ภายใต้แสงจันทร์ราตรีที่ถูกบดบังด้วยกลุ่มแสงวิญญาณ
ผมกับพรรคพวก กำลังยืนรวมตัวกันบนกราบเรืออย่างเงียบงัน
“เอาละ ตอนนี้มาถึงบนเรือกันแล้ว”
นักบวชไก่เหลืองทำลายความสงบด้วยเสียงกระซิบที่แผวเบา
เธอเกร็งปีกจนมีลักษณะคล้ายดาบ แล้วนำมันไปตัดเชือกที่ยึดกับห่วงยาง เพื่อเอามามัดยามสองคนที่สลบไปแล้วจนแน่น
เธอดูช่ำชองมาก จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดจากฝีมือของนักบวชสาวตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียว
“เราไม่รู้ว่าพวกนายมาทำอะไรที่นี่ และจะไม่ขอรับรู้ด้วย แต่ขอเตือนเอาไว้อย่าง”
เธอหันมามองผมกับกระต่ายแปลกหน้าในตอนที่เธอมัดพวกยามเสร็จ
“อย่าได้คิดมาขวางทางพวกเราเชียว”
ผม— พอจะเดาได้ว่าพวกเธอมาทำอะไรที่เรือลำนี้
จากประสบการณ์ตอนหมอกปีศาจในทวีปออโรร่า คงไม่พ้นว่ามาเพื่อขับไล่ผีสางซาตานนั่นละ
ถึงจะไม่เคยได้ยินจากปากของพวกเธอโดยตรงว่ามีอาชีพที่แท้จริงคืออะไร แต่คนที่สอนให้ผมรู้ว่าโลกนี้มีผี แล้วยังรู้วิธีปราบพวกมัน
ไม่ว่าจะคิดยังไง ก็ไม่พ้นเป็นขบวนการปราบผีชัด ๆ
“แล้วก็อีกเรื่อง เจ้าหนุ่ม ออน”
“ออน…? ”
เล่นหดชื่อชาวบ้านสั้น ๆ กันแบบนี้เลยเรอะครับคุณพี่?
“ขอเรายืนยันเล็กน้อยก่อนแยกจาก นายเห็นมากแค่ไหน? ”
เธอถามผมด้วยสีหน้าที่จริงเป็นอย่างมาก
คงหมายถึงกลุ่มหมอกวิญญาณที่ดูชวนให้หดหู่พวกนี้สินะ?
“เห็นครับ มีหมอกแสงเต็มเรือเลยครับ ”
” หมอกหรือเจ้าค่ะ? ”
” หมอกอาใย~? ”
กระต่ายแปลกหน้ากับนักบวชฝึกหัดต่างหันมามองผมด้วยสีหน้างุนงง
สองคนนี้ไม่มีญาณรับรู้วิญญาณเหมือนผมสินะ?
“เห็นเป็นหมอกแสง— งั้นเราขอให้คำแนะนำอย่าง ถ้าไม่อยากตาย จงทำเป็นไม่เห็น ไม่รับรู้ว่ามีพวกมันอยู่ไปซะ”
” ครับ? ”
” ไม่มีเวลาอธิบาย บอกได้แค่ว่าเจ้าพวกนี้มันบ้า มันไม่สนหรอกว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู แค่รู้ว่ารับรู้กันได้ มันก็พร้อมจะโจมตีนายเหมือนสัตว์ที่กระหายน้ำนั่นละ”
พอพูดจบ เธอก็หันหลังให้ผม
” ขอตัวก่อน พวกเรามีงานต้องทำ ไซน์ มาเร็ว!”
” ค่ะ!”
แล้วพานักบวชฝึกหัดหายไปในเงามืดของกราบเรือในทันที
***
” นี่ นี่ ปล่อยพี่ชายกับพี่สาวกระต่ายเอาไว้แบบนั้น จะไม่เป็นอะไรหรือคะ? ”
” ต่างคนต่างเส้นทางชีวิต เรามาตั้งสมาธิกับเรื่องของพวกเราตรงหน้าดีกว่า”
“นั่นคือการหยุดองค์กรที่ขั่วร้ายคาร์นิวอยสินะคะ! บอกมาได้เลยค่ะ ว่าอยากจะให้ฉันทำอะไรบ้าง!”
ฉันยืนมองดูเด็กสาวตัวน้อยที่กำลังพูดคุยกับสหายเอโซอย่างเงียบ ๆ อยู่ข้างหลังสุดของแถว
ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะเข้าใจผิดไปไกลเลยทีเดียว
พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อหยุดการกินเนื้อเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของคาร์นิวอย
แต่มาเพื่อเก็บโควต้าวิญญาณหลงทาง พาพวกมันกลับสู่แดนคนตายให้ท่านพญายมราชพึงพอใจต่างหาก
พวกเราไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีโร่หรอก
“… ลาพิส เธอไปป่วนงานเลี้ยงเพื่อดึงความสนใจ แมรี่โกลว์ ฝากเรื่องชำระวิญญาณจากบนยอดปล่องเรือ ส่วนฉันจะไปที่สะพานเดินเรือเพื่อป่วนระบบของเรือลำนี้”
สหายเอโซทำเป็นไม่สนใจสายตาแห่งความคาดหวังของเด็กสาวผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ แล้วเริ่มสั่งการโจมตีในทันที
” แล้วฉันละ~! ฉันล่าาาาา ~~~!”
” ฝากไซน์ปีนขึ้นไปตรงหอสังเกตุการณ์ตรงท้ายเรือ ฝากเฝ้าระวังให้พวกเรา ถ้าเจออะไรไม่ชอบมาพากลให้ติดต่อพวกเราทันที”
” ค่ะ!”
เอโซสั่งงานไซน์ด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหรนัก
เธอหันไปสบตาแมรี่โกลว์ แล้วส่งสัญญาณตา ว่าให้เพิ่มงานเฝ้าระวังเด็กน้อยไซน์ลงไปในรายการของเธอด้วย
ความจริงคือไม่มีใครอยากพาไซน์มางานนี้
เพราะพวกเราประเมินแล้วว่างานครั้งนี้ดูจะอันตรายเกินความสามารถของเธอ
ถึงเอโซจะมีแนวคิดเข้มงวดอย่าง ” ปล่อยให้เรียนรู้ด้วยตัวเองจากประสบการณ์จริง” แต่ก็ไม่โหดขนาดที่จะพามางานเสี่ยงตายที่เกินมือพวกเราจะเข้าไปปกป้องได้
แถมงานนี้ยังมีเรื่องฟาร์มคนแคระข้างใต้เรือนี้อีก
แต่— หลังจากถกกันในกลุ่ม พวกเราก็ได้ข้อสรุป ว่ายังไงก็คงต้องพามา
เพราะดูแล้ว ถ้าไม่พามา มีหวังต้องแอบหนีตามมาเองจนเป็นเรื่องอย่างแน่นอน
“งั้น– แยกย้ายได้!”
“พลังแห่งมิตรภาพจักบังเกิด มาแสวงหาพลังเพื่อหวนกลับคืนสู่ความเป็นเทพกัน!”
“เทพ? ”
แมรี่โกลว์ยังคงพูดจาไม่ระวังเหมือนเช่นเคย
แต่โชคดีที่น้องไซน์มองเป็นมุขตลกของเธอมากกว่า
[งั้นฉันขอตัวก่อนค่ะ (ᗜˬᗜ) ]
ฉันกล่าวอำลา แล้วกระโดดลงไปวิ่งข้างกราบเรือที่ตั้งฉาก 60 องศากับเส้นขอบฟ้าในลักษณะกลับหัว
ขับชีพจรลงเท้า ใช้ผนังที่เอียงลาดเป็นฐานเหยียบ แล้วส่งแรงกระแทกออกไปทางฝ่าเท้าเพื่อดีดตัวเองให้ลอยขึ้นก่อนตกลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก
ทำเช่นนี้ซ้ำ ๆ ด้วยความเร็วสูง จนสามารถวิ่งไปตามผิวกราบเรือได้ราวกับเป็นการวิ่งบนแผ่นดินราบ
ในเวลาเดียวกัน สัมผัสจิตที่รับรู้รอบกายก็เริ่มจับการเคลื่อนไหวของวิญญาณโดยรอบที่กำลังเริ่มเปลี่ยนแปลง
ความสามารถการรับรู้วิญญาณที่นายตำรวจคนนั้นมี ยังอยู่แค่ในช่วงของสัมผัสรับรู้เพียงแค่ผิวน้ำ
คำถามของเอโซคือสิ่งที่ยืนยันความจริงนั้น
เขาบอกว่ามองเห็นเป็นแค่กลุ่มก้อนแสงคล้ายหมอก
แต่ทว่าในความเป็นจริง วิญญาณที่ถูกฆ่ากินพวกนี้ มันมีสภาพที่น่าสยอดสยองมากกว่านั้น
อัตตาไร้รูปกาย
วิญญาณไร้รูปลักษณ์
ถูกฆ่ากินด้วยวิธีทารุณ
ความฉลาดและความรู้ที่สัตว์ไม่มี ทำให้เคียดแค้น สาปแช่ง แล้วจมปลักลงในห้วงกระแสแห่งการไม่ยอมรับความเป็นตาย
ความตระหนักรู้ ได้กลายเป็นคำสาปให้พวกเขาไม่อาจไปสู่สุขคติ
จากหนึ่งเป็นสอง
จากสองเป็นสาม
หลายร้อยวิญญาณรวมร้อยเรียงหลายพันศพ จนกลายเป็นตัวตนอันน่าเวทนา ที่ไม่อาจแม้นจะรู้ได้ว่าตัวเองคือใคร
ใบหน้าเว้าแหว่ง แขนขาขาดวิ่น
ไม่อาจยอมรับความตาย จึงเกาะเกี่ยวพรรคพวกร่วมชะตากรรมที่ถูกสังหารกินเพื่อหาทางรั้งชะตากรรม ให้ตัวเองยังอยู่ในโลกคนเป็น
สายใยวิญญาณจากหนึ่งเชื่อมกับอีกหนึ่ง จนสุดท้ายกลายเป็นผืนตาข่ายขนาดยักษ์ที่น่าเศร้า
แล้วผืนตาข่ายวิญญาณขนาดยักษ์นั้น มันก็กำลังร้องโหยหวนอย่างน่ารำคาญ ส่งคำสาปแช่งอยู่รอบเรือลำนี้ตราบนิรันดร์กาล
ช่างน่าเศร้าที่วิญญาณพวกนี้ขาดตัวสื่อกลางกระตุ้น มิเช่นนั้นคงยื่นมือเข้ามาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เพื่อจมเรือลำนี้ไปนานแล้ว
แต่วันนี้คงไม่แน่
ถ้านายตำรวจที่มีญาณรับรู้วิญญาณไปทำเรื่องงามหน้า คงได้ถูกผีพวกนี้ใช้เป็นสื่อกลางจมเรือลำนี้ไปก่อน
[…]
เร่งฝีเท้าอีกหน่อยดีกว่าแฮะ
ฉันคิดเช่นนั้น แล้วเริ่มเร่งฝีเท้าตรงไปที่หัวเรือ
ไปตรงจุดที่ฉันสัมผัสได้ถึงชีวิตจำนวนมากตรงนั้น
***
“หายตัวไปกันเร็วแท้”
“งั้นข้าน้อยเองก็ขอแยกตัวด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”
“เดียว ๆ ถ้ายังไงมาแนะนำตัวก่อนสิ ผมไม่อยากอยู่ ๆ ก็มา แล้วก็ไปแบบมึน ๆ อย่างงี้!”
“ก็แค่แม่ค้าตลาดธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“แม่ค้าบ้านเธอแต่งชุดคล้ายสายลับแบบนี้เรอะ!? ”
“…”
กระต่ายสาวลึกลับยืนนิ่งเงียบ
เธอเปิดส่วนคลุมที่ปกปิดใบหน้า เผยหน้าจริงเพื่อหันมาสบตาผม
ดวงตาของเธอกำลังจับจ้องเข้ามาในดวงตาของผม
เธอเลื่อนสายตาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วมาหยุดลงตรงกระเป๋าเสื้อ
” คุณเป็นตำรวจจริง ๆ สินะคะ? ”
” ทำไมถึงรู้? ”
” รอยนูนบนปกเสื้อ มันคือตราตำรวจไม่ผิดแน่ค่ะ”
พอพูดแบบนี้มันก็ถูกของเธอ
คราวหน้าผมคงต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว
” คุณดูเป็นคนที่เชื่อถือได้— ถ้าท่านสัญญาว่าจะช่วยข้าน้อย ข้าน้อยจะพูดเจ้าค่ะ”
“…ช่วยไม่ช่วยมันขึ้นอยู่กับเนื้อหา”
” ข้าน้อยเข้าใจเจ้าค่ะ”
เธอว่าเช่นนั้นแล้วเริ่มเล่าเรื่องราวด้วยดวงตาที่เศร้าสร้อย
เรื่องมันยาวมาก
ประมาณว่าสองวันก่อน มีเด็กใต้การดูแลของเธอคนหนึ่งหายตัวไป
แม่ค้าคนนี้เลยออกตามสืบ หาร่องรอยของเด็กที่หายไป
สืบไปสืบมาจนเจอว่าเป็นฝีมือของชาวประมง A คนหนึ่ง
เธอเลยแฮกระบบฐานข้อมูลของชาวประมง A และพบว่าเขามีภารกิจต้องมาเป็นยามเฝ้าบนเรือลำนี้ วันนี้
ประกอบกับบังเอิญที่เธอมาพบพวกเราพอดี
เลยทำให้เธอขอร่วมทางมาด้วย
“คดีลักพาตัวเด็ก ทำไมถึงไม่แจ้งตำรวจเล่า!”
“เด็กยังหายตัวไปไม่ครบ 1 วัน ทำยังกับว่ามีตำรวจคนไหนยอมขยับก้นออกตามหาให้เจ้าค่ะ”
อูว— เจ็บวุ้ย
ช่วยไม่ได้แฮะ
“งั้นผมจะช่วยคุณตามหาเด็กอีกแรงครับ”
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”
ยังไงก็ต้องสำรวจเรือลำนี้เพื่อตรวจความไม่ชอบมาพากลอยู่แล้ว ถือโอกาสรับสองงานไปเลยคงไม่เสียหายอะไร
พวกเราสองคนเริ่มเดินไปตามบนกราบเรือที่มืดวังเวงไร้ผู้คน
เสียงผืนน้ำแข็งที่กำลังแตกละลายดังกระทบผิวเรือไม่ขาดสาย
แสงจากดวงจันทร์ทรงกลดทอแสงรัศมีสาดส่องให้มองเห็นเส้นทาง
ไร้วี่แววของผู้คน นอกจากหมอกแสงวิญญาณจาง ๆ ที่ปกคลุมหนาทึบ
คงจะ— แตะพวกมันได้ใช่ไหม?
“เดินช้าจริงเจ้าค่ะ”
“อย่า—”
กระต่ายสาววิ่งทะลุผ่านหมอกวิญญาณไป ราวกับไม่ได้เห็นมัน
ทันทีที่เธอเดินผ่านพวกมัน ประหนึ่งเหมือนเห็นภาพซ้อน คล้ายกับว่าสองสิ่งเป็นภาพที่อยู่บนแผ่นพลาสติกใสคนละแผ่น แต่ถูกนำมาวางซ้อนกันเอาไว้
เธอทะลุผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในทางกลับกัน พวกหมอกวิญญาณกลับเคลื่อนไหวก่อเป็นรูปคล้ายหัวคนนับสิบ
หัวพวกนั้นหันมามองทางผมเป็นสายตาเดียว
“เห็นพวกเรา? ”
“ร่างทรง? ”
“มีอำนาจเป็นสื่อกลาง? ”
เสียงกระซิบจากหมอกดังไปทั่วรอบตัวผม
ไอฉิบหาย
นี่สินะ ที่ยัยไก่เตือนเอาไว้ว่าให้ทำเป็นมองไม่เห็น
รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะฉี่เล็ดออกมาแล้ว…
“อย่า— อย่าวิ่งเร็วนักสิ ผมตามไม่ทันครับ”
“อ่อนแอจริงเจ้าค่ะ…”
ผมรีบทำเนียนไม่สนใจเสียงกระซิบ แล้วเดินตามเธอไปติด ๆ
ทะลุได้ไม่เป็นไร
ทะลุได้ไม่เป็นไร
ทะลุได้ไม่เป็นไร
นโมตัดสระ สัมมาสัมพุทธ— ต้องท่องยังไงต่อวะ?
ถึงจะคิดกังวล แต่ดูเหมือนว่าผมจะสามารถเดินผ่านหมอกวิญญาณไปได้ด้วยดี
ทะลุผ่านเหมือนราวกับว่าพวกมันไม่ได้มีอยู่จริงบนโลก ทั้งที่มองเห็นเต็มสองตา
อะไรของผีพวกนี้วะเนี่ย?
จะบอกว่าใช้ปืนรังสียิงขับไล่ได้ แต่ใช้กายสัมผัสไม่ได้?
แต่ผีที่เคยเจอตอนคดีหมอกปีศาจที่ออโรร่า พวกมันสามารถสัมผัสควบคุมสิ่งของได้ไม่ใช่เรอะ?
อะไรคือตรรกะวะเนี่ย?
ปวดหมองครับ!
“มีกลิ่นอายของคนเจ้าค่ะ— จะยืนหัวโด่ทำไมเจ้าค่ะ! ”
“ตรงนั้นใคร!!”
“อ๊ะ? ”
เพราะมัวแต่กังวลเรื่องผี เลยเผลอตัวไม่ระวังรอบตัวเอง
ตรงหน้าของผมมียามใส่ชุดกะลาสียืนอยู่คนหนึ่ง
เขาเป็นคนเผ่ายักษ์สูงสามเมตรครึ่ง พร้อมกับถือปืนกลหนักเอาไว้ที่มือข้างขวา
เจอใครไม่เจอ มาเจอเผ่ายักษ์ซะงั้น
ด้วยธรรมชาติของร่างกายพวกมัน ปืนรังสีลูกโม่ที่ผมมีคงยิงทะลุหนังหนา ๆ ของมันไม่เข้า
อย่างมากก็ทำได้แค่แผลถลอกเท่ายุงกัด
ถ้าจะยิงมันให้เข้า คงต้องปรับความแรงรังสีให้มีค่าสูงสุด
แต่ทำแบบนั้นแล้วจะยิงได้แค่ราว 20 นัดนี่สิ…
“ข้าถามว่าแกเป็นใคร!”
“เออ…”
*กร๊อบ!*
หัวของยักษ์กำลังบิด 90 องศาอย่างน่ากลัว
หัวของเขาถูกขาอ่อนสองข้างของคุณกระต่ายหนีบ แล้วทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงมาเพื่อบิดหักคอ
เสียงกระดูกป่นดังลั่นไปทั่วความมืด ก่อนที่เจ้ายักษ์จะดวงตาขาวโพล้น แล้วหมดสติหลับไหลไป
ไปอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหรเนี่ยคุณเธอ…
” ก็แค่แม่ค้าธรรมดาที่ผ่านทางมาเท่านั้นค่ะ”
เธอตอบคำถามเจ้ายักษ์ที่หมดสติไปแล้ว
ไม่ละ นี่ไม่ใช่ระดับของแม่ค้าธรรมดาแล้วครับ!
“เออ… มันคงไม่ตายใช่ไหม? ”
“เผ่ายักษ์ขึ้นชื่อเรื่องความอึด โดนหักคอแค่นี้ไม่ตายหรอกเจ้าค่ะ— คิดว่านะ”
[คิดว่า] เนี่ยนะ…
ผมเดินเข้าไปตรวจชีพจรของยักษ์ผู้โชคร้าย
หัวใจยังเต้น ยังมีลมหายใจ
โอเค งั้นแค่จับมัดเอาไว้ก็พอ
” คุณนี่ใจอ่อนน่าดูเลยนะเจ้าค่ะ”
” ช่วยไม่ได้นี่”
เพราะพูดตามตรง ผมไม่อยากให้มีคนตายระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าจะมิตรหรือศัตรูก็ตาม
มันรู้สึกไม่ดีนะ
“ถ้าเสร็จแล้วก็รีบไปต่อเถอะค่ะ ข้าน้อยได้ยินเสียงคนอีกกลุ่มกำลังเดินตรวจอยู่บล็อกหน้า ห่างออกไปอีกราว 10 เมตร เจ้าค่ะ”
กระต่ายดำบอกผมเช่นนั้น แล้ววิ่งต่อไปบนกราบเรือด้วยฝีเท้าที่แทบจะเรียกได้ว่าเงียบสนิท
“…”
เอาจริงนะ
ไม่ต้องมีผมอยู่ช่วยก็ได้ละมั้งเนี่ย?
MANGA DISCUSSION