***วันที่ 14 เรตนิว ปีที่ 125 เวลา 11:00 น.***
ฉัน เทพไร้หน้า ลาพิส กำลังยืนเพ่งสมาธิเพื่อขยายประสาทสัมผัสทางจิตรับรู้ที่ว่างอยู่บริเวณแถวโกดังท่าเทียบเรือ
การขยายจิตรับรู้ มันจะทำให้ฉันสามารถรับรู้ที่ว่างรอบตัวเองได้กว้างไกลเทียบเท่ากับการรับรู้ในค่าเฉลี่ยของเผ่ามนุษย์มด ที่ 200 เมตร
แต่ถ้าฉันใช้วิชาของเทพเจ้า ดึงจิตแห่งวิญญาณมาเสริมประสาทการรับรู้ด้วย มันจะทำให้ฉันสามารถรับรู้ได้ไกลถึง 1 กิโลเมตร เลยทีเดียว
แล้วการรับรู้ด้วยจิต ยังสามารถทำให้ฉันที่ดวงตามองไม่เห็น สร้างเป็นภาพของสถานที่ในลักษณะทรงกลมขึ้นมาในหัวได้
ไม่ว่าจะหลังกำแพง ใต้ดิน หรือแม้แต่เศษกองขยะที่หล่นตามทางเดิน ฉันก็สามารถมองเห็นและรู้ถึงการมีอยู่ของมันได้
แน่นอนว่าวิชานี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็น
เพราะฉันไม่สามารถมองเห็นในส่วนของพื้นที่มีมวลหนาแน่น หรือมีม่านพลังงานบางอย่างมารบกวนขัดขวางการรับรู้ของคลื่นจิตที่ว่าง
เห็น เอโซ เคยบอกว่าหลักการวิชารับรู้ที่ว่างของฉัน มันคล้ายกับหลักการรับรู้ที่ว่างของเผ่ามนุษย์มด คือเป็นการส่งคลื่นสมองออกไปเพื่อรับการสะท้อนกลับ เสมือนหนึ่งเป็นเรดาร์ที่มีชีวิต
แต่กรณีของฉันคือเป็นรูปแบบการส่งคลื่นจิตพลังงานวิญญาณออกไปแทน
อืม… แถวโกดังตรงนี้ไม่มีห้องลับเลยแฮะ—
สงสัยว่าจะไม่ได้ซ่อนเอาไว้อยู่ตรงแถวนี้
หืม…?
ความรู้สึกนี้มัน… ของไซน์?
ฉันกำลังตรวจพบจิตเล็ก ๆ จิตหนึ่งที่คุ้นเคย
ดวงจิตนั้นมีพลังขั้ววิญญาณที่สมบูรณ์อย่างบริสุทธิ์
ดวงจิตของน้องสาวตัวน้อย ไซน์ ของพวกเรา
นอกจากวิญญาณบริสุทธิ์ที่คุ้นเคยแล้ว ยังมีดวงวิญญาณไร้รูปอัตลักษณ์กายอีกหนึ่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเธอ
เป็นดวงวิญญาณแปลกหน้าที่พิกลการ… เหมือนกับวิญญาณของพวกไซบอร์กเมื่อกี้
มาทำอะไรที่นี่ของเธอกันเนี่ย?
ไม่ใช่ว่าสหายเอโซบอกให้ยืนเฝ้าอยู่แถวหน้าตลาดหรอกหรือยังไง?
อย่าลืมสิว่าพวกศัตรูมันรู้จักหน้าค่าตาของเธอไปแล้ว เอโซ ถึงได้ให้ไปอยู่แถวปากทางเข้าตลาดที่เปิดกว้าง สวมชุดหนา ๆ ปกปิดตัวเอง และมีคนเยอะ จะได้มีความปลอดภัยมากกว่า
เดียวก็ได้ถูกจับไปต้มกินหรอกเจ้าหนูน้อย
อืม…
มาย้อนคิดดู เอโซ นี่ก็สุดยอดไปเลยแฮะ ที่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
เธอมีแอบกระซิบบอกฉันก่อนแยกจากกัน ว่าเด็กคนนี้อาจจะไม่เชื่อฟังคำสั่ง แล้วมาสำรวจแถว ๆ โกดังที่เป็นอดีตบ้านของเธอ
เธอเลยส่งฉันมาสำรวจบริเวณนี้ เพราะมีสัมผัสรับรู้ที่ดีกว่าใครในกลุ่ม จะได้รู้ทันทีหากว่ามีเหตุการณ์ที่ว่านั้นเกิดขึ้นจริง
*ซ่า!*
ในเวลาเดียวกัน ได้มีเสียงคล้ายระเบิดน้ำดังขึ้นมาจากทางนอกชายฝั่ง ห่างออกไปราว 200 เมตร
ดวงจิตขนาดเล็กกับดวงจิตขนาดใหญ่ของสัตว์ยักษ์ กำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรงจนทำให้เกิดกระแสน้ำทะเลเปลี่ยนทิศ
ฝ่ายหนึ่งใช้ร่างกายที่มีขนาดเล็กกว่า วิ่งกระโดดไปตามผิวน้ำทะเล หลบหลีกพลังงานอันน่าเกรงขามที่พ่นลงมาแผดเผา แล้วสวนกลับด้วยขวานพลังงานที่สามารถเฉือดเฉือนผิวหนา ๆ ของมันได้
ส่วนอีกฝ่ายนั้น ถึงแม้นแสงวิญญาณจะยิ่งใหญ่กว่า 100 เท่า แต่กลับกำลังดูเจือจางแผวแสงอ่อนล้า
ปลายแสงแห่งพลังวิญญาณที่ลุกโชนเหมือนเปลวไฟ กำลังรั่วไหลออกตามบาดแผล เสมือนหนึ่งคล้ายกลุ่มก้อนของแก๊สที่กำลังปลิวกระจาย
อีกไม่นานเจ้าสัตว์ยักษ์คงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ช่างเป็นดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งนัก
ดวงวิญญาณที่มีขนาดเล็กตรงนั้นดูแข็งแกร่งในระดับเดียวกับแม่สาวกระต่ายที่เจอในตลาดเมื่อเช้า
ฉันเริ่มกำหมัด อยากพุ่งเข้าไปท้าประลองฝีมือกับเขาตอนนี้เลย
แต่ภารกิจของพรรคพวกต้องมาก่อน
น่าเสียดายจัง~
อ๊ะ…? ดวงวิญญาณของเจ้าหนู ไซน์ เริ่มขยับแล้ว
เธอกำลังลงจากหลังของเจ้าหนูไซบอร์กม้า แล้วเดินเข้าไปข้างในโกดัง
เธอผ่านเข้าไปทางประตูหนีไฟที่ไม่มีคนเฝ้า
ดูเหมือนว่าเธอจะทำการสะเดาะกุญแจประตูเข้าไปด้วยโลหะเล็ก ๆ ที่เธอเก็บมาจากแถวกองขยะที่อยู่ฝั่งด้านหลังของโกดังสินค้าทะเล
อันตรายนะนั่น…
แต่สหาย เอโซ เคยกำชับฉันเอาไว้ ว่าให้ปล่อยเด็กคนนั้นทำตามใจตัวเองไปก่อน ไม่ต้องเข้าไปยื่นมือแทรก
เวลาเดียวที่ฉันควรจะเข้าไปแทรกให้การช่วยเหลือ คือตอนที่เด็กคนนั้นถูกศัตรูจับตัวไปแล้วเท่านั้น
ฉันไม่รู้หรอกว่าสหาย เอโซ คิดอะไรอยู่ ถึงได้ให้คำสั่งแบบนั้นกับฉันมา
แต่ เอโซ ไม่เคยวางแผนผิด
เพราะฉะนั้นฉันจะทำตามคำสั่งของเธอ
ฉันจะตามดูเด็กคนนั้นจากในที่ห่าง ๆ ไม่ให้เธอรู้ตัวค่ะ
***
“ถึงแล้วครับ!”
“ขอบคุญมากคุณพี่ชาย งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“เออ… ว่าแต่ที่นี่ไม่ใช่มุมที่จะเห็นการต่อสู้ตรงริมหาดได้เลยนะครับคุณน้องสาว~”
“… คะ… คือว่า— มันมีจุดชมวิวอยู่ข้างในค่ะ! เป็นที่ลับเฉพาะของไม่กี่คนที่รู้จักค่ะ! ”
ฉันเริ่มแถสดแถเปื่อยแถสี่ข้างถลอกอย่างร้อนรน
จะให้พี่ชาย [เวอไดท์] ที่พึ่งรู้จักกันเมื่อกี้ มาเกี่ยวข้องกับเรื่องของฉันไปมากกว่านี้ไม่ได้ค่ะ
“งั้นขอผมตามเข้าไปดูด้วยคนสิครับ!”
“เออ…”
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมไปงะ
เอายังไงดี
ฉันคิดหาวิธีไล่พี่ชายให้ไปไกล ๆ ในระหว่างที่เริ่มแก้ระบบล็อคประตูบานที่สองด้วยกิฟเหล็กที่เก็บมาจากกองขยะ
ประตูชั้นแรกเป็นระบบล็อคปกติ มันเลยสะเดาะง่าย
ส่วนประตูชั้นที่สองเป็นระบบออโตเมติกที่ต้องเข้ารหัสสมองกล
แต่เนื่องจากอุปกรณ์ประจำตัวที่ใช้แฮ๊กของฉันมันหายไปกับเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อตอนนั้นไปแล้ว เลยต้องใช้วิธีอื่นแทน
“ขอยื้มหลังหน่อยจิ”
“ได้เลยครับ!”
ฉันปีนหลังของ [เวอไดท์] แล้วใช้แผ่นไม้บาง ๆ แยงเข้าไปในร่องแยกบนบานประตู
ฉันพยายามง้างรอยแยกนั้นให้กว้างขึ้นด้วยความหนาของวัสดุ แล้วเอาแผ่นไม้อีกอันแทรกเพิ่มเข้าไป
ฉันทำแบบนี้ซ้ำ ๆ
พอทำแบบนี้ได้มากถึงระดับหนึ่ง บานประตูก็เปิดกว้างออกอย่างง่ายดาย
เพราะว่าโกดังนี้มีงบสร้างไม่เยอะ ระบบตัวล็อคเลยใช้เป็นแบบระบบแม่เหล็ก ที่หากแค่พยายามง้างออกให้ถึงระยะหนึ่ง แรงแม่เหล็กก็หมดอำนาจที่จะเหนี่ยวรั้งประตูเอาไว้ได้
สรุปคือเป็นระบบป้องกันที่ห่วยแตกสุด ๆ ค่ะ
“เปิดได้ด้วย! สุดยอด! งั้นรีบไปจุดชมวิวที่ว่ากันเถอะครับ!”
“…”
มาคิดอีกที มีพี่ชายคนนี้ตามไปด้วยก็ดีเหมือนกันแฮะ
เพราะว่าฉันมันตัวเล็ก แล้วมีประตูอีกหลายจุดที่ต้องพึ่งพาความสูงในการงัดแงะ
อีกอย่าง พวกเรานะตัวเล็กด้วยกันทั้งคู่ แถมเวลานี้ทุกคนคงไปให้ความสนใจกับราชาจระเข้กันหมด คงไม่มียามเหลือเฝ้าข้างในอาคารนี้กันหรอก
แถมฉันอยู่ที่นี่จนคุ้นชิน รู้หมดแล้วว่ามีกล้องวงจร กับระบบรักษาเตือนภัยติดตั้งเอาไว้ที่ไหน
สรุปคือเป็นงานง่ายราวปอกกล้วยที่จะลอบเข้าไปค่ะ
“งั้นตามมาทางนี้ได้เลยพี่ชาย”
ว่าแล้วก็ได้เวลาออกสำรวจค่ะ~
ข้างในโกดังนั้นไม่ได้ดูเปลี่ยนไปเลยหลังจากครั้งสุดท้ายที่ฉันได้อาศัยอยู่ที่นี่
เอาจริง ๆ ก็พึ่งจะผ่านมาได้แค่ราว 8 -9 วันเองอะนะ
ภายในโกดังที่เปิดโล่งและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวปลาที่วางสุมกองบนพื้นเพื่อรอการคัดแยก มีเพียงแค่คนงานไม่ถึง 20 คน คอยอยู่เฝ้าดูแลเท่านั้น
แถมพวกเขาส่วนใหญ่ก็เอาแต่ยุ่งกับการคัดแยกชนิดปลา จนไม่ได้ใส่ใจเลยว่าพึ่งจะมีเด็กตัวเล็ก ๆ สองคนมุดเข้ามาจากทางประตูหนีไฟที่ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ทางสะดวกละ~
นิน นิน นิน~
รู้สึกสนุก
ถึงจะเป็นสถานที่เดิมที่คุ้นเคย แต่พอมาในฐานะผู้บุกรุกแล้ว ความรู้สึกที่มีต่อสถานที่มันก็เปลี่ยนไป
ว่าแล้วก็ นิน~ นิน~ นิน~ ต่อ
นิน~ นิน—
*ฉึบ*
แง้ว!
อ๊าเระ นานิดะโยว? _?
ทำไมอยู่ ๆ ตัวฉันถึงถูกอุ้มขึ้นมากันเนี่ย? _?
“ทำไม่ต้องค่อย ๆ เดินไปแบบแอบ ๆ ด้วยละ? เดียวการต่อสู้ได้จบก่อนกันพอดีครับ”
ฉันกำลังถูกพี่ชายม้าอุ้มขึ้นขี่หลังเป็นรอบที่สอง
“บอกทางมาได้เลยครับ พี่ชายคนนี้จะควบสี่เท้าพาไปส่งให้ถึงที่เอง!”
พี่ชายคนนี้ใจดีจัง~
งั้นรบกวนด้วยนะคะ!
ฉันเริ่มชี้เส้นทางปลอดภัยให้เขาควบทะยานไปอย่างรวดเร็ว
นำทางเขาให้หลบเลี่ยงมุมกล้อง
ใช้เงาของเครื่องจักรขนาดใหญ่คอยหลบซ่อนสายตาของชาวประมง แล้วรีบรุดหน้าไปทางสำนักงานสูงสามชั้นที่ถูกสร้างอยู่ข้างในอาคารโกดังหลังนี้
พวกเราสามารถเดินทางมาถึงอดีตบ้านของฉันได้อย่างเร็วน่าเหลือเชื่อ โดยไม่มีใครเห็นหรือรู้ตัว
ถึงจะมีเสียงกีบเท้าดังขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ดังมากพอจะแข่งกับเสียงเชียร์ของฝูงชนที่ดังมาจากข้างนอกอาคาร
*โฮ๊กกกกกก!*
เกิดเสียงคำรามเจ็บปวดดังมาจากทางนอกอาคารพร้อมเสียงเฮลั่นของผู้คน
“เขาล้มมันได้แล้วโว๊ย!”
“ล้มมันด้วยตัวคนเดียวอีกด้วย!”
“อ่าว.. แล้วแบบนี้จะถือว่าใครเป็นฝ่ายชนะพนันละนั่น? เพราะมี ซิงเคไนต์ สู้อยู่คนเดียวเลย”
“ไอเชี่ย! เจ้ามือแทงพนันแม่งเผ่นตูดแนบไปแล้วโว๊ย!”
“ไปจับตัวมันกลับมาเร็วทุกคน!”
“โอ๊ววววววววววววว!!”
ดูเหมือนว่าข้างนอกจะสนุกกันไม่เบาค่ะ
แต่แบบนี้ฉันก็เหลือเวลาน้อยแล้วสิเนี่ย
“คุณน้องสาว ดูเหมือนว่าการต่อสู้จะจบไปแล้วละครับ…”
“…”
คุณพี่เวอไดท์ดูท่าจะเสียใจที่พาฉันไปถึงจุดหมายไม่ทัน
แต่ไม่เป็นไร
เพราะเป้าหมายแรกของฉันไม่ใช่การมาส่องดูการต่อสู้ระหว่างชาวประมงกับราชาจระเข้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“ไปข้างหน้าอีกนิด อย่างน้อยก็ไปดูสภาพหลังการต่อสู้ก็ยังดีค่ะ”
“ครับ!”
ฉันนำทางให้เขาพาเดินเข้าไปในอาคาร
วินาทีที่เข้าประตู ฉันก็รีบปาขี้โคลนไปปิดกล้องวงจรที่อยู่ตามเพดานในทันที
อืม… มืดสนิท เหมือนไม่มีใครอยู่
แสดงว่าออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว
“มืดจัง ต้องไปเปิดไฟตรงไหนเนี่ย? ”
“ไม่ต้องสนใจเรื่องแสงไฟค่ะ ให้วิ่งตรงไปข้างหน้า ผ่านไปสามห้องจะเจอบันได แล้วขึ้นไปชั้นบนสุดได้เลยค่ะ”
“ครับ!”
พี่ชายม้าเลิกหาปุ่มเปิดไฟ แล้วพาตรงไปที่บันไดอย่างรวดเร็ว
เขาเชื่อที่ฉันพูดทุกอย่างจนรู้สึกน่ากลัวเลยค่ะ
หลังจากนั้นไม่ถึงสามนาที พวกเราก็ไปถึงห้องทำงานของคุณเสือกินคนที่น่ารังเกียจ
ข้างในห้องทำงานของเขา ยังคงดูเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน
มีโต๊ะไม้หนึ่งตัว เก้าอี้หนังหนึ่งตัว ตู้เก็บหนังสือ กรอบรูปถ่ายที่มีภาพระหว่างฉันกับเขาเมื่อสมัยเด็ก แล้วก็ชุดโต๊ะรับแขกอีกหนึ่งวางเอาไว้ตรงมุมทางเข้า
“สุดยอด จากตรงนี้สามารถมองเห็นวิวทะเลทั้งหมดได้จริง ๆ ด้วย!”
“มันเป็นที่ลับเฉพาะ ที่ไม่เปิดให้คนนอกเข้า เพราะงั้นเรื่องที่พวกเรามาเหยียบที่นี่ในวันนี้ ต้องปิดปากให้มิดเลยนะ!”
“ได้เลยครับคุณน้องสาว~”
เขาเก๊กหน้าหล่อใส่ฉันอีกแล้ว
เริ่มชักแอบจะคิดแล้วว่าคน ๆ นี้กำลังพยายามจะจีบฉันใช่ไหมเนี่ย?
เกิดเป็นคนน่ารักมันบาปแบบนี้นี่เอง~
ฉันคิดแบบนั้นแล้วปล่อยให้เขาชื่นชมกับวิวข้างนอกห้องไป
ส่วนฉันนั้น กำลังเริ่มรื้อโต๊ะทำงานของเขาเพื่อค้นหาข้อมูลบางอย่างที่เป็นประโยชน์
แต่รื้อเท่าไหรก็ไม่พบอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง
แง…
เวลาไม่เหลือแล้ว
คุณเสือกินคนจะกลับมาที่ห้องนี้เมื่อไหรก็ไม่รู้—
ในตอนนั้นเองที่ฉันเหลือบไปมองรูปแขวนผนังที่เป็นรูปถ่ายคู่ระหว่างฉันกับพี่เสือกินคน
คงไม่น่าจะใช่มั้ง…
คงไม่ได้เก็บของสำคัญเอาไว้หลังกรอบรูปที่ถ่ายคู่กับฉันหรอก
เพราะเขาคือคนที่คิดหลอกใช้ให้ฉันไปตาย แล้วยังคิดจะจับฉันต้มกินเมื่อรู้ว่ารอดชีวิต
เขาไม่ได้เห็นฉันมีค่าอะไรไปมากกว่า [อาหาร] ของเขา…
ถึงหัวจะคิดต่อต้าน แต่มือของฉันก็เอื้อมไปขยับกรอบรูปเป็นที่เรียบร้อย
ฉันทำการแกะกรอบไม้ออก เพื่อดูว่ามีอะไรซ่อนอยู่หรือไม่
*ตุ๊บ*
แล้วมันก็หล่นลงมา
สมุดโน๊ตเล่มสีขาว— ที่ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า [โครงการหมายเลข 0]
“เฮ้ย! ใครมันลืมปิดประตูทางเข้าสำนักงานทิ้งเอาไว้วะ!”
“หรือว่าจะมีหัวขโมยตัวไหนลอบเข้ามา!? ”
แต่ก่อนที่จะได้ทันลงมืออ่าน มันก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมา
เพราะไม่มีกระเป๋า ฉันเลยรีบยัดหนังสือเล่มเล็กเข้าไปในเสื้อ
หน้าปกแข็ง ๆ ของมันกำลังแนบเนื้อผิวหน้าอกที่แบนราบจนรู้สึกเย็นเฉียบ
เพราะว่าตัวเองมีน้อย เลยไม่มีสิ่งเหนี่ยวรั้ง จนทำให้หนังสือร่วงไปหยุดลงที่ช่วงเอว
ถ้ายางรัดกระโปรงไม่แน่นพอ ป่านนี้คงร่วงทะลุลงมาแล้ว
แบนราบจนซ่อนหนังสือไม่ได้~
“…”
พูดแล้วก็เจ็บเอง…
เอาเถอะ
ฉันว่าตอนนี้คงได้เวลาที่จะเผ่นหนีกันแล้วค่ะ
MANGA DISCUSSION