***วันที่ 13 เรตนิว ปีที่ 125 ***
“ยินดีต้อนรับสู่ทวีปเทวภูมิ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามนุษย์สัตว์ผู้ทรงเกียรติ์ค่ะ”
“ขณะนี้คือเวลาเที่ยงตรง เวลา 24:00 น. คนที่จะออกไปทาง–”
เสียงประกาศตามสายทำให้พวกเรารู้ว่ามาถึงเร็วกว่ากำหนดการอยู่ 1 ชม.
พวกเราสี่คนเดินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองได้อย่างราบรื่นไม่มีปัญหา แล้วเริ่มมุ่งหน้าไปที่วิหารเทพทั้งสามที่ตั้งอยู่ในเมือง
พวกเรานั่งขบวนรถเหาะ วิ่งลอดอุโมงค์ใต้ดินที่อดีตเคยเป็นเมืองพักอาศัยของเผ่ามนุษย์มด ก่อนจะตัดกลับขึ้นมาบนดิน ผ่านสวนใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้ากับต้นไม้ใบสีดำที่ขึ้นเรียงรายไปสองข้างทางตัดกับหิมะสีขาว
พึงจะพูดเหมือนว่าตัวเองเห็นภาพกับสี แต่ความจริงฉันมองไม่เห็นสีหรอกนะ
ที่ฉันทำ ก็เพียงแค่ใช้จินตนาการณ์ช่วยเติมเต็มภาพขึ้นมาในหัวเท่านั้น
[…]
“แค่จะพูดว่า จุด จุด จุด ไม่จำเป็นต้องเขียนเป็นป้ายบอกพวกเราก็ได้มั้งลาพิส? ”
[อ๊ะ? จริงด้วย (/•ิ_•ิ) /]
ฉันเคาะหัวตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเก็บป้ายข้อความกลับลงไปในกระเป๋า แล้วนั่งเหม่อสัมผัสบรรกาศของทวีปบ้านเกิดเผ่ามนุษย์สัตว์ของตัวเองต่อ
เป็นบรรยากาศที่ชวนให้คิดถึงอดีต และรู้สึกรังเกียจมันไปพร้อมกันค่ะ
เมืองที่เราลงจอดนั้น ตั้งอยู่สุดขอบตะวันตกของทวีป
มันคืออดีตเมืองที่ถูกบุกเบิกของชนชาวต่างชาติในการค้นพบทวีปเทวภูมิของเผ่ามนุษย์สัตว์เป็นครั้งแรก
ถึงฉันจะโง่ จดจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่เรื่องประวัติศาสตร์ของเผ่าตัวเองนั้น ฉันไม่โง่พอจะลืมหรอกนะ
ทวีปเทวภูมิ
คือทวีปที่เกิดขึ้นจากการถูกยานอวกาศอพยพขนาดใหญ่ของเผ่ามนุษย์สัตว์ตกใส่
เพราะว่าอดีตเมื่อราว 1,125 ปีก่อน ดาวบ้านเกิดของชาวเผ่ามนุษย์สัตว์ได้ถูกทำลายไปแล้วด้วยการสิ้นอายุขัยของดวงดาว
ฉันเองก็เกิดในช่วงยุคปีนั้นพอดีเหมือนกัน เลยทำให้ได้รับรู้ภาพของยานอพยพมาด้วยตัวเอง
สุดยอดนักวิทยาศาสตร์เผ่ามนุษย์สัตว์ [บาวล์] กับ [โนอาร์] ในยุคนั้นได้สร้างยาน [โนอาร์] ขึ้นมา
มันคือยานอวกาศขนาดใหญ่ที่บรรทุกชนเผ่ามนุษย์สัตว์ในเวลานั้น
แต่ด้วยความโง่เขลาของเผ่ามนุษย์สัตว์ที่ทรนงตนเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวาล เลยทำให้ระหว่างอพยพตามหาดาวดวงใหม่ ได้ไปก่อสงครามกับดาวอื่นไปทั่ว จนกระทั้งพ่ายแพ้ แล้วระเห็จหนีมาจนถึงดาวดวงนี้
แถมยังโง่เขลามากพอให้เกิดความขัดแย้งกันเองภายในระหว่างฝ่าย โนอาร์ กับฝ่าย บาวล์
บทสรุปสุดท้ายของความโง่เขล่า คือการสูญพันธุ์เผ่าสายเลือดดั้งเดิม เพราะดันไปทำยานอพยพโหม่งโลกนี้เข้าให้
ผู้รอดชีวิตจากการโหม่งโลก มีเพียงแค่ [บาวล์] กับร่าง Back up ของจิตวิญญาณ [โนอาร์] ที่ไม่เหลือเค้าของความโหดเหี้ยมเดิม กับบรรดาระบบสมองกลที่พวกเขาสองคนเป็นคนสร้างขึ้นมาเพื่อดูแลยาน
เพื่อให้เผ่ามนุษย์สัตว์ดำรงอยู่ต่อไป [บาวล์] จึงสร้าง [โฮมุนครุส] ขึ้นมา แล้วลบประวัติศาสตร์มืดเดิมทั้งหมดทิ้งไป แล้วฆ่าตัวตาย ปล่อยให้ระบบสมองกลเป็นผู้ดูแลเหล่าโฮมุนครส
ด้วยเหตุนี้เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เผ่ามนุษย์สัตว์ในปัจจุบันมีเลือดเป็นสีน้ำเงินกันหมด เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมา และนับถือยานอวกาศ [โนอาร์] กับระบบของยานที่ชื่อ [โนอาร์] เป็นเทพเจ้าสูงสุดของตัวเอง
นี่คือประวัติศาสตร์และความเป็นมาของเผ่ามนุษย์สัตว์ค่ะ
ความจริงในตอนแรก พวกเราเทพทั้งสามที่เลือกโลกใบนี้เป็นเวทีในการสร้างดาวและรวบรวมเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ในจักรวาลมาอยู่รวมกันเพื่อความสนุก ไม่ได้ตั้งใจจะให้มีเผ่ามนุษย์สัตว์รวมอยู่ตั้งแต่แรกหรอกค่ะ
แต่มันเป็นเรื่องของความบังเอิญที่ยานอพยพมาโหม่งโลกหลังจากที่พวกเราได้เลือกโลกไปแล้ว
ฉันเองยังรู้สึกตกใจเลยค่ะ
อนึ่ง ตัวฉันนั้นได้ตายไปตั้งแต่ช่วงเวลาแรก ๆ ที่ได้ขึ้นยานอพยพแล้วค่ะ
สาเหตุการตายนั้น— แก่ตายค่ะ…
“ว๊าววว! จากตรงนี้มองเห็นยอดหอคอยที่ใจกลางทวีปด้วยละ!”
“นั่นเรียกว่าหอคอยโนอาร์ เป็นสถานที่สถิตของเทพเจ้าจอมปลอมโนอาร์นะ”
“เทพเจ้าจอมปลอม? ”
“อ๊ะ? เกือบลืมไปว่าพูดแบบนั้นที่ทวีปนี้ไม่ได้…”
สหายเทพไร้แขนรีบลดเสียงของตัวเองให้เบาลงพร้อมกับใช้ปีกของเธอโอบเด็กสาวตัวน้อยให้เข้ามาใกล้
ส่วนเทพไร้ขานั้น ดูเหมือนว่ากำลังรู้สึกอิจฉาเทพไร้แขนอยู่
อย่างที่ได้บอกไป ว่าเผ่ามนุษย์สัตว์ส่วนใหญ่นั้นนับถือโนอาร์เป็นเทพเจ้าค่ะ
ดังนั้น การวิจารณ์เทพเจ้าสูงสุดต่อหน้าพวกเขา ก็เหมือนกับการไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนค่ะ
เพราะมันมีสิทธิ์ที่จะถูกฆ่าสูงมากเลยค่ะ
ถึงแม้ว่าจะมีการเปิดเผยงานวิจัยทางประวัติศาตร์จากชนเผ่าอื่น ๆ ว่าพวกเขานั้นเป็นผู้อพยพมาจากนอกโลก และโนอาร์น่าจะเป็นเพียงแค่ระบบสมองกลมีชีวิต แต่พวกมนุษย์สัตว์กลับเลือกที่จะไม่เชื่อหลักฐานเหล่านั้นกันค่ะ
ช่างเป็นความศรัทธาที่น่านับถือจนรู้สึกชวนอ๊วกไปเลยค่ะ
“ถึงแล้ว นี่ละคือวิหารของเทพทั้งสาม โรงแรมที่พวกเราจะพักอาศัยในระหว่างที่อยู่ในทวีปนี้”
ที่ตรงหน้าของพวกเราในตอนนี้ มีวิหารที่ดูคล้ายกับอารยะธรรมกรีกโบราณของชาวโลกตั้งอยู่หลังหนึ่ง
มันถูกสร้างด้วยปูน แต่ถูกทาสีทับด้วยสีครีมจนทำให้ดูเหมือนถูกสร้างจากหินอ่อน
มันเป็นวิหารที่มีขนาดเล็กเป็นห้าเท่าหากเทียบกับวิหารของสาขาออโรร่า
น่าจะจุคนได้แค่ครั้งละ 20 คนเท่านั้นเองค่ะ
ภายในวิหารมีรูปปั้นของเทพทั้งสามวางตั้งเอาไว้ พร้อมกับถาดใส่มะเขือเทศที่เตรียมเอาไว้ให้กับผู้ศรัทธามาขว้างปาด่าทอเทพเจ้า
บนรูปปั้นของเทพเจ้าทั้งสามที่ถูกปั้นให้สวมผ้าคลุมปกปิดใบหน้า มันเต็มไปด้วยคราบสกปรกของมะเขือเทศเหล่านั้น
ไม่มีคนดูแลประจำสาขา มีเพียงแค่หุ่นยนต์โดรนหนึ่งตัว กับโกเลมหมีน้อยสองสามตัวที่เอาไว้ใช้สำหรับรับใช้ผู้มาเยือนวิหารแห่งนี้
เพราะว่ามีผู้ศรัทธาน้อย วิหารเลยมีขนาดเล็กอย่างที่เห็นเนี่ยแหละค่ะ
“วิหารของเทพทั้งสาม? ตกลงนี่พวกพี่สาวเป็นนักบวชจริง ๆ สินะคะ”
“…แล้วคิดว่าพวกเราเป็นอะไรกันในตอนแรก? ”
“เห็นพี่สาวแมรี่โกลว์บอกว่าเป็น [ฮีโร่สามสีจากแดนคนตาย อดีตเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างโลกใบนี้ ผู้ลงมาจุติบนโลกเพื่อปราบความชั่วร้าย] อะไรแบบนี้ค่ะ แล้วที่ว่าจะพวกพี่อยากเข้าองค์กรคาร์นิวอย ก็เพราะจะแอบลอบเข้าไปปราบเหล่าร้ายในองค์กรอย่างที่ฮีโร่ผู้ผดุงคุณธรรมทำกันค่ะ!”
สมกับเป็นแมรี่โกลว์ แนะนำตัวเองได้สุดยอดอย่างเคย
“แม-รี่-โกลว์! นี่เธอยัดอะไรลงไปในสมองของเด็กน้อยกันยะ!!”
“ผมเปล่านะ!! แว๊กกก!?!”
ฉันสัมผัสเงาของสองสหายที่กำลังเริ่มวิ่งไล่จับ
พวกเธอเริ่มวิ่งไปมากันภายในวิหารขนาดเล็ก
ใช้เสาดอริกสีขาวที่สร้างเรียงรายเป็นฐานเหยียบกระโดดเร่งความเร็ว แล้วไล่ล่ากันอย่างกับหนังต่อสู้ของพวกเหนือมนุษย์พึ่งกระทำ
ส่วนฉันกำลังเริ่มเขียนป้ายว่า [ปิดทำการซ่อมแซมวิหารชั่วคราว] เตรียมแขวนเอาไว้ที่หน้าประตูวิหาร
เพียงเวลาไม่นานนัก โถงสำหรับทำพิธีด่าทอเทพเจ้าภายในวิหารก็ถูกทำลายย่อยยับไม่ต่างไปจากที่พวกเราเคยทำลายทิ้งในวิหารอื่น ๆ ที่พวกเราได้เคยได้ไปเยือน
“เออ… พังยับหมดเลย… แบบนี้จะไม่เป็นไรหรือค่ะพี่สาวลาพิส? ”
[ตัวอย่างที่ไม่ดี อย่าหาทำตามนะคะ (¬_¬メ) .]
“ค่ะ”
เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการเรียนรู้ที่ไม่ดีต่อเด็ก ๆ ฉันเลยพาเธอหนีไปที่ส่วนของห้องพักข้างใน
“…”
สัมผัสได้ถึงเงาคนข้างในห้องพัก
จากสัมผัสจิต น่าจะเป็นเผ่ามนุษสัตว์สายพันธุ์กระต่าย เพศหญิง
ลักษณะท่าทาง— เหมือนจะเป็นโจร
[รออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ (•ิ_•ิ) ]
ฉันเดินตรงไปที่ห้องประตูห้องพัก พร้อมกับใช้วิชาลบตัวตนออก
ทำจิตให้ว่างเปล่า กลืนกลิ่นอายไปกับธรรมชาติ เสมือนตัวเองเป็นดั่งต้นไม้ริมทาง
บังอาจมาลักขโมยในวิหารของพวกเรา อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปได้—
*พลั๊ก!*
อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็เคลื่อนไหวก่อนที่ฉันจะได้ทันลงมือ
เธอคนนั้นรีบพุ่งออกมาเปิดประตูอย่างรุนแรงจนบานไม้พุ ๆ หลุดกระเด็นจากบานพับเหล็กขึ้นสนิมที่ยึดติดเอาไว้
ใช้ร่างกายที่ว่องไวและยืดหยุ่น ม้วนตัวกระโดดข้ามเหนือหัวของฉัน แล้วใช้เพดานคอนกรีตเป็นฐาน ออกแรงกระโดดจังหวะสองไปฝั่งตรงทางเข้าของวิหาร
ในมือของเธอ มีถุงกระสอบที่ส่งเสียงคล้ายแผ่นกระดาษกับเหรียญเงินกระทบกันดังลอดออกมา
ขโมยเงินบริจาคของวิหาร?
ที่สำคัญ คือเจ้าโจรนี้มันจับกลิ่นอายของฉันที่ลบตัวตนไปแล้วได้?
แล้วยังความว่องไวระดับนั้นอีก?
น่าสนุก!
“เดียวก่อน พี่สาวจะไป—”
เหมือนว่าน้อง ไซน์ กำลังพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง
แต่ฉันไม่สนใจ เพราะตอนนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าเกิดขึ้นตรงหน้าแล้วนั่นเอง
***เวลา 26:00 น.***
“เจ้าหน้าที่ ออน-เอ็ซท เร่งฝีเท้าหน่อย! เดียวก็ทิ้งเอาไว้ที่สนามบินเสียหรอก ออน!”
“ทำตัวขยัน ๆ หน่อย ไม่งั้นได้ถูกเด้งออกจากงานตั้งแต่เดือนแรกแน่ นี่พวกเราใจดีมากแล้วละนะ ที่ไม่ไล่ออกหลังจากที่เจ้าโดดงานหายหน้า หายตาไปตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน”
“ครับ…”
บุรุษหนุ่มตำรวจคนหนึ่งกำลังเดินตามหลังรุ่นพี่สองคนด้วยความรู้สึกผิด
จากเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่เกิดขึ้นในเมืองเถื่อน เลยทำให้เขาลืมไปเสียสิ้นว่าตัวเองมีภารกิจหลักคืออะไร
แถมครั้งสุดท้ายที่มีคนเห็นเขา คือตอนที่เขาวิ่งออกไปช่วงกลางดึกโดยไม่บอกถึงเหตุผล
เขาเลยถูกคนเข้าใจผิด ว่าไปเที่ยวเตร่จนหลงทาง หายหน้าหายตาไปนาน
พอเขานึกออกว่าตัวเองมาที่ทวีปนี้เพื่ออะไร เขาก็รีบกลับไปรายงานตัวทันที
แต่กว่าจะไปรายงานตัว มันก็สายไปแล้ว
ถูกลดเงินเดือน แล้วยังถูกด่า ก่อนจะถูกส่งให้ตามเป้าหมายที่พึ่งถูกสั่งย้ายมาที่สาขาทวีปเทวภูมิในวันเดียวกับที่เขากลับมารายงานตัว
หรือก็คือวันนี้นี่เอง
ตอนสมัยที่เข้าทำงานเป็นตำรวจในเมืองออโรร่า งานแรกที่เจอคือคุมตัวภูติที่มีนิสัยแปลกประหลาด
พอมาตอนนี้ได้เข้าทำงานเป็นตำรวจสากล ก็ดันทำเรื่องงามหน้าอย่างการหายหัวไปหลายวัน
ช่างเป็นโชคชะตาที่โหดร้ายสำหรับเขาเสียจริง…
“เฮ้อ… เรานี่นะ ทำไมถึงลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ไปได้…”
กว่าจะนึกออกว่าตัวเองต้องทำอะไร ก็ปาเข้าไปหลังจากที่เขาออกไปวิ่งออกกำลังกายเมื่อเช้าของวันนี้ไปแล้ว…
เขาสะบัดหัว แล้วยืดตัวตรง ก่อนจะก้าวขาเดินตามหลังรุ่นพี่ที่เป็นชายเผ่าภูติผมสีขาว กับชายเผ่ามนุษย์นกที่มีปีกสีดำสนิทเหมือนอีกา ด้วยความรู้สึกผิดเช่นนั้น
พวกเขาสามคนเดินออกมาจากสนามบินท่ามกลางฝูงชนที่เต็มไปด้วยชนเผ่ามนุษย์สัตว์
มันเป็นภาพที่แปลกตาสำหรับเขา
ภาพของมนุษย์ม้าที่มีครึ่งร่างกายเป็นม้าสี่ขา กำลังยืนตะโกนรับคนขึ้นขี่หลัง เพื่อพาท่องเที่ยวในตัวเมือง
ภาพของมนุษย์กอลิล่ากับหมีตัวใหญ่ ที่พร้อมจะให้บริการพานำเที่ยวผจญภัยในส่วนป่าลึกกับหุบเขาของทวีป
ภาพของเผ่ามนุษย์หนูเพศหญิงตัวเล็กน่ารัก ที่กำลังกางเต้นท์สนามขายของทำมือประจำถ้องถิ่นให้กับเหล่านักท่องเที่ยวที่มาพึ่งเดินทางมาถึง
“มนุษย์สัตว์-เผ่าหนู อย่างงั้นหรือ…”
พอบุรุษหนุ่มเห็นเผ่ามนุษย์หนู สมองของเขาก็เริ่มสร้างภาพของสตรีผมสีผ้าที่มีผ้าคาดปิดตาโดยอัตโนมัติ
เป็นภาพของสตรีที่สวยงาม มีผมสีฟ้ายาวเงางามดั่งเป็นผืนน้ำทะเล
เธอคนนั้นอยู่ ๆ ก็มอบมือถือกับปืนกระบอกใหม่ให้กับเขาที่กำลังถังแตก
แถมยังจงใจซื้อมือถือรุ่นโมเดลปืนลูกโม่กับปืนรังสีรูปโมเดลปืนลูกโม่รุ่น Colt Buntline ที่มีรังเพลิงยาวเป็นพิเศษอีกด้วย
มันเป็นรุ่นโมเดลที่เขาชื่นชอบมากเป็นที่สุด จากบรรดูรูปโมเดลของปืนลูกโม่รังสีที่มีผลิตออกมาขาย
ถึงจะเป็นของมือสอง แต่มันมีความสวยงามที่ไม่แพ้ของมือหนึ่งเลยละ
“ (อึ๊ก…!) ”
พอมองของขวัญที่ได้รับมาจากผู้หญิงเป็นครั้งแรกในชีวิต หัวใจมันก็เต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ (ทำไมเธอคนนั้นถึงมอบของขวัญให้ผม… แลกกับที่ช่วยถือของ? หรือว่าจริง ๆ แล้วเธอจะแอบชอบ—) ”
ตำรวจหนุ่มเริ่มหน้าแดงพร้อมกับคิดมโนเข้าข้างตัวเอง
เขาไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต เพราะความบื้อ…
นี่เลยเป็นครั้งที่เขาได้เรียนรู้ถึงความรู้สึกของ—
“ (หรือว่านี่จะเป็น… รักแรกพบ?) ”
ถ้าหากเขารู้ความจริงว่า ลาพิส มอบของขวัญให้โดยที่ไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึง เขาคงจะสะเทือนใจน่าดู
“เฮ้ย! มัวทำอะไรของแกอยู่เนี่ย!? รถที่จะพาไปสำนักงานมาจอดรอนานแล้วนะเฮ้ย!”
“อยากถูกไล่ออกจริง ๆ ใช่ไหมนายนะ? ออง? ”
“อ๊ะ? ขอโทษด้วยครับรุ่นพี่!”
ตำรวจหนุ่มรีบเดินตรงไปรถบริการสาธารณะไร้คนขับที่พวกรุ่นพี่ยืนรอกันอยู่
เขาโยนกระเป๋าของตัวเองใส่กระโปรงหลังของรถ จนระดับลอยตัวของยานลอยตำลงมาราวหนึ่งเซนติเมตร หลังจากวางกระเป๋าเสร็จ เขาก็กลับไปยืนรอข้างรถ เพื่อให้พวกรุ่นพี่ขึ้นไปนั่ง—
*ตู้ม!*
—ขึ้นไปนั่งบนรถที่พังทลายไปแล้ว…
“เฮ้ย!?!”
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย!”
“เผ่ากระต่าย? ”
บนหลังคารถที่ยุบลงมาราวหนึ่งฟุต มีกระต่ายขนสีเทาระบายสีขาวอ่อนจาง ๆ ยืนอยู่คนหนึ่ง
เธอเป็นผู้หญิงที่สวมชุดตัวบางผิดกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ
มีขนาดตัวเพียง 168 เซนติเมตร ตัวเล็กดูบอบบาง แต่กลับมีกล้ามเนื้อที่ซ่อนรูปไปกับส่วนเว้าโค้งบนร่างกาย
ไว้ผมป๊อบสั้นสีดำอ่อนไล่ไปจนมีมีสีขาวตรงปลายเส้นผม และมีดวงตาสีแดงเลือด
ในมือข้างขวาของเธอ มีถุงกระสอบเก่า ๆ ถือเอาอยู่หนึ่งถุง
“ข้าน้อยขอโทษด้วย แต่กำลังรีบ เพราะฉะนั้นข้าน้อยขอตัว!”
“เฮ้ย!?! เดียวก่อนสิ! ออง!? ”
แม่สาวกระต่ายคนนั้นวิ่งต่อไปตามถนน แล้วหายตัวไปในตรอกซอยข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนที่บุรุษทั้งสามคนจะได้ทันเรียกร้องค่าเสียหาย
*ตึง!*
เกิดเสียงกระแทกใส่หลังคารถเป็นรอบที่สอง
คราวนี้เป็นเผ่ามนุษย์หนูที่มีผมสีฟ้า
“งะ! ลาพิส?? ”
หัวใจของนายตำรวจหนุ่มถึงแทบจะเด้งออกมาจากร่างกายในตอนที่เห็นเรือนร่างของหญิงสาวในชุดกันหนาวขนปุยสีขาว
*ฉึบ —!!*
แต่ทว่าดูเหมือนว่าสมาธิของสตรีผมสีฟ้าจะไปอยู่ที่อื่นแทน
เธอกระโดดลงจากรถ แล้ววิ่งหายลับตาไปในตรอกซอยที่สาวน้อยกระต่ายวิ่งหายไปเมื่อกี้
การเล่นไล่จับของผู้อยู่ ณ จุดสูงสุดของเผ่ามนุษย์สัตว์ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
MANGA DISCUSSION