หูของฉันไม่อาจได้ยินเสียงใด ๆ แม้ว่าตรงหน้าจะเต็มไปด้วยเสียงหวีดร้องของผู้คนกับเสียงคำรามของสัตว์ประหลาด
สมองไม่อาจตระหนักรู้สิงใด เพราะมันกำลังรีดเร้นตรรกะความคิด เพื่อพิจารณาหาคำตอบในสิ่งที่ตัวเองกำลังมองเห็น
อาหาร [หัน] จานนั้นมันคืออะไร?
ทำไมสิ่งนั้นถึงมีรูปร่างเหมือนฉันราวกับเป็นฝาแฝด?
สิ่งหนึ่งที่ฉันคิดได้—
บางที—
บางทีคุณซิงเคไนต์—
“ไม่จริง… ไม่น่าเป็นไปได้…”
ความเป็นไปได้เดียวที่พอจะนึกออก คือการใช้เทคโนโลยีโคลนที่ถูกสหภาพระหว่างเผ่าและดวงดาวสั่งห้ามทำหรือวิจัยหลังจากจบสงครามครั้งใหญ่เมื่อ 100 ปีก่อน—
คุณเสือกินคนเขาอาจจะมีวิธีเข้าถึงเทคโนโลยีโคลนที่ว่า แล้วทำเรื่อง—
แต่ว่าเทคโนโลยีนี้มันถูกสั่งห้าม—
แต่ว่าความจริงตรงหน้ามัน—
ทำไม— ถึงมีฉัน—
มีตัวฉันที่ถูก—
“…”
หรือว่า… ความจริงแล้วตัวฉัน…
ตัวฉันที่ยืนอยู่ตรงนี้ใช่ [ตัวจริง] หรือเปล่า?
ฉัน… คงไม่ใช่ร่างโคลนหลอกใช่ไหม?
ความทรงจำของตัวเอง— คงไม่ใช่สิ่งที่ถูกจงใจสร้างขึ้นมาหรอกใช่ไหม?
ตัวฉันตรงนี้…
“ตะ— ต้อง. . . รายงาน. . .พวกพี่สาว…”
ฉันตั้งสติแล้วบรรจงนิ้วต่อสายถึงพวกพี่สาว—
—*ตุ๊ด*
“สวัสดี เจออะไรผิดปกติหรือน้องไซน์”
เสียงพี่สาวเอโซดังผ่านลำโพงอย่างใจเย็น
ใจเย็นจนน่าขนลุก
“พี่ค่ะ… คือ… คือว่า—”
ฉันต้องรายงานเรื่องสัตว์ประหลาด [หัว] ที่กำลังโจมตีใส่เรือ
“คือว่าพวกคาร์นิวอย พวกเขา… มีอาหารที่ดูคล้ายกับฉัน… ถูกทำเป็นอาหาร… วางอยู่ทางประตูหลัง… ค่ะ…”
แต่ทว่าฉันกลับรายงานเรื่องอาหารของพวกคาร์นิวอยแทน
ฉันได้ยินเสียงถอนหายใจของพี่สาวดังผ่านโทรศัพท์ ก่อนจะเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็นกลับมา
“แล้วมีอะไรอย่างอื่นที่จะรายงานมาอีกไหม? ”
“เออ…? ค่ะ… [หัว] … มีสัตว์ประหลาดแปลก ๆ ที่ดูคล้ายหัวของตัวบางอย่าง แต่ก็ไม่เหมือนหัว กำลังไล่กินคนอยู่ค่ะ…”
“ฉันเห็นจากห้องสะพานเรือตรงนี้แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก ตราบเท่าที่เธอยังสวมผ้าคลุมของวิหารที่ฉันลงอุปกรณ์ป้องกันเอาไว้ให้ พวกมันไม่มีทางเข้าโจมตีใส่เธอแน่นอน กลับไปเฝ้าระวังต่อได้”
“ค่ะ? ”
แค่นี้?
เรื่องที่พี่สาวจะพูดกับฉันมันมีแค่นี้?
เอาจริงดิ?
“พี่ค่ะ คือว่า… เรื่องอาหารของพวกคาร์นิวอย—”
“รู้แล้ว พวกมันคงโคลนเธอมาทำเป็นอาหารกินกันนั่นละ อย่าไปสนใจให้เสียเวลาเลย”
ไม่สนใจได้ที่ไหนละค่ะ!
ฉันเริ่มชักจะรู้สึกโกรธพี่เอโซแล้วนะ!
แล้วทำไมเรื่องใหญ่ขนาดนี้ พี่ถึงฟังดูใจเย็นได้ขนาดนี้กันค่ะเนี่ย!?
ถ้าไม่รู้มาก่อนล่วงหน้า คงไม่มีทางใจเย็น—
[รู้มาก่อนล่วงหน้า]
หรือว่าบันทึกที่ฉันเก็บมาเล่มนั้นมัน…
” พี่… พี่— รู้อยู่แล้ว…”
“… ฉลาดดีนี่? ใช่ ฉันรู้อยู่แล้ว จากบันทึกที่เธอเอามาให้นั่นละ”
“พี่ค่ะ… ทำไม… ทำไมถึงไม่บอก—”
“…นั่นสินะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ทั้งที่รู้ดีว่าถ้าพามาด้วย เธอจะต้องเจอความจริง ทั้งที่รู้อยู่แล้ว แต่ฉันก็รู้สึกว่าไม่ควรบอกเธอ เรื่องนี้น่าแปลกใจจริง ๆ ด้วยสิ ฉันยังแปลกใจกับตัวเองเลย”
“…”
อะไรของพี่สาวกันค่ะเนี่ย…
“แล้ว… เรื่องสัตว์ประหลาดที่มีแต่หัวพวกนี้… พี่เองก็ดูใจเย็นมาก… เรื่องนี้พี่เองก็รู้มาตลอดว่าจะเกิดขึ้นเหมือนกันใช่ไหมคะ? ”
“ถูกต้อง เพราะมันอยู่ในแผนการของฉันมาตั้งแต่แรกแล้ว”
“คิดที่จะปล่อยให้พวกคาร์นิวอยตายโดยไม่ช่วยหรือคะ? ”
“จำเป็นต้องช่วยพวกมันด้วยหรือ? นึกว่าเธอเองก็อยากแก้แค้นพวกเขาเสียอีก”
“เรื่องนั้นมัน… งั้น— แล้วพวกพี่สาวกระต่ายกับพี่ชายมนุษย์ที่บังเอิญมากับพวกเราละคะ! พวกเขาไม่รู้อะไรเลย— ไม่มีชุดป้องกันแบบฉันหรือพวกพี่สาว พี่สาวตั้งใจจะปล่อยให้คนดีแบบพวกเขาตายเหมือนกันหรือคะ!? ”
“นั่นสินะ ถ้าถูกพวกหัวกินไปคงตายจริง ๆ นั่นละ แต่จำเป็นต้องสนใจด้วยหรือ? พวกนั้นอยากตามมากันเอาเองนี่น่า? ”
“พี่พูดแบบนี้ได้ยังไง! พี่สาวไม่ใช่ฮีโร่หรอกหรือค่ะ!?!”
ฉันรู้สึกเจ็บหัวใจมาก เหมือนกับตอนที่รู้ความจริงว่าโดนคุณเสือกินคน ซิงเคไนต์ หลอก
เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดใจแบบเดียวกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ไม่ใช่ว่าฉันกับยัยแมรี่โกลว์บอกเธอทั้งหมดไปแล้วหรือยังไง? พวกเราไม่ใช่ฮีโร่ ไม่ได้มาเพื่อปราบเหล่าร้ายคาร์นิวอย แต่มาเพื่อปราบภูติผีปีศาจ”
“ฉันเตือนเธอแล้วนะว่าไม่ใช่ผู้ปกครองของเธอ”
“ชีวิตตัวเองจงตัดสินใจเอง ดูแลเอง ถ้าตามพวกเรามา เธอจะไม่มีวันได้กลับไปเดินบนเส้นทางปกติอีก ไม่ใช่ว่าเคยพูดไปทั้งหมดแล้วหรือยังไง? ”
“เธอนะคิดเองเออเองว่าพวกเราคือฮีโร่”
ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่สาวพูดถึงครึ่งหนึ่ง
แต่ที่เข้าใจอย่างหนึ่ง คือ— พวกพี่สาวไม่ใช่ ฮีโร่ ในแบบที่ฉันเข้าใจ…
“เกลียดพี่สาวเอโซที่สุด!”
ฉันวางสายจากพี่เอโซแล้วพยายามติดต่อหาพี่แมรี่โกลว์กับพี่ลาพิสแทน
แต่สองคนนั้นไม่ยอมรับสาย…
ทำไมถึงไม่ยอมรับสายในเวลานี้กันละ!
แต่มาคิดอีกที พอเงยหน้ามอง ก็จะเห็นพี่สาวแมรี่โกลว์กำลังสู้อยู่กับพวกสัตว์ประหลาด [หัว] อยู่
พอมองไปทางหัวเรือ ก็จะได้ยินเสียงความวุ่นวายที่ดังมาจากห้องอาหารที่พี่สาวลาพิสมุ่งหน้าไป
ทำไมถึงต้องยุ่ง ๆ พร้อมกันทั้งสองคนในเวลานี้ด้วย
ฉันอยากได้ใครสักคนมาอยู่ข้าง ๆ ในเวลานี้นะคะ!
“กรี๊ดดดดดดดด!”
“ม่ายยยยย!!”
ฉันหันหน้าไปมองตามเสียงตะโกนอีกครั้ง
สถานการณ์บนเรือเริ่มเลวร้ายลงมากขึ้น
มีทั้งคนที่พยายามสู้กลับอย่างเผ่าภูติหัวขาวที่หน้าตาคุ้น ๆ
มีทั้งคนที่พยายามวิ่งหนีตายจนเหยียบทับกันเอง
เวลากำลังน้อยลงเรื่อย ๆ
ถึงฉันจะแค้นพวกคาร์นิวอยที่มาหลอกและหวังฆ่าทิ้ง แต่ก็ไม่ได้ว่าอยากจะให้พวกเขาจบชีวิตกันแบบนี้ซักหน่อย
แล้วยังพวกคุณพี่กระต่ายกันพี่ชายมนุษย์ที่พึ่งเจอหน้ากันอีก
พวกเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องพวกนี้ แล้วจะปล่อยให้พวกเขาตายไปทั้ง ๆ แบบนี้ได้ยังไง
แถมยังมีเรื่องร่างโคลนนิงของตัวเองที่ฉันต้องการหาคำตอบที่มาที่ไปให้กับตัวเองอยู่ด้วย
ก็ได้ค่ะ!
ในเมื่อพึ่งพวกพี่สาวไม่ได้ งั้นฉันจะทำมันทุกอย่างเองคนเดียวค่ะ!
ฉันกระโดดลงจากตำแหน่ง แล้วเริ่มวิ่งไปบนกราบเรือ
มือทั้งสองจับผ้าคลุมนักบวชเอาไว้จนแน่น เพื่อไม่ให้อุปกรณ์ปกป้องสัตว์ประหลาดเพียงหนึ่งเดียวนี้ปลิวหายไปกับลม
ถึงจะไม่รู้ว่ามันทำงานยังไง แต่พวกสัตว์ประหลาดมันดูท่าว่าจะกลัวผ้าคลุมนี้จริง ๆ
ไม่มี [หัว] ตัวไหนที่กล้าเข้ามาโจมตีฉันเลย
พวกมันเอาแต่เพียงบินวนรอบ ๆ ตัวเหมือนฝูงฉลามที่รอจังหวะเข้ามางาบเหยื่อเมื่อสบโอกาสเท่านั้น
“…”
ว่าแต่ต้องไปตรงไหนก่อนเนี่ย?
ตอนที่มองลงมาจากท้ายเรือในมุมสูง ยังคิดอยู่ว่าคงไม่ได้มีเส้นทางซับซ้อนอะไร เพราะเห็นมีแค่ทางเดินแยกกราบเรือซ้ายขวาแค่นั้น
แต่พอลงมาเดินจริง กลับกลายเป็นว่ามีทั้งประตูแยก กำแพงกั้นทาง บันไดเดินแยกพาขึ้นชั้นบนชั้นล่าง อะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด
จะให้เดินออกไปตรงทางเดินข้างเรือที่ตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนวิ่งแตกตื่นพร้อมกับมี [หัว] น่าเกลียดน่ากลัวบินไปมา อันนี้ก็คงต้องขอบายค่ะ
“…”
พอเดินไปเดินมาสักห้านาที รู้ตัวอีกทีก็หลงเป็นที่เรียบร้อย
มันไม่มีอะไรเลยนอกจากทางเดินแคบ ๆ ที่มีเสียงคลื่นทะเลซัดกระทบผนังมาจากข้างนอก
มองผ่านหน้าต่างออกไปก็เห็นแต่น้ำทะเลดำมืด
สงสัยคงลงมาอยู่ที่ส่วนใต้ท้องเรือโดยไม่รู้ตัว
“…”
หลงทางโดยสมบูรณ์แบบแย้ว~
แง…
*เก๊ง*
ในตอนนั้นเองที่มีเสียงเหล็กกระทบดังขึ้นมา
ฉันรีบพุ่งเข้าไปหลบหลังครีบเหล็กที่ยื่นออกมาตามรอยเชื่อมของผนังท้องเรือ แล้วแง้มตาออกมามองดู
ไม่เห็นแม้แต่เงาคน
*เก๊ง*
แล้วนี่มันเสียงอะไร…
“อึ๊ก…”
ฉันกลืนน้ำลายตัวเองเพราะเริ่มรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง แล้วหรี่ตามองดูทางเดินรอบ ๆ
ในตอนนั้นเองที่ฉันมองเห็นบางอย่าง
บนพื้นยางที่ดูไม่มีอะไร กลับมีรอยเท้ากีบม้าปรากฏ
รอยเท้านั้นเปี๊ยกน้ำและดูสดใหม่
มันทิ้งร่องรอยเอาไว้ตามทางเดินอย่างน่าสงสัย
*เก๊ง**เก๊ง*
เสียงตีเหล็กดังรัวสองจังหวะ
รอยเท้าผุดปรากฏรัวขึ้นบนพื้นตามเสียงจังหวะนั้น
ผะ— ผี??
ตกลงผีมีจริงใช่ไหมเนี่ย?
เพราะถ้าอ้างอิงจากที่พี่สาวเอโซบอก นั่นแปลว่า [ผีมีจริง]
“เออ… คุณคือผีใช่ไหมค่ะ? ”
*เก๊ง**เก๊ง**เก๊ง**เก๊ง*
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด!?!
มันดังตอบฉันด้วยอะ!
แต่พอมาตั้งสติคิดอีกที เหมื่อนว่าผีตัวนี้จะไม่ทำอะไรฉัน
แถมยังดูเป็นมิตรอย่างน่าประหลาดอีกด้วย
*เก๊ง*
มันส่งเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเดินไปในความมืด แล้วหยุดรอบางอย่าง
หยุดรอ— ราวกับว่ามันอยากจะให้ฉันทำบางอย่างร่วมกับมัน
รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่เชื้อเชิญให้ตามเขาไป
ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่อะไรสักอย่างกำลังบอกฉันว่าคุณผีตัวนี้เป็นผีที่ดี
อีกอย่าง ถ้าให้เดินคนเดียว ฉันก็ไม่รู้ว่าคราวนี้จะหลงทางไปโผล่ที่ไหนอีก
“งั้น— รบกวนด้วยค่ะคุณผี”
ด้วยเหตุนี้ ฉันเลยเลือกที่จะตัดสินใจเดินตามคุณผีไปค่ะ!
ว่าแต่แบบนี้จะหาพวกพี่สาวกระต่ายเจอไหมเนี่ย?
***ในจุดที่ห่างออกไปไม่ไกล
“เด็กโง่”
เราพึมพัมกับตัวเองไปพร้อมกับแอบมองดูเจ้าตัวน้อยอยู่ห่าง ๆ จากในเงามืด
คนที่กำลังแอบดูและบีบคั้นให้เด็กน้อยผู้มีจิตใจซื่อบริสุทธิ์ได้รับรู้ความโสมมของโลก ก็คือเรา [เอโซ คอมพาวด์] ผู้นี้
เรื่องนี้ลาพิสกับแมรี่ไม่ได้รู้เรื่องด้วย
ลาพิสเป็นคนไม่คิดมาก เงียบ ๆ
ส่วนยัยแมรี่ก็ใจอ่อนกับเด็กน้อยน่ารัก
แถมเอาจริงนะ ยัยนั่นยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเด็กคนนี้พึ่งออกจากตำแหน่งประจำการมา
สงสัยไอ [เรด้าตรวจจับโลลิ] ที่ยัยนั่นชอบโม้ มันคงทำงานเฉพาะเวลาที่มีเด็กเกิดอันตรายขึ้นมาจริง ๆ กระมั้ง?
คงฝากงานดูแลเด็กให้ยัยนั่นไม่ได้จริง ๆ นั่นละ
ดังนั้น สุดท้ายจึงเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องสวมบทโหด สอนวิธีการเอาตัวรอดให้กับเด็กคนนี้
มันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อเธอ
เธอควรรู้ว่าโลกของพวกเรานั้นแตกต่างกัน
พวกเราสามเทพคงใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้อีกไม่กี่ปี ก็คงเก็บโควต้าวิญญาณครบ แล้วกลับสู่ความเป็นเทพเจ้า
แต่เด็กคนนั้นจะต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกจนสิ้นอายุขัย
เธอควรรู้ความจริงว่าพวกเราแตกต่าง แล้วปล่อยให้เธอไปเลือกเส้นทางอื่นที่ดีกว่า
เรารู้สึกเห็นใจเธอ เพราะเธอถูกทิ้งตั้งแต่ยังเล็กด้วยความพิการทางร่างกายของเผ่าคนแคระ
แรงน้อย มวลกล้ามน้อย แล้วยังมีผิวเผือก สีผมผิดเพี้ยน
ถูกทิ้งด้วยเหตุผลบ้า ๆ เหมือนกับฉันในสมัยที่ยังมีชีวิตเมื่อ 1000 ปีก่อน
“จงดิ้นรน ต่อสู้ คิดหาทางรอดด้วยตัวเอง ค้นหาความจริงด้วยพลังของตัวเองไปซะเจ้าเด็กน้อย”
ถึงจะเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตเด็ก แต่ถ้าไม่ทำ เธอก็ไม่ยอมเก่งขึ้นขึ้นสักที
คนเรามันต้องหายใจด้วยจมูกของตัวเองให้ได้ซิ จริงไหม?
***ในเวลาเดียวกัน***
“หัววววววววววววววว!! [หัว] สด ๆ พวกนี้มันคือตัวอะไรกันเจ้าค่ะ! จะถีบ จะแตะ ไม่เห็นจะทำอะไรมันได้เลยเจ้าค่ะ!”
“ถามผม แล้วผมจะถามใครกันละครับ!”
พวกเรากำลังวิ่งหนีอะไรสักอย่างที่ดูคล้ายกับ [หัว] ของสิ่งมีชีวิต
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ผมกับกระต่ายลึกลับ [ทัวร์มาลีเนต ควอร์ต] ยังเดินกันชิว ๆ ตรงแถบใต้ท้องเรือ
พวกเราเริ่มสำรวจจากจุดที่น่าสงสัยมากที่สุด โดยตั้งใจจะไล่จากส่วนท้องเรือขึ้นไปดาดฟ้าเรือ
แต่ระหว่างที่กำลังสำรวจ อยู่ ๆ พวกวิญญาณที่เห็นเป็นแสงราง ๆ ก็เริ่มรวมตัวกลายเป็นรูปร่างขึ้นมา
ตอนแรกคิดว่าไม่มีอะไร
แต่พอ—
“นะ— นั่นมันตัวอะไรกันเจ้าค่ะ? ”
—พอกระต่ายสาวมองเห็นมัน ผมก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ
คนที่ไม่มีญาณหยั่งรู้มองเห็นวิญญาณกลับมองเห็นมันได้
สัญชาตญาณของผมได้บอกว่ามันมีบางอย่างที่ผิดปกติ
ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงเริ่มเล่นเกมส์วิ่งไล่จับกันอย่างที่เห็น
“มันบินทะลุประตูกับกำแพงได้หน้าตาเฉยเลย! ขี้โกงเจ้าค่ะ! ถูกไล่ตามมาติด ๆ แล้วเจ้าค่ะ!”
“ตาย ตายโหงแน่!”
“โฮกกกกกกกกกก!”
วิ่งไล่จับโดยมี [วิญญาณ] เป็นคนไล่ตามอะนะ
MANGA DISCUSSION