บทที่ 3 อัตตาไร้รูปกาย
ตอนที่ 41 หนึ่งวันของ ลาพิส ลาซูลีล
สวัสดีค่ะเหล่าคุณผู้ที่กำลังมองดูฉันจากอีกมิติ
เนื่องจากว่าฉันออกจะไวต่อสัมผัสรับพลังงานวิญญาณ พลังงานแปลกปลอมจากต่างมิติ เลยทำให้รู้สึกตัวถึงพวกคุณได้ค่ะ
ฉันก็ไม่รู้นะว่าพวกคุณเป็นใคร แต่ฉันรู้สึกได้ค่ะว่าเหนือมิตินี้ขึ้นไป มันมีอีกพลังงานวิญญาณที่กำลังมองดูฉันอยู่
แต่ดูเหมือนว่าจะทำได้เพียงแค่ [มองดู] กับ [อ่าน] เท่านั้นเองสินะคะ?
รู้สึก… เหมือนว่ากำลังถูกถ้ำมองอยู่เลยค่ะ!
มันแอบทำให้รู้สึกเขินเหมือนกันนะ!
อืม…
แต่พอรู้ว่ามีคนกำลังมองดูอยู่ ฉันเลยรู้สึกมีพลังที่จะเขียนบันทึกเล็ก ๆ ของตัวเองให้พวกคุณได้อ่านกันค่ะ
เพราะอย่างน้อย การที่ได้เล่าเรื่องราวของตัวเองให้ไปอยู่ในใจของคนอื่นได้ มันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก ๆ เลย
คิดแบบนั้นหรือเปล่าละคะ?
งั้นเรามาเริ่มกันเลย กับบันทึกหนึ่งวันของ ฉัน [ลาพิส ลาซูลีล] หรือเทพไร้หน้าผู้นี้
***วันที่ 13 เรตนิว ปีที่ 125***
วันนี้คือวันที่พวกเราจะออกเดินทางกัน
ฉันเลยต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรูตอนเวลา— คิดว่าน่าจะราว 8:00 น.
เหตุผลที่คิดว่าเป็นเวลานี้ เพราะฉันยังไม่สามารถจับสัมผัสของพระอาทิตย์ได้ค่ะ
วันนี้พวกเราตื่นกันแต่เช้า โดยมีเทพไร้แขนตื่นก่อนเป็นคนแรก
เธอนะสุดยอดมากเลยละรู้หรือเปล่า?
ทั้งที่กว่ายานจะออกมันต้องรอถึงตอน 11:00 น. แต่เธอกลับตื่นขึ้นมาเตรียมตัวตั้งแต่เวลานี้
ไม่เพียงแค่จัดกระเป๋าให้ตัวเอง แม้แต่กระเป๋าของเด็กสาวผมเงิน เธอก็ยังจะจัดเตรียมให้เธออีกด้วย
ทั้งอาหารเช้า
เสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ประจำวัน
เธอเล่นเตรียมให้เด็กสาวอย่างพร้อมสรรพเลยละ
ไหนบอกจะปล่อยให้เด็กคนนี้ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง?
ถ้าจะไม่ให้เรียกว่าเป็นการสปอยเด็ก แล้วจะให้เรียกว่ายังไงดีละเนี่ย?
ส่วนฉันใช้เวลาช่วงเช้าไปกับอะไรนะหรือ?
โดยปกติแล้วจะชอบออกไปฝึกบริหารกายกับจิตใจก่อนทุกเช้า แล้วค่อยกลับมาอาบน้ำอาบท่าก่อนเป็นอันดับแรก
การออกกำลังกายก่อนมาชำระร่างกายเนี่ย มันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก ๆ เลยละ
ส่วนสหายเทพไร้ขานั้น—
“กว่ายานจะออกก็อีกตั้งนาน จะรีบจัดของไปทำไมตอนนี้? ”
มักชอบพูดอะไรแบบนี้ทุกครั้งที่เดินทางไกล แล้วตื่นจวนเจียนจะไปสายแทบทุกครั้ง
อาจจะเพราะมีนิสัยสบาย ๆ แบบนี้ เลยทำให้กระเป๋าเดินทางของเธอมีขนาดเล็กเสมอกระมั้ง?
“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่สาวเอโซ~ พี่สาวลาพิส~ ฮ้าว~… งืม~”
ดูเหมือนว่าเจ้าตัวน้อยจะตื่นผิดเวลาเพราะเสียงของพวกเรา
พอพูดถึงเจ้าตัวน้อยแล้ว ก็ทำให้ฉันนึกถึงความสุดยอดของคุณเทเรซ่าขึ้นมาได้
นั่นคือเรื่องของบัตรยืนยันตัวตนของเด็กคนนี้
อันนี้คือการย้อนความเล็กน้อยค่ะ
“ก่อนอื่นคงต้องจัดการทำบัตรยืนยันตัวตนของเด็กคนนี้ให้ชัดเจน เดียวเราจะติดต่อคุณเทเรซ่าให้จัดการเรื่องนี้เอง”
เมื่อสองสามวันก่อนสหายไร้แขนพูดแบบนั้น แล้วลงมือติดต่อคุณเทเรซ่า เพื่อฝากเธอช่วยในเรื่องของการประสานงานกับหน่วยงานรัฐประเทศ
“ฉันจะมีหลานสาวแล้วสินะ? ”
คุณเทเรซ่าส่งข้อความตอบกลับที่ดูเหมือนจะเข้าใจผิดไปไกล แล้วลงมือจัดการเองเสร็จสรรพ คลอดบัตรยืนยันออกมาได้ภายในหนึ่ง ชม. เท่านั้น
***
นาม ไซน์ อมรา
อายุ 20 ปี (นับตามระบบดาว เอนโดรเนส)
อายุ 10 ปี (นับตามระบบดาว ไดม่อน)
ส่วนสูง 80 ซม.
เพศ หญิง
เผ่าพันธุ์ ดวอร์ฟ ถิ่นเกิดดาว ไดม่อน
สัญชาติประเทศ คริสตัล
ศาสนา เทพทั้งสาม
***
เออ… คุณเทเรซ่าค่ะ…
นามสกุลนี้มันคืออะไรกันคะ?
แถมยังศาสนากับถิ่นกำเนิดที่โกหกลงไปแบบนั้นอีก?
นี่เล่นยัดเยียดความเป็นหลานสาวให้แบบนี้เลยอย่างงั้นหรือคะ?
ถึงฉันจะมองไม่เห็นเลยอ่านป้ายข้อความไม่ได้ แต่ก็ยังพอให้คนอื่นอ่านออกเสียง แล้วจับสัมผัสการสั่นไหวของอากาศด้วยจิตในการรับรู้ได้อยู่
พอได้รับรู้ข้อมูลบัตรยืนยันของเด็กคนนี้แล้ว มันก็แบบว่า—
“หนูขอนอนต่อนะคะ— ฮ๊าว~”
แต่ฝั่งเด็กสาวดูท่าจะไม่ได้รังเกียจที่ถูกยัดเยียดความเป็นหลานให้ เพราะงั้นฉันเลยทำเป็นมองข้ามเรื่องนี้ไป
ฉันใช้จิตจับความเคลื่อนไหวของเด็กน้อยผมสีเงินที่กำลังล้มตัวนอนลงบนฟูกนุ่ม ๆ เป็นรอบที่สอง
อนึ่ง ที่ฉันรู้ว่าเธอมีผมสีเงิน มันเป็นเพราะสหายอีกสองคนช่วยบอกให้ฉันรู้ค่ะ
การใช้จิตแทนการรับรู้โดยประสาทสัมผัสทั้งห้า มันไม่ได้ทำให้ฉันมองเห็นสีได้หรอกนะคะ
ฉันรู้อย่างมากก็แค่รูปทรง ปริมาณ กับขอบเขตของที่ว่างเท่านั้น
*กริ๊ง*
ฮึบ!
เอาละ ได้เวลาออกไปวิ่งกายบริหารแล้วค่ะ!
ฉันลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ พร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้า
หยิบตัวที่มีแขนสั้น ขาสั้น เพื่อความคล่องตัวในการวิ่ง
สวมถุงมือชนิดคลุมถึงต้นแขน กับสวมถุงน่องเนื้อผ้าหนา เพื่อป้องกันความเย็นจากหิมะที่กำลังตกลงมาเบา ๆ
“จะออกไปข้างนอกหรือ? เช้านี้อยากกินอะไร เดียวจะช่วยเตรียมเพื่อเอาไว้ให้”
[อะไรก็ได้ค่ะ ^_^]
ฉันเขียนป้ายบอกแบบส่ง ๆ กลับไปให้เธอ ก่อนจะเก็บกลับลงไปในกระเป๋า
เพราะต่อให้ทำอร่อยแค่ไหน ฉันก็ไม่สามารถรับรู้รสได้อยู่แล้ว…
ฉันคิดเช่นนั้น แล้ววิ่งออกไปที่ระเบียงทางเดินนอกห้องในทันที
***
เมืองเถื่อนแห่งนี้— กำลังกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง
ฉันสัมผัสได้ถึงร่างเงาของผู้คนมากมายที่กำลังออกมาจับจ่ายซื้อของ
มีพวกเมายาบ้างเป็นประปราย แต่บรรยากาศโดยรวมถือว่าดีกว่าช่วงแรกที่พวกเรามาถึงเมืองนี้
เพราะว่ามันไม่มีวิญญาณหลงมาคอยบินกวนใจเหมือนแมลงหวี่อีกต่อไปนั่นเอง
พวกมันทั้งหมดได้ถูกพวกเราสามคนส่งกลับบ้านเก่าไปกันหมดแล้ว
พอไม่มีวิญญาณแค้นคอยมากระตุ้นจิตใจด้านลบ ผู้คนในเมืองเองก็ดูจะมีอารมณ์ในเชิงบวกมากขึ้นเป็นผลพลอยได้
สำหรับวิญญาณแล้ว มันคือตัวตนที่อยู่ช่วงกลางระหว่างมิติคนเป็นกับคนตาย
การที่วิญญาณจะทำอะไรในโลกคนเป็น มันจำเป็นจะต้องพึ่งพลังงานจำนวนมาก แถมยังเป็นการรบกวนที่ว่างเชิงสามมิติในโลกคนเป็นอีกด้วย
ดังนั้น ต่อให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีญาณรับรู้เห็น แต่แค่มีพวกมันบินอยู่ ก็ถือว่าเป็นการรบกวนพวกเขาแล้ว
พอถูกรบกวนหนัก ๆ เข้า เลยเป็นธรรมดาที่จะทำให้คนในเมืองนี้มีนิสัยใจร้อน โมโหง่าย พร้อมที่จะแจกลูกปืนใส่กันทุกเวลาโดยไม่เข้าใจสาเหตุ
“วะ ฮะ ฮะ!”
“ไม่รู้ทำไม แต่ว่าหลังจากที่เกิดเรื่องบ้า ๆ ในวันนั้น รู้สึกว่าเมืองกับโลกนี้มันดูสดใสขึ้นมาทันตาเลยว่าไหม!”
“ใช่แล้ว! ที่นี่คือเมืองหน้าด่านในการบุกเบิกทวีปที่ดุร้ายที่สุดในโลกนี้! เมืองมันต้องครึกครื้นแบบนี้สิถึงจะดี!”
“เชียร์!!”
ลองใช้จิตสัมผัสเสียงหัวเราะนั้นดูสิค่ะ
ทุกคนต่างกำลังเติมเต็มร่างกายให้อบอุ่นด้วยเบียร์ที่หมักบ่มอย่างดีกันอยู่ค่ะ
ชาวเมืองที่แค่เจอหน้าก็พร้อมจะแยกเขี้ยวใส่กัน กลับมาตั้งวงดื่มแบบนี้ได้ นับว่าเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งอย่างมากค่ะ
ฉันคิดเช่นนั้นแล้วย่ำเท้าลงหิมะนุ่ม ๆ ไปตามทางเดินเลียบถนนที่เมืองชั้นกลาง
ผ่านแสงไฟสีฟ้าอ่อนที่คอยให้แสงสว่างในเมือง ไปพร้อมกับเบี่ยงตัวหลบหิมะที่โปรยหล่นจากฟ้า เพื่อเป็นการฝึกจิตสัมผัส
ในเวลาเดียวกัน ก็ออกหมัดลมซ้ายขวา พร้อมกับเคลื่อนพลังวิญญาณให้ไหลเวียนไปทั่วกาย
ฉันฝึกด้วยการวิ่งเช่นนั้นต่อไปอีกราว 100 เมตร
ในตอนนั้นเอง—
“อ๊ะ? สวัสดีครับ คุณ ลาพิส”
ฮืม?
สัมผัสนี้—?
มีชายคนหนึ่งกำลังวิ่งขึ้นมาเคียงข้างฉัน
มันเป็นสัมผัสของรูปทรงที่ว่าง กับสัมผัสวิญญาณที่บริสุทธิ์และคุ้นเคย
[ใช่คุณตำรวจ ออน เอ็ซท หรือเปล่าคะ? _?]
ฉันหยิบป้ายที่ใส่ในกระเป๋าขึ้นมาเขียน พร้อมกับวิ่งต่อไปโดยไม่คิดหยุด
” ใช่ครับ นึกไม่ถึงเลยว่าจะมาเห็นคุณลาพิสออกมาวิ่งตั้งแต่เช้าแบบนี้นะครับ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณถึงแข็งแกร่ง แล้วเพื่อนของคุณอีกสองคน—”
[มีฉันคนเดียวค่ะ]
ฉันเขียนป้ายตอบเขาแบบพอเป็นพิธี
ไม่รู้เป็นเพราะเขาเกรงใจ หรือเพราะถูกฉันตอบแบบตัดจบ เขาเลยเงียบกริบไปเลย
พวกเราสองคนวิ่งคู่ขนานกันต่อไปในเมืองท่ามกลางแสงจันทร์กับหิมะ
จนกระทั้งถึงตอนนี้ ก็ยังไม่หิมะใดสามารถตกกระทบลงบนร่างกายของฉันได้
วันนี้ฉันจะไม่ยอมให้มีหิมะตกกระทบลงบนร่างกายแม้แต่เม็ดเดียว คอยดูได้เลยค่ะ!
“ลดราคากระหน่ำ ขายเสื้อผ้าราคาถูกครับ! เพียงตัวละ 1 ยูนิต เท่านั้นครับ!”
*แปะ*
ฉันถึงกับหยุดตัวเองเมื่อได้ยินคำขายเชิญชวนของร้านค้า
ถึงกับยอมแหกฏตัวเอง ปล่อยให้หิมะตกใส่บนร่างกาย
“คุณลาพิสจะพักแล้วหรือครับ? ”
ฉันไม่สนคำถามของคุณตำรวจหนุ่ม แต่หันไปในทิศที่ร้านค้าตั้งอยู่แทน
เสื้อผ้าราคาเพียงหนึ่งยูนิต…
ถูกเวอร์ค่ะ!!
แต่จะชักช้าไม่ได้
เพราะฉันจับสัมผัสได้ว่ากำลังมีฝูงชนแม่บ้านรุมเร้าคว้าแย่งเสื้อผ้ากองนั้นกันอยู่
ถึงจะมีกลิ่นเลือดติดจนทำให้รู้ได้ว่าเป็นเสื้อมือสองจากคนตาย แต่ของถูกก็คือของถูกค่ะ
ของแบบนี้มันหักห้ามใจไม่ให้ฉันซื้อไม่ได้หรอกค่ะ
“ร้านเสื้อผ้า? คุณลาพิสอยาก—”
*ฟุบ!*
เพื่อไม่ให้เป้าหมายถูกแย่งไปโดยเหล่าแม่บ้านพลังช้าง ฉันเลยต้องเปิดสวิตช์นักสู้เข้าจู่โจม
ควบคุมการไหลเวียนของพลังงานวิญญาณด้วยพลังของเทพเจ้า แล้วใช้วิชาเหยียบย่างเวหา วิ่งเหยียบอากาศตรงไปที่เป้าหมาย
ใช้หัวคนเป็นฐานเหยียบ กระโดดตีลังกาอย่างสวยงามข้ามหัวทุกคน แล้วจบลงด้วยการรัวหมัด คว้าเสื้อผ้าขึ้นมาด้วยความเร็วเหนือเสียง
*ชึบ ชึบ ชึบ!*
“—เร็ว!?!”
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน!!”
“เทพแห่งการแย่งสิ้นค้าลดราคา!?!”
“ดูนั่นสิ! เพียงแค่สิบวินาที เธอก็คว้าเสื้อผ้าไปแล้วถึง 40 ตัว!!”
หึ หึ หึ
ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะเอาชนะฉันในการแย่งซื้อสินค้าได้หรอกนะคะ จงรู้เอาไว้ซะ
[เอาหมดนี่ค่ะ (ᗜˬᗜ) ]
ฉันกำลังยื่นเสื้อผ้าเด็กจำนวน 40 ตัวให้กับเจ้าของร้านด้วยความภาคภูมิใจ
“เออ… ได้ครับ”
อากาศมันหนาวแล้ว ดังนั้นจึงควรมีเสื้อผ้าหนา ๆ ให้เด็กคนนั้นได้ใส่
มีแค่เสื้อยืดสีดำตัวเดียวมันออกจะน่าสงสารไปซักหน่อย จริงไหมคะ?
“สุดยอดในหลาย ๆ ความหมายเลยแฮะ”
[?]
นั่นคุณตำรวจกำลังชมหรือด่าฉันอยู่ค่ะเนี่ย?
***เวลา 9:00 น. ***
เอาละ วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า
เพราะเดียวต้องเอาเสื้อไปเก็บใส่กระเป๋าเดินทางอีก
“เออ… เสื้อผ้าเยอะขนาดนั้น ให้ผมช่วยถือเถอะครับ”
[งั้นฝากด้วยค่ะ &_&]
ฉันจัดการโยนเสื้อผ้าทั้งสี่สิบตัวให้เขาถือคนเดียวไปเลย
หมอนี่ใจดีใช้ได้แฮะ
“เฮ้ย!?!”
อ่าว?
ร้องโวยวายทำไมเนี่ย?
ฉันจับสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของเขากำลังเกิดความไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย
ตัวเองเป็นคนเสนอช่วยถือให้ อย่ามาทำเป็นไม่พอใจทีหลังแบบนี้สิ?
“นี่เธอ— เออ… ช่างเถอะ”
อ๊ะ? อารมณ์กลับมาเป็นปกติแล้ว?
เป็นชายที่อารมณ์เปลี่ยนแผลงบ่อยจริงเชียว
เดียวก็หัวล้านกันพอดีหรอกค่ะ
พวกเราเริ่มเดินกลับไปที่ท่าอากาศยาน โดยเจ้าหนุ่มคอยแบกสัมภาระให้
เป็นเพราะถุงใส่เสื้อผ้านั้นเยอะมาก เลยทำให้เขาไม่สามารถเดินเป็นเส้นตรงได้
สมดุลเขาเริ่มเสีย แล้วเดินเอียงไป เทมา
ยังฝึกมาไม่พอนะคะ~
“แอบเหนื่อยกว่าที่คิด… ว่าแต่คุณลาพิสครับ พอดีผมมีเรื่องที่อยากจะถามคุณอยู่อย่างครับ”
[ว่ามา]
“ไม่ทราบว่าเหตุการณ์เมื่อวันก่อน ที่เกิดความวุ่นวายในตัวเมือง… มันใช่เกิดจากฝีมือของสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ ใช่หรือเปล่าครับ? ”
[ใช่ค่ะ]
“ยะ… อย่างงั้นหรือครับ… เป็นฝีมือของวิญญาณ… จริง ๆ … สินะ… แล้วจะไปรายงานเจ้านาย… เรื่องที่หายตัวไป… ยังไงดีเนี่ย… ”
เขากำลังสับสน
คำตอบของฉันทำให้จิตใจของเขากำลังสับสนจนสัมผัสที่หกของฉันรับรู้ได้
บางทีชายคนนี้คงจะเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่งเรื่องวิญญาณ
แต่เหตุการณ์ในวันก่อน คงจะทำให้เขาคิดเชื่อเรื่องวิญญาณอย่างจริงจังแล้วละมั้ง?
พอลองใช้สัมผัสตรวจแสกนร่างกายของเขา ก็พบว่าอุปกรณ์อย่างปืนรังสีลูกโม่กับมือถือของเขาได้สูญหายไปแล้ว
อย่าบอกนะว่าเข้าไปพัวพันกับเรื่องพวกนี้จนพังไปหมด?
“…”
น่าสงสารอยู่แฮะ
ฉันพอจะเข้าใจความรู้สึกที่ตัวเองไม่มีอาวุธคอยปกป้องตัวเองเป็นอย่างดี
เพราะสมัยตอนก่อนที่จะเป็นเทพเจ้า ฉันเองก็เคยผ่านเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้มาก่อน
[รอตรงนี้สักครู่ >_<]
“หืม? ครับ? ”
ฉันวิ่งไปที่ร้านข้างทาง แล้วสุ่มหยิบปืนรังสี กับมือถือมือสองเครื่องหนึ่งแบบสุ่ม ๆ ขึ้นมา
จัดแจงซื้อ แล้ววิ่งกลับไปหาตำรวจหนุ่มอีกครั้ง
“นี่มัน!?!”
[ค่าตอบแทนที่ช่วยถือของให้ค่ะ ^_^//]
“ผะ— ผมรับมัน—”
[เอา ๆ ไปเถอะ มันก็แค่ของมือสองค่ะ >_<\]
ฉันเสียบของใส่ในกระเป๋ากางเกงของเขาแบบแกมบังคับ แล้วแย่งถุงเสื้อผ้ามาจากมือของเขา
เพราะว่าตอนนี้พวกเรามาถึงที่หน้าท่าอากาศยานแล้วนั่นเอง
[ขอตัวก่อนค่ะ *_*]
ฉันบอกเขาด้วยป้ายข้อความเช่นนั้น แล้วรีบวิ่งตรงไปที่ห้องพักในทันที
เพราะถ้าไม่รีบ เดียวจะไม่ทันเที่ยวบินเอาได้ค่ะ
*** เวลา 11:00 น.***
ในที่สุดก็ได้เวลางีบหลับยาวไปจนถึงเวลา 25:00 น.
ใช่ค่ะ กว่าจะไปถึงทวีปเทวภูมิ ก็ต้องนั่งยาวไปจนถึง 25:00 น. นี่แหละค่ะ
ถึงมันจะเป็นยานพาณิชย์เหมือนลำก่อน แต่รอบนี้ฉันขี้เกียจจะมาเดินเล่นแล้ว เลยเลือกที่จะมานอนพักแทนค่ะ
เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อฝ่อระหว่างนอนพักรอ ฉันเลยเอาขวดน้ำมาผูกติดถ่วงต้นขาใต้กระโปรง แล้วนอนด้วยท่ายกขาลอยเหนือพื้นเตียงเล็กน้อยค่ะ
ด้วยวิธี จะเป็นการฝึกกล้ามเนื้อไปในตัวด้วย
อนึ่ง นี่เป็นวิธีที่ไม่อิงหลักวิชาการใด ๆ ทั้งสิ้น อย่าหาทำกันนะคะทุกคน~
งั้นวันนี้ ฉันขอลาตรีสวัสดิ์ก่อนนะคะ~
Zzzz
***
เป็นยังไงละคะ กับชีวิตประจำวันของฉัน เหล่าคุณผู้ที่กำลังมองดูฉันจากอีกมิติ
สนุกดีไหมละคะ?
ถึงฉันจะไม่บ้าบอเท่าเอโซหรือแมรี่โกลด์ แต่ฉันว่าตัวเองก็มีจุดเด่น และเสน่ห์ให้ค้นหาไม่แพ้อีกสองคนหรอกนะคะ
วะ— ว่ายังไงนะ?
น่าเบื่อ!?!
ฮึม…! ชักจะรู้สึกงอนขึ้นมาแล้วค่ะ!
ฉันจะไม่คุยกับ [เหล่าคุณผู้ที่กำลังมองดูฉันจากอีกมิติ] อีกแล้วค่ะ!
ฮึม!
***จากผู้แต่ง***
อนึ่ง ตัวตนที่เทพไร้หน้ากำลังคุยด้วยอยู่นั้น ก็คือคุณผู้อ่านทุกท่านนั่นเองครับ ^_^
MANGA DISCUSSION