุษย์
ทุกคนต่างเฉลิมฉลอง รอคอยที่จะได้เห็นผลลัพธ์ของการสำรวจที่ยาวนานถึงสิบปีของพวกเขา
แต่ทว่า—
ก่อนที่พวกเขาจะได้ตีพิมพ์ข้อมูลที่เก็บมาได้
ก่อนที่พวกเขาจะได้แสดงผลลัพธ์ของการผจญภัยให้โลกได้เห็น
สองวีรบุรุษ กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย…
สองวีรบุรุษไม่ได้แต่งงาน พวกเขาจึงไร้ผู้สืบทอด
ไม่มีใครล่วงรู้ว่าพวกเขาทั้งสองคนหายไปไหน
ไม่มีใครได้เห็นผลลัพธ์ของการผจญภัย
สิ่งที่พวกเขารู้ คือสถานที่สุดท้ายก่อนพวกเขาจะหายตัวไป คือ [บ้าน] ของพวกเขาที่ตั้งอยู่ใจกลางทุ่งออโรร่าแถบใจกลางของทวีป
สถานที่ซึ่งพวกเขาใช้เป็นฐานบัญชาการในการสำรวจทวีปเขตทางตอนเหนือ
พวกเขารู้เพียงแค่นั้น—
***ณ พื้นที่ใจกลางทวีปออโรร่า***
ปีที่ 80
ปีเดียวกับที่สองวีรบุรุษเอซกับดิวซ์หายสาบสูญ
บนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยธรรมชาติไร้สิ่งปลูกสร้างของมนุษย์
“หัวหน้า คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ? ทำไมท่านเอซกับดิวซ์ถึงหายตัวไปอย่างลึกลับแบบนี้กันละครับ? ”
“ถ้ามข้าแล้วข้าจะไปถามใครวะ? ไม่มีใครรู้หรอก! อีกอย่าง ถึงจะเป็นวีรบุรุษ แต่ก็แก่ตายเป็น พวกเขาชราภาพขนาดนั้นแล้ว อาจหมดอายุขัยพร้อมกันอยู่ที่บ้านแบบเงียบ ๆ ก็ได้ เพราะแบบนี้ พวกเราถึงต้องถ่อมาที่ใจกลางทวีปเพื่อสืบหาความจริงยังไงละ”
“ให้ตายเถอะ ทำให้ทุกคนลำบากกันหมด แทนที่จะไปปลูกบ้านอยู่ในตัวเมืองเหมือนคนอื่น… คิดยังไงของสองตายายกันนะ? ”
กลุ่มทหารหนุ่มสาวเผ่ามนุษย์ในชุดเกราะผ้าสีขาวจำนวนสิบสองคน ต่างกำลังพูดคุยกันอย่างออกรสอยู่บนยานเหาะทรงปลาโลมาที่กำลังบินเลียบพื้นเหนือทุ่งหญ้าสีขาว
พระอาทิตย์สีแดงทรงกลมสองดวงสาดแสงกระทบเหนือยานเหาะ ก่อตัวเป็นเงาสองแฉก วิ่งตัดผ่านทุ่งหญ้า จากทางใต้ไปสู่ทางเหนือ
เหล่าสัตว์ร้ายน้อยใหญ่ล้วนรีบมุดแทรกตัวหนีไปในพงหญ้า หลีกหนีอสูรเหล็กไหลที่ส่งเสียงกังวาลรบกวนโสตประสาท
“เริ่มเข้าเขตทุ่งหญ้าสีแดงแล้ว ใกล้ถึงเป้าหมายแล้วครับหัวหน้า”
“หลังจากนี้จะเข้าสู่เขตสัตว์ดุร้ายยิ่งยวด ทุกคนเตรียมพร้อมรบ เปิดระบบ [battle suit] ได้! ”
“รับทราบครับ! ”
เสียงขับขานอันเข้มแข็งดังสั่นสะท้านไปทั่วคันรถ
ชุดทหารสีขาวที่พวกเขาสวม ฉับพลันดูแข็งกร้าวราวกับเป็นแผ่นโลหะ
ผิวที่ดูเรียบบอบบาง ฉับพลันเรียงตัวเป็นเกล็ดทรงรวงน้ำผึ้ง
ปืนกระบอกโตที่ยาวไม่ต่ำกว่าหนึ่งเมตร หนักไม่ต่ำกว่า 200 กิโลกรัม ถูกหยิบขึ้นมาควงอย่างรวดเร็วราวกับเป็นการควงท่อนไม้โปร่ง ก่อนนำมาถือด้วยสองมือพร้อมขึ้นเหนี่ยวไกยิง
หัวใจของพวกเขากำลังฮึกเหิม
“… หัวหน้าครับ วันนี้มีหมอกลงหรือครับ? ”
แต่ทว่าความฮึกเหิมนั้น กลับถูกขัดจังหวะด้วยคำถามโง่ ๆ ของนายทหารที่กำลังควบคุมคันบังคับของรถอยู่
“พูดบ้าอะไรของแกวะ? ที่ใจกลางทวีปนี้มันไม่มีทางที่จะมีหมอก—”
ชายคนที่เป็นหัวหน้าถึงกับหยุดพูดกลางคัน
หมวกเกราะที่สวมบิดบังใบหน้าของเขา กำลังสะท้อน [หมอก] ขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็น
มันเป็นหมอกที่มีขนาดใหญ่มาก
ใหญ่จนเห็นเป็นหน้าผาสีเทาซึ่งมีความสูงกว่า 200 เมตร
มันปกคลุมไปทั่วทุกตารางนิ้ว จนเสมือนหนึ่งถูกเอาผ้าม่านผืนยักษ์มากางลงปกคลุมเอาไว้
มันหนาทึบจนแม้แต่แสงอาทิตย์ก็ยังไม่อาจส่องทะลุผ่าน
จากความทรงจำของนายทหารทั้งสิบสองคนที่ใช้ชีวิตอยู่บนทวีปนี้มาทั้งชีวิต พวกเขาไม่เคยจำได้ว่ามีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อนที่เขตภูมิภาคกลางของทวีป
ทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาได้?
“หัวหน้าครับ! มีข้อมูลพึ่งส่งเข้ามาจากทางหน่วยหลัก แจ้งว่าอยู่ ๆ ที่ใจกลางทวีปก็มีหมอกขนาดยักษ์ปกคลุมไปทั่วบริเวณครับ! พวกเขาแจ้งว่าการสำรวจอาจเป็นอันตราย พวกเขาอนุญาตให้พวกเราถอนกำลังกลับไปเตรียมตัวใหม่ได้ จะเอายังไงดีครับ? ”
“…”
ชายที่ถูกเรียกว่าหัวหน้ากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
พวกเขาเดินทางมาถึงที่หมาย แล้วจะบอกว่าให้เขาหันหลังกลับเช่นนั้นหรือ?
คิดว่าการออกเดินทางระยะไกลในดินแดนห่างไกลแบบนี้ ต้องเสียทั้งเวลาและงบประมาณทางการทหารไปตั้งเท่าไหรกัน?
“ชีวิตนั้นสำคัญกว่าแต่จะให้กลับไปมือเปล่าเลยคงไม่ดี… งั้นเปลี่ยนเป็นสำรวจรอบ ๆ พื้นที่หมอกแทนแล้วกัน”
ถ้าไม่เข้าไปข้างใน คงไม่น่าจะเป็นอันตรายอะไร
นั่นคือสิ่งที่เขาคิด
อสูรเหล็กสีเงินเริ่มหยุดตัวลงจอด โดยทิ้งระยะห่างออกมาจากหมอกสีเทาราวสองร้อยเมตร
เวลาเดียวกัน ฝูงบินโดรนก็ถูกปล่อยออกไป
เสียงใบพัดจากโดรนที่ดังกระหึ่มเริ่มเบาเจือจาง ก่อนจะหายลับเข้าไปในกลุ่มม่านหมอกตรงหน้า
“พบอะไรไหม? อย่างเช่นสัตว์ยักษ์ที่ปล่อยม่านหมอกได้ หรือวัตถุธรรมชาติที่ปล่อยม่านหมอกได้อะไรแบบนั้น? ”
“ยังไม่พบสิ่งผิดปกติเลยครับ”
พวกเขาสำรวจพื้นที่ด้วยวิธีเช่นนี้ กินเวลาไปร่วมหนึ่งชั่วโมงเต็ม
จากความวิตกกังวลได้เปลี่ยนเป็นความเบื่อหน่าย
ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นอกจากหมอก หมอก แล้วก็หมอกสีเทาที่ปรากฏตรงหน้าอย่างผิดธรรมชาติ
บางที หากรอต่อไป หมอกมันอาจจะจางหายไปเองก็ได้กระมั้ง?
อีกหนึ่งชั่วโมงผ่านไป
สองชั่วโมง
จนกระทั้งสามชั่วโมง
หมอกตรงหน้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจางบางตาลง
มิหน่ำซ้ำ มันยังกลับหนาทึบมากขึ้น จนแม้แต่โดรนที่ส่งเข้าไป เริ่มจะถ่ายภาพได้เพียงระยะจากผิวหน้ากล้องแค่ 2 เมตร
“ทำไมหมอกมันหนาทึบขึ้นฟะ? เริ่มชักรู้สึกไม่ดีแล้ว เรียกโดรนกลับมา พวกเราจะไปกันแล้ว! ”
ชายผู้เป็นหัวหน้าเริ่มรู้สึกเป็นกังวล
ความรู้สึกของเขาในเวลานี้ แทบไม่ต่างไปจากการต้องไปอาศัยอยู่ในป่าโดยไร้ซึ่งอาวุธปกป้องตัวเอง
เป็นความรู้สึก— ที่เหมือนกับกำลังถูกสัตว์นักล่ากำลังจ้องมองอยู่เช่นนั้น
“ได้ครับ—”
*บรึ้ม! *
เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากในม่านหมอก พร้อมกับที่ภาพของโดรนตัวที่หนึ่งขาดหายไป
*บรึ้ม! **บรึ้ม! **บรึ้ม! **บรึ้ม! *
ภาพของโดรนตัวที่สอง สาม สี่ และ ห้า เริ่มขาดหายอย่างต่อเนื่อง
*ฮูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม! *
เสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่สั่นสะเทือนได้แม้แต่แผ่นดิน ดังคำรามลั่น…
“เชี่ย! ไม่ต้องสนใจโดรนแล้ว เปิดเครื่องยนต์ เหยียบให้มิด หนีออกจากพื้นที่เดียวนี้! ”
ต่อให้ไม่ต้องมีคำสั่ง มือของนายทหารบังคับรถก็บิดเครื่องยนต์พร้อมเหยียบคันเร่งไปก่อนแล้ว
อสูรเหล็กสีเงินเริ่มบินขึ้นสูงเหนือพื้นหญ้า เป่าสายลมแรงออกรอบสี่ทิศทาง
มันหมุนตัวเองใจกลางอากาศ 180 องศา แล้วระเบิดท่อไอพ่นขับดันฉุกเฉิน คำรามแผดเผาแสงไฟสีเงิน พุ่งตัวทะยานไปด้วยความเร็วกว่า 40,320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ราวกับรับรู้ว่าเหยื่อกำลังจะบินหนีลาจาก
หมอกที่อยู่ด้านหลังกำลังเริ่มเปลี่ยนรูปร่าง…
หน้าผาสีเทาที่ปกคลุมแผ่นดินฉับพลันมีรอยนูนปรากฏ
รอยนูนนั้นผุดยืดยาวออก กลายเป็นเกลียวคล้ายพายุขนาดใหญ่ที่มากพอจะกลืนกินสนามฟุตบอลได้ทั้งผืน
เจ้าเกลียวพายุนั้นมันยืดออก แล้วพุ่งไล่ตามอสูรเหล็กสีเงินที่กำลังบินเลียบไปบนทุ่งหญ้าสีแดง
เงาของเกลียวพายุที่ไล่ตามหลังเริ่มทอดตัวผ่านรถทั้งคัน ปกคลุมพื้นที่จนมืดบอดดั่งเป็นช่วงเวลากลางคืน
“เหวอออออ————————–!!!! ”
เพราะรู้ตัวว่าไม่สามารถหนีได้ทัน
ชายที่เป็นคนขับรถรีบสละคันบังคับ แล้วกระโดดทิ้งตัวหนีออกจากรถไปในทันที
ร่างกายของเขาล้มกลิ้งไปตามแรงเฉือย หมุนตัวหลายร้อยตลบไปตามพื้นหญ้าด้วยความเร็ว 40,320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปล่อยให้ชุดเกราะดูดซับแรงกระแทกจนขึ้นเครื่องหมายเตือนสีแดง
พุ่งม้วนตัวจนโลกสับสนไร้การรับรู้ทิศทาง
เสียงเตือนภัยร้ายจากชุดเกราะดังกู่ก้องจนไม่อาจรับรู้เสียงของโลกภายนอก
ทั่ววิสัยทัศน์เต็มไปด้วยแสงสีแดงจนต้องปิดตาไม่รับรู้สิ่งที่ควรต้องจับจ้อง
*กึก…*
ยามเมื่อทุกอย่างสงบลง
“ทะ— ทุกคน? ”
ทหารผู้รอดชีวิตก็พบว่ามีเขาล้มตัวนอนอยู่บนทุ่งหญ้าสีแดงเพียงคนเดียวเท่านั้น
เหลือเพียงผู้เดียว— กับยานเหาะเหล็กกล้าทรงปลาโลมาที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน…
***
“เพราะทุกคนต่างคิดเหมือนกันว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่ [บ้าน] ของพวกเขา รวมไปถึงมีข้อมูลการสำรวจเขตทวีปตอนเหนือที่พวกเขาอยากรู้ เลยส่งคนออกไปค้นหาความจริงที่ใจกลางทวีป แต่ไม่มีครั้งไหนที่มีใครสามารถไปถึงบ้านหลังนั้นได้สำเร็จอีกเลย นับตั้งแต่ปีที่ 80 เป็นต้นมาครับ”
“ล้มเหลวตั้ง 10 ครั้งเลย? พอจะทราบสาเหตุไหม? ”
“ไม่มีใครรู้ครับ ตามที่บันทึกเอาไว้ เห็นว่าทุกคนมักถูก [หมอก] เข้าโจมตี แล้วหายตัวไปอย่างลึกลับครับ แม้แต่เครื่องบินเองก็ไม่รอด เคยมีครั้งหนึ่งใช้แคปซูลทิ้งตัวลงมาจากอวกาศ ยังถูกทำให้หายเหลือแต่เครื่องแคปซูลว่างเปล่าทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้าครับ มันลึกลับและอันตรายขนาดที่ว่าเคยส่งกองทัพขนาดหนึ่งกองพันไป ยังไม่มีใครสามารถรอดกลับมาได้แม้แต่คนเดียวเลยครับ”
“แล้วภาพถ่ายทางอากาศละ? ”
“ถ่ายไม่ได้ เพราะเจ้าหมอกผิดธรรมชาติที่อยู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาเข้าปกคลุมครับ ทั้งที่ตอนที่สมัยวีรบุรุษยังมีชีวิตอยู่ แถวใจกลางทวีปยังไม่มีหมอกปกคลุมเลยแท้ ๆ และเป็นเพราะมีหลายอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ให้คำตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นใจกลางทวีปไม่ได้ ทุกคนเลยพากันบอกว่ามันเป็นดินแดนที่ถูกสาปโดยเทพเจ้าทั้งสามครับ ”
อันนี้ไม่ใช่ฝีมือของพวกเราซักหน่อย!
ก็… อยากจะตบมุขแบบนั้นอยู่หรอก แต่ขอเก็บเอาไว้ในใจไปก่อนแล้วกัน
เรากล่าวขอบคุณพนักงานชายสวมสูทอย่างพอเป็นพิธีแล้วรีบเผ่นออกจากสำนักงานพร้อมกับทุกคน
ให้ตายเถอะ ยังไงก็ไม่ชอบสถานที่มีคนเยอะจริง ๆ นั่นละ
“พวกเธอเข้าใจหรือยัง ว่าทำไมพวกเราถึงต้องมาหาข้อมูลจากสำนักงานจัดหางานนะ? ”
“? ”
[? _?]
เออ… ถ้าจะเขียนแค่ [? _?] มันไม่จำเป็นต้องเขียนก็ได้นะเทพไร้หน้า…
“ให้ตายเถอะ งั้นเราขออธิบายแบบนี้แล้วกัน”
เราพาจอมงี่เง่าสองคนไปนั่งตรงร้านกาแฟริมทางร้านหนึ่งที่ดูสงบไร้ผู้คน
มันเป็นร้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมถนน ประดับด้วยดอกมะลิสีขาวไปทั่วหน้าร้าน จนแทบจะนึกว่าเป็นร้านขายดอกไม้
“ก่อนอื่น—”
“จะรับอะไรดีคะ? ”
“—กาแฟสามแก้ว… ก่อนอื่นเลย โลกนี้นะมันถูกขับเคลื่อนด้วย—”
“จะรับเค้กเพิ่มไหมคะ? ”
“—เอาสามก้อน… โลกนี้นะ มันถูกขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ แม้แต่เวทมนตร์เองก็ถูกใช้—”
“จะรับครีมราดด้วยไหมคะ? ”
“—… ร้าดหมดทุกหน้า มีอะไร ราดมาให้หมด! ราดอย่างละหนึ่งช้อนชาพอ! ไม่เอาหวานมาก! เอาแค่นี้! ว่าไง! พอใจหรือยัง!? หมดคำถามแล้วใช่ไหม! ถ้าหมด ก็รีบไปได้แล้ว! ”
“ขะ— ขออภัยด้วยค่ะ!!! ”
พนักงานร้านสาวจอมจุ้นรีบวิ่งหายลับเข้าไปที่หลังร้านอย่างรวดเร็ว
ให้ตายเถอะ ถามอะไรเซ้าซี้น่ารำคาญชะมัด
“… โอเค มาต่อกัน โลกนี้มีระดับเทคโนโลยีที่สูงมาก ระดับที่สามารถค้นพบรูปแบบการทำงานของเวทมนตร์ด้วยหลักการวิทยาศาสตร์ได้”
เราอธิบายไปพร้อมกับหยิบก้อนน้ำตาลขึ้นมาหมุนเล่นบนปลายขนปีกของตัวเอง
“พูดง่าย ๆ คือ ทั้งที่มีเทคโนโลยีระดับนี้ แต่กลับไม่สามารถอธิบาย แก้ปัญหา หรือตอบคำถามของปรากฏการณ์ที่เกิดตรงใจกลางทวีปได้ มันก็มีความเป็นไปได้สูง ที่ต้นเหตุของความแปลกประหลาดนั้นจะเกิดจาก [วิญญาณหลง] ยังไงละ”
[วิญญาณหลง] หรือก็คือดวงวิญญาณที่ไม่ยอมไปสู่โลกของคนตาย
ในบางกรณี ก็เป็นพวกวิญญาณที่หลบหนีมาจากโลกของคนตายเพื่อมาอาศัยอยู่ในโลกของคนเป็น
เป็นดวงวิญญาณประเภทที่อยู่ในสถานที่มันไม่ควรจะอยู่ เลยส่งผลให้เกิดความผิดปกติในมิติโลกคนเป็น
สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นจากผลกระทบของมิติโลกคนตาย ยังไงก็ไม่มีทางที่จะใช้หลักการวิทยาศาสตร์มาอธิบายได้อยู่แล้วจริงหรือเปล่าละ?
“สรุปคือแค่ถามหางานแปลก ๆ เดียวก็จะได้เจอกับวิญญาณหลงเอง เป็นแบบนั้นสินะ? ”
[ไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่คิดเหมือนกับ ลาพิส]
โอเค…
ยัยพวกนี้โง่ของจริงนี่หว่า!?!
ใช้เวลากับยัยพวกนี้มาร่วมเกือบ 2,000 ปี ก็พึ่งจะรู้ตัวตอนนี้เนี่ยแหละ!
สมัยตอนเป็นเทพเจ้าก็ว่าอยู่ ว่าทำไมเวลามีอะไรที่ต้องใช้ความคิด ยัยพวกนี้ถึงมักบ่ายเบียงมาให้เราทำเองตลอด
ตอนแรกก็นึกว่าเป็นแค่พวกขี้เกียจใช้สมอง แต่จริง ๆ คือไม่มีสมองเลยสินะ?
“รู้สึกเหมือนจะถูกใครบางคนด่าอยู่เลยแฮะ”
[ถูกด่าอยู่ ค่ะ!]
แต่ทีกับเรื่องแบบนี้หัวไวนักเชียว…
เราทำเป็นไม่สนใจพวกเธอสองคนที่กำลังหรี่ตามองมาทางเราด้วยความสงสัย
“อาหารที่สั่งได้แล้วค่ะ”
แล้วเริ่มลงมือทานเค้กกับกาแฟตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ เพื่อรักษาความปลอดภัยของชีวิตตัวเองเอาไว้
MANGA DISCUSSION