“แผ่นน้ำแข็งแตก— จะโดนคลื่นซัดแตกแล้ว! ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเอ็งตามมาด้วยนี่แหละ! จะจมน้ำแล้ววววววเจ้าข้าเอ๊ย!””
“ไม่น้าาาาาาาา!! ข้าน้อยยังไม่อยากตายกลางทะเลแบบนี้!”
ผมกำลังยืนนิ่งด้วยสีหน้า […] อยู่บนกลางทะเลอันมืดดำ
ข้างหลังคือชายหาดทรายสีขาวที่ห่างออกไปไกลจนเห็นเป็นเม็ดถั่ว
ส่วนข้างหน้าคือเรือขนส่งสิ้นค้าขนาดใหญ่ที่เห็นเป็นเงาทะมึนบดบังพระจันทร์เต็มดวงบนฟ้า
ราวกับเป็นภูเขาใจกลางทะเล
เป็นภูเขา— ที่เต็มไปด้วยแสงไฟวิญญาณคล้ายหมอกควันปกคลุมไปทั่วอย่างน่าสยองขวัญ
“พยายามเข้าแมรี่โกลว์! เธอต้องทำได้! จงสร้างแผ่นดินน้ำแข็งก่อนที่คลื่นมันจะทำลายที่ยืนของพวกเราซะ!”
“พูดง่ายแต่มันทำยากนะยะ! ฮึ่ม! นี่ถ้าหากใช้พลังของร่างขั้นที่สอง–”
“อย่าหาทำ! เธอคิดจะทำให้ทวีปนี้เข้าสู่ยุคน้ำแข็งหรือยังไงกันย้าาาา—!!”
พวกสาว ๆ ตัวน้อยที่สวมชุดนักบวชวิหารเทพทั้งสาม สองคน กำลังเถียงเสียงดังกันอย่างร่าเริงบนพื้นน้ำแข็งที่พวกเธอสร้างขึ้นมา
นอกจากสาวหัวเหลืองกับสาวหัวแดง ยังมีสตรีผู้งดงามราวเทพธิดาสีฟ้ายืนนิ่งเงียบอยู่ห่าง ๆ
ชุดนักบวชสีดำที่มีลักษณะคล้ายผ้าคลุมยาวเอามาห่มตัว แล้วเปิดหัวไหลซ้ายจนถึงเนินอก มันดูเข้ากับเธอมาก
*ตุ๊บ*
อู้ย— ปวดหน้าอกกับส่วนล่าง…
“ทำไมท่านสุภาพบุรุษถึงได้ยืนตัวงอแบบนั้นกันละเจ้าคะ? ”
“เปล่า ไม่มีอะไร…”
ผมหันไปทางเสียงหวาน ๆ ที่ดังมาจากทางขวา
เธอเป็นสตรีเผ่ากระต่ายที่มีรูปร่างสมส่วน หุ่นเพรียวบางแต่มีน้ำนวลกล้ามเนื้อ และสวมชุดคล้ายนักฆ่าจากเงามืด
เห็นว่าชื่อ [ทัวร์มาลีเนต ควอร์ต] อะนะ
“พี่สาวผมแดงสู้ ๆ !”
ส่วนเสียงของสาวตัวน้อยที่ดังเบา ๆ เมื่อกี้ คือเด็กสาวตัวเล็กเผ่าคนแคระที่เคยเจอตอนวันเข้าทำงานตำรวจสากล
เห็นว่าเกิดหลาย ๆ เรื่อง ปัจจุบันนี้กลายเป็นนักบวชฝึกหัดของสามสาวไปแล้ว
ทำไมถึงเกิดการรวมกลุ่มแบบนี้ขึ้นมากันได้เนี่ย?
***ย้อนกลับไปเล็กน้อยในช่วงกลางวัน***
“รุ่นพี่ อาร์เซนิค จะไปไหนของเขากัน? ”
ผมกำลังสะกดรอยตามเป้าหมายต้องสงสัยว่าเป็นสายให้กับองค์กรกินคนอย่างลับ ๆ ในเงามืด
การที่มาลาหยุดทั้งวันเพื่อแค่ดูหนังที่ยาวเพียง 2 ชม. มันออกจะดูตลกและน่าสงสัย
เพราะแบบนี้ ผมเลยขอลาป่วยฉุกเฉินกับรุ่นพี่ดิไลออน แล้วสะกดรอยตามรุ่นพี่อีกาดำคนนี้แทน
เวลา 21:00 น. เป้าหมายกำลังเดินตรงไปห้าง
เขาสวมชุดสูทสีดำกลัดเข็มทรงสี่เหลี่ยมสีทองที่ดูดีมีราคา
เวลา 23:30 น. หนังจบ เป้าหมายเดินออกจากห้าง
เวลา 24:00 น. แวะร้านอาหารข้างทาง กินราเมงสไลม์
อนึ่ง มันอร่อยมาก ไว้เดียวต้องหาโอกาสมากินอีกให้ได้
เวลา 24:30 – 35:00 น. เดินเที่ยวเตร่ทั่วเมือง
เวลา 35:00 น. เดินเล่นริมหาดทรายของเมือง
“…”
ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกตินี่?
สงสัยผมคงจะคิดมากไปเอง—
ผมเริ่มชักคิดว่าตัวเองบ้ามาก ที่มาเสียเวลาทั้งวันไปกับการสะกดรอยคนที่ใช้วันลาหยุดอย่างจริงจังแบบเขา
ในตอนนั้น ถ้าหากว่าไม่บังเอิญเหลือบไปเห็น [สิ่งนั้น] คงได้หันหลังกลับเมืองไปแล้ว
“นั่นมันบ้าอะไรฟะ? ”
เพราะแสงตะวันเริ่มตกดิน เลยทำให้พึ่งสังเกตุเห็น
ที่เส้นขอบฟ้าทะเล จะสามารถเห็นเรือขนสินค้าจำนวนมากได้อยู่
ท่ามกลางเรือที่กำลังจอดรอคิว มีเรือลำหนึ่งที่มีแสงสว่างสีฟ้ากำลังลอยวนเวียนปกคลุมไปทั่วเรือ
แสงเหล่านั้นมีลักษณะคล้ายแสงเทียนที่แผ่วเบา
ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไม แต่เพียงแค่เห็นมัน ก็รู้สึกได้ถึงความเศร้า ความไม่เข้าใจ ความไม่รู้ และความสงสัย
ราวกับเป็นกลุ่มก้อนของสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจเข้าใจได้ว่าตัวมันเองคือสิ่งใด
“วิญญาณหลงอีกแล้ว? เอาจริงดิ!? ทำไมตรูต้องมาเห็นอะไรแบบนี้กันด้วยฟะ!”
ผมเริ่มด่าทอให้กับสัมผัสพิเศษที่ตัวเองไม่ต้องการ
เพราะเมื่อมองเห็นแล้ว จะทำเป็นมองข้ามมันก็ออกจะทำใจยาก
“แต่ว่าผมกำลังทำภารกิจ— หายไปไหนแล้วนั่น!?!”
ผมกวาดตามองไปที่ชายหาดเพื่อมองหาเป้าหมายที่กำลังตามสืบ
แต่ว่าเป้าหมายที่ตามสะกดรอยตั้งแต่เช้า— ดันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
มีเพียงแค่รอยเท้ากับเม็ดทรายทิ้งเอาไว้
จะบอกว่าพี่แกบินรับลมทะเลเล่นอยู่อย่างงั้นเรอะ?
คลาดสายตาไปเสียแล้วสิเนี่ย
… ช่วยไม่ได้
คงต้องถือว่าจบการสะกดรอยแต่เพียงเท่านี้
“ว่าแต่เรือลำนั้นมันอะไรของมันกัน? ”
เรือขนศพเถือนเรอะ?
ต้องไปตรวจสอบดูหน่อยเสียแล้ว
ว่าแต่จะข้ามทะเลไปด้วยวิธีไหนดี?
ว่ายน้ำ— ได้โดนไอเข้จับกินก่อนชัวปาบ
เช่าเรือ— ไม่มีเงินแฮะ
กรำของเวร
ลืม ๆ มันไปซะ แล้วกลับบ้านนอนดีกว่ามั้ง?
“เป็นเรือลำนั้นไม่ผิดแน่ วิญญาณแผ่ออกมาเพียบขนาดนี้ ไม่ผิดลำหรอก”
“เจ้าองค์กรที่ชั่วร้าย จงล้างคอรอได้เลย เพราะเทพเจ้าจักกำลังเตรียมฟาดค้อนแห่งความเที่ยงธรรมลงใส่ใจกลางกบาลของพวกเจ้าในเร็วนี้แล้ว!”
เสียงที่กำลังโวยวายเมื่อกี้ออกจะคุ้น ๆ อยู่…
ผมหันไปมองตามเสียง
ที่บนชายหาดห่างออกไปไม่ไกล มีนักบวชแห่งวิหารเทพทั้งสามยืนกันอยู่ 4 คน
ที่รู้ว่าเป็นคนจากวิหารเทพทั้งสาม เพราะชุดที่สวมใส่มันบอกให้รู้
หนึ่งคนสวมผ้าคลุมสีเทา แสดงว่าเป็นนักบวชฝึกหัด
ส่วนอีกสามคนเป็นผ้าคลุมสีดำ แสดงให้เห็นว่าเป็นนักบวชระดับกลาง
พวกเธอสี่คนคือคนที่ผมรู้จักดี
สตรีที่สอนให้ผมรู้ว่าวิญญาณมีอยู่จริง
“ดีละ เดียวผมจะพาบินไปเดียวนี้เลย”
“อย่า! บินไปกลางทะเลแบบนี้ได้ถูกศัตรูเห็นตัวก่อนแน่! ค่อย ๆ เดินลอบเข้าไปจะดีกว่า”
“เดิน? ”
“ฝากสร้างทางน้ำแข็งให้ทีนะแมรี่ โกลว์”
“เอาจริงดิ!? ใช้งานโหดจริงนะคุณเธอ!”
ดูเหมือนว่าพวกสาว ๆ จะมีเป้าหมายที่เรือลำเดียวกับที่ผมกำลังเพ่งเล็งพอดี
ดีละ
หน้าด้านขอร่วมทางไปด้วยดีกว่า
” นี่ เจอกันอีกแล้วนะพวกเธอ ถ้าไม่ว่าอะไร ผม—”
*พลั๊ก!*
อยู่ ๆ ผมก็โดนเท้ากระต่ายนุ่ม ๆ เหยียบใส่หัว
ใครฟะ!?
” ขอข้าน้อยร่วมทางด้วยคนเจ้าค่ะ!”
ตรงหน้าผมมีกระต่ายสาวน่ารักคนหนึ่งกำลังเดินโบกมือให้กับพวกสาว ๆ นักบวช
“เธอ– แม่ค้าเมื่อวันก่อนนี่? ”
“หมายความว่ายังไงที่ว่าจะร่วมทางไปด้วย? ”
“ต้องขออภัยที่แอบฟังสิ่งที่พวกท่านคุยกัน แต่ว่าข้าน้อยมีเหตุจำเป็นต้องไปที่เรือลำนั้น! ข้าน้อย— คงบอกเหตุผลไม่ได้เจ้าค่ะ… แต่ข้าน้อยจำเป็นต้องไปจริง ๆ เจ้าค่ะ!!”
น้ำเสียงของสตรีกระต่ายฟังดูกำลังเดือดร้อนอยู่จริง
นักบวชไก่เหลืองจ้องตาแม่สาวกระต่ายราวกับจะมองทะลุเข้าไปในจิตใจ ก่อนจะหันหลังให้ พร้อมกับกวักมือเป็นเชิงสัญญาณ
[อยากทำอะไรก็ทำไป]
มีความหมายเช่นนั้น—
***กลับมาปัจจุบัน***
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มเล็ก ๆ ที่มีผู้หญิงน่ารักห้าคน กับผู้ชายหนึ่งคน จึงได้ถือกำเนิดขึ้น
รายล้อมด้วยสาว ๆ สวย ๆ วัยใส—
“…ฮาเร็ม? ”
ไม่ ไม่ ม่าย~
ผมได้มอบหัวใจให้กับลาพิสไปแล้ว
เพราะฉะนั้นคงไม่มีวันเกิดเรื่องบ้า ๆ อย่างที่คิดขึ้นมาได้หรอก
“พี่สาวสู้ ๆ !”
“นะ— น้องไซน์ กำลังส่งเสียงเชียร์! แบบนี้จะมาทำตัวอ่อนแอมิได้! ผมได้รับพลังแห่งพลังใจมาแล้ว ขอจักเปลี่ยนผืนมหาสมุทรให้เป็นทวีปน้ำแข็งในบันดล โอ๊ววว!”
“ยัยบ้า หยุดเดียวนี้—”
โดยเฉพาะกับยัยเพี้ยนภูติหัวแดงที่เคยทำให้ผมต้องปวดหัว ยิ่งไม่มีวันที่จะรู้สึกชอบพอกับยัยนี่ได้แน่ ๆ
ในตอนที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อยแบบคนวันหนุ่มที่กำลังเริ่มรู้จักความรัก แสงสว่างจักบังเกิดขึ้นปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า—
*พรึบ!!*
เพียงพริบตา อุณหภูมิก็ลดลงจาก 10 องศา เหลือเพียง -10 องศา
น้ำและคลื่นทะเล จักกลายเป็นทวีปน้ำแข็งที่เชื่อมทอดยาวไปถึงเรือที่เป็นเป้าหมาย
“สุดยอดไปเลยค่ะพี่สาวแมรี่— ฮัดชิ่ว!”
“เท่ไปเลยใช่ไหมล่าน้องไซน์~ ฮัดชิ่ว!”
“ยัยโง่ ดูสภาพชุดพวกเราก่อนทุ่มพลังสิยะ! — ฮัดชิ่ว!”
“หนาวแค่นี้ ขนกระต่ายข้าน้อยเอาอยู่— ฮัดชิ่ว!”
[จามกันทุกคนเลยนะคะ—]
“จิ๋ว!”
มะ— เมื้อกี้ลาพิสเป็นคนจามอย่างงั้นหรือ!?
ผมหันไปมองเธอ
สตรีที่ไร้สีหน้าและอารมณ์คนนั้น กำลังหน้าแดงเพราะไอเย็น
มือทั้งสองกุมจมูกของตัวเอง จนแลดูคล้ายสาวน้อยบอบบางที่ขี้อาย
*ตุ๊บ*
หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอีกแล้ว—
“เลิกบ้ากันซักที รีบเดินหน้าต่อกันได้แล้ว — ฮัดชิ่ว!”
นักบวชไก่เหลืองนำปีกของเธอมาตบกบาลผมด้วยความโกรธ ราวกับรู้ว่าผมกำลังใช้สายตาโลมเลียเพื่อนสาวของเธออยู่
เจ็บ…
ปีกยัยนี่แข็งชะมัด
“เดินทาง เดินทาง~ บนทะเล~ ฮัดชิ่ว!”
“หยุด! ทุกคนเงียบก่อน อย่าพึ่งเคลื่อนไหว”
ในตอนนั้นเองที่นักบวชไก่เหลืองชูปีกของเธอหยุดพวกเราเอาไว้
เธอรีบดึงผ้าคลุมสีดำขึ้นมาปิดส่วนขนกับผมที่มีสีเหลืองโดดเด่น แล้วย่อตัวอย่างช้า ๆ จนแทบจะแนบพื้น
มองตรงไปบนกราบเรือที่หันเข้าหาพวกเรา มีผู้ชายสองคนเผ่ามนุษย์สัตว์-แมว กำลังยื่นจมูก กับเพ่งดวงตามาทางที่พวกเรายืนกันอยู่
“เพราะอยู่ ๆ ทะเลกลายเป็นน้ำแข็ง พวกมันเลยสงสัยสินะ? ดีละ ลาพิส จัดการเลย!”
[รับทราบ ©_©]
มันเกิดขึ้นเร็วมาก
ลาพิสใช้เท้ายันพื้นน้ำแข็งเบา ๆ
ทว่าเพียงแค่ใช้ปลายนิ้วกระทบ ผืนน้ำแข็งกลับเกิดรอยแตกร้าวเป็นรูกว้าง
ร่างของเธอจักเลือนหายไปในอากาศ
ผมเห็นมีคลื่นระเบิดอากาศ แตกกระจายเหนือหัวขึ้นไปราวสามครั้ง
พอรู้ตัวอีกที มนุษย์แมวที่กำลังมองมาทางพวกเราจากกราบเรือ ก็ถูกเธอใช้เข่าอัดกระแทกท้ายทอยจนสลบคาที่ไปพร้อมกัน
“สุดยอด”
“ปีศาจชัด ๆ เลยเจ้าค่ะ”
ผมกับแม่สาวกระต่ายต่างดวงตาเบิกกว้างด้วยความทึ่ง
ลาพิสโบกมือเรียกพวกเราจากบนกราบเรือที่อยู่สูงเหนือผิวน้ำแข็งขึ้นไปราว 30 เมตร
พวกเราใช้รอยเชื่อมวัสดุข้างผิวเรือในการปีนขึ้นไป
ระหว่างปีน— ผมต้องกลั้นใจพะอืดพะอมต่อวิญญาณที่บินลอยไปมารอบตัวอย่างหวาดระแวง
พวกเอ็งคงไม่อยู่ ๆ กรูเข้ามาทำร้ายผมหรอกใช่ไหม?
“ถึงแล้ว”
เพียงไม่นาน กลุ่มของเราก็ขึ้นมายืนบนกราบเรือเจ้าปัญหาได้อย่างปลอดภัย
กลุ่มที่ประกอบด้วย—
เด็กสาวคนแคระตัวน้อยที่ร่าเริง
สามสาวนักบวชที่แข็งแกร่ง
กระต่ายสาวลึกลับที่ไม่ทราบพื้นเพ
แล้วก็ผม ที่มีเป้าหมายจะไปสำรวจเรือผีสิงลำนี้
“…”
ทำไมถึงรู้สึกว่าพรุ่งนี้จะได้หยุดงานไปอีกวันขึ้นมากันได้ละเนี่ย?
MANGA DISCUSSION