***ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน***
ณ ดินแดนคนตาย สถานที่ซึ่งดวงวิญญาณมารวมตัวพำนักอาศัย
ดินแดนที่รอชำระดวงวิญญาณให้สะอาด เพื่อรอวันหวนกลับคืนสู่โลกของคนเป็น
ดินแดนซึ่งเป็นที่พำนักของเหล่าสิ่งมีชีวิตกายทิพย์
ดินแดน… ของเหล่า [เทพเจ้า]
“เทพเจ้าไร้หน้า เทพเจ้าไร้แขน เทพเจ้าไร้ขา ที่ถูกเรียกมารวมตัวต่อหน้าข้า [พญายมราช] คงรู้ตัวใช่ไหม ว่าถูกเรียกมาด้วยสาเหตุอันใด? ”
ชายร่างยักษ์สวมสูทสีแดงลายหัวกะโหลกไขว้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกสีแดง กำลังกล่าวคำพูดด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิด
หงุดหงิดเพียงใดนะหรือ?
เพียงแค่เสียงวาจาที่เปล่งออกมา ก็ถึงกับทำให้ห้องบัลลังก์ที่สร้างจากดวงวิญญาณ แตกสลาย วิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปทั่วสารทิศดินแดนได้นั่นละ
“ก็ไม่นี่? ”
“งานแต่ละวันมีแค่เอาวิญญาณบาปไปส่งสถานที่ต้องควรส่งไป ไม่เห็นมีอะไรมากกว่านั้น”
“หรือว่าจะย้ายงานพวกเรา? จะเลื่อนขั้นให้พวกเราเป็นเทวทูตอย่างงั้นหรือเปล่า? ท่านยม? ”
ตรงหน้าของพญายมราช คือร่างเงาที่สวมชุดคลุมสีเทา
ไม่มีรูปร่างแท้จริง นอกจากร่างเงาโปรงแสงที่ไม่มีใบหน้า แขน และขา
” สามหาว! ”
พญายมราชคำรามลั่น
พร้อมกันนั้น จักบังเกิดบวงเชือกสีทองรังสรรค์ขึ้นเหนือที่ว่างอากาศ เข้ารัดร่างของผู้เฝ้านรก ในชั่วอึดใจพระอาทิตย์สาดแสง
“คิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่พวกเจ้าแอบเอาวิญญาณคนตายไปเล่นสนุกเช่นนั้นหรืออย่างไร!? ”
“วุ่นวายกับดาวเกิดใหม่ตามอำเภอใจ! ”
“สร้างรูหนอน ทำให้ชีวิตในจักรวาลที่ยังไม่ควรถึงเวลาต้องเจอ ได้มาเจอกันก่อนเวลาอันควร! ”
“แทรกแทรงโลกคนเป็นตามอำเภอใจ! ”
“พวกเจ้าลืมความทุกข์ยากที่ตัวเองเคยพบในช่วงสมัยที่มีชีวิตเช่นนั้นแล้วหรือ!? ”
“เพื่อเป็นการลงโทษ! จงลงไปสำนึกผิดด้วยการจุติใหม่ในภพคนเป็น บนโลกที่พวกแกสร้าง ด้วยร่างสมัยมีชีวิต! ”
“มีร่างกายพิกลพิการเหมือนสมัยมีชีวิต! ”
” ถูกสาป ไม่อาจถูกรักษาได้ ไม่ว่าจะด้วยเทคโนโลยี่ใด ๆ! ”
” หากอยากกลับสู่ความเป็นเทพ จงตามหาวิญญาณหลงทาง ส่งมันกลับคืนสู่ภพคนตายเพื่อเป็นการชดเชยซะ! ”
เสียงคำรามนั้นถึงกับทำให้แผ่นดินสะเทือน ท้องฟ้าแปรปรวน
มิติรอบตัวเทพผู้เฝ้านรกทั้งสามตนจักถูกฉีกออกเป็นหลายสิบส่วน กลายเป็นเศษใบไม้ที่ถูกลมพัดหวนคืนสู่ต้นไม้
ถูกฉีก แล้วพัดขึ้นท้องฟ้า ก่อนถูกกลืนหายไปในวังวนที่ว่างที่ถูกบิดเป็นเกลียว
กลืนหายไป พร้อมกับร่างของเทพเจ้าทั้งสาม ที่ไม่อาจแม้แต่จะได้ทันเอยปากเรียกร้องทวงหาความชอบธรรมของตัวเอง—
***วันที่ 56 เอนมูว์ทัวร์ ปีที่ 125 ทวีป ออโรร่า ดาว ไดม่อน
ฤดูใบไม้ร่วงที่แสนเศร้า
เวลา 11:00 นาฬิกา
ณ. วิหารศาสนา [เทพทั้งสาม]
“ท่านยม! ให้พวกเราอธิบายกันก่อนสักคำสิยะ! ”
เสียงตะโกนที่แผดเผาออกจากลำคอ กำลังดังสะท้านไปทั่วเพดานไม้เก่าคร่ำครึ
ผิวไม้ที่แห้งตามอายุ สั่นสะเทือนจนผงฝุ่นปลิวว่อนลอยตลบ
*ฮัด— ชิ่ว!! *
รบกวนโสตประสาทดมกลิ่น ปลุกเรา ผู้หลับไหลให้ลืมตื่น
“— ยม!! … อืม… ฝัน? ให้ตายเถอะ ดันทำให้นึกถึงเรื่องที่ไม่อยากนึกถึงได้นะเรา”
เราบ่นกับตัวเอง แล้วลุกขึ้นจากเตียงที่หยาบกระด้าง และเต็มไปด้วยแมลงอันน่ารำคาญ
ที่เตียงใกล้กัน มีเพื่อนรักผู้ร่วมชะตากรรม กำลังนอนหลับไหลไม่ได้สติอยู่สองคน
พวกเธอส่งเสียงกรนน่ารักลอดผ่านริมฝีปากอันอวบอิ่ม
พวกเธอดูไม่รู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อนอันใดทั้งสิ้นแม้แต่น้อย
“…หลับสบายใจเชียวนะ หรือจะบอกว่ามีเราคนเดียวที่คิดมาก เกี่ยวกับเรื่องการหาทางกลับไปแดนเทพเจ้าอย่างงั้นเรอะ? ”
เห็นแล้วชวนให้รู้สึกหงุดหงิดเป็นบ้า
แบบนี้คงต้องขอแกล้งกันสักหน่อย
เราใช้ปากดึงขนปีกสีทองออกมาสองเส้น แล้วโยนมันให้ปลิวไปลงบนปลายจมูกของพวกเธอ
*ฮัดจิ๋ว! *
*ปิ้ว—! *
เสียงจามแหลมเบาน่ารัก ๆ ได้ดังขึ้น
สองเพื่อนหัวแดงและหัวฟ้า ต่างลืมตาตื่น แล้วมองมาทางเราด้วยสายตาที่เคียดแค้น
“ทำบ้าอะไรของเธอกันยะ! ”
[นิสัยไม่ดีค่ะ!]
เพราะคนหนึ่งพูดไม่ได้ เลยใช้วิธีเขียนหนังสือส่งคำด่ามาแทน
ทำไมถึงเขียนได้ทั้งที่ตาบอดนะหรือ?
กรุณาอย่าถามเรา เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่ายัยเทพไร้หน้าไปฝึกอีท่าไหน ถึงสามารถทำแบบนี้ได้
“หนอย! เทพไร้หน้า ช่วยผมที อาหารเช้าวันนี้ พวกเราจะกินไก่ต้มกัน! ”
[ได้!]
ใช่ ๆ เทพเจ้านะ ต้องตื่นเช้าอย่างร่าเริงแบบนี้เนี่ยแหละถึงจะดีงาม
ว่าแล้วการเล่นไล่จับยามเช้าของพวกเราภายในวิหารก็ได้เริ่มต้นขึ้น
***ศาสนา [เทพทั้งสาม] ***
ศาสนาที่มีผู้คนนับถือมากที่สุดของดาวไดม่อน
เป็นศาสนาที่ว่าด้วยของเทพเจ้าทั้งสามองค์ผู้สร้างโลกใบนี้
[เทพไร้แขนโบกแขนที่ว่างเปล่า แล้วฉับพลันนั้นกำแพงมืดก็สูญสลายหายไป]
[ท้องฟ้าฉับพลันกลับมาสดใสสว่างเจิดจ้าอีกครั้ง]
[เทพไร้หน้าเป่าลมใส่ผืนโลกด้วยปากที่ไม่มีอยู่]
[ฉับพลันนั้นสายลมเริ่มกลับมาพัดโบกอีกครั้ง]
[ซากเมืองได้สลายกลายเป็นฝุ่น พร้อมกับดอกไม้และใบหญ้าที่กลับมางอกเงยบนผืนทราย]
[เทพไร้ขากระทืบเท้าที่ไม่มีอยู่ลงบนผืนแผ่นดิน]
[เกิดเป็นเสียงดังสนั่นไปทั่วทุกตารางนิ้ว บาดแผลบนแผ่นดินได้ถูกรักษา ทรัพยากรณ์ที่สูญสลายได้หวนกลับมา]
[เทพทั้งสามโปรยดวงวิญญาณกลับคืนสู่โลกา มอบชีวิต เพื่อให้ทำสงคราม มอบความบันเทิงแก่พวกตนสืบต่อไป]
“เหล่าผู้ศรัทธาเอ๋ย จากตำนานบอกเล่า พวกเรานั้นล้วนถือกำเนิดขึ้น เพื่อสนองความบันเทิงให้แก่เพียงเทพเจ้าเท่านั้น”
นักบวชสวมแว่นหนาคนหนึ่ง กำลังอ่านไล่เรียงคำภีร์เล่มบางเพียงสองหน้ากระดาษให้เหล่าสาวกฟัง
เขาเป็นชายเผ่ามนุษย์ที่มีอายุราว 40 ปี ใบหน้ามีรอยย่นพองาม ปลายเส้นผมสีดำที่หวีเรียบเป็นมันมีสีขาวประปราย ชวนให้ความรู้สึกถึงความชราภาพที่กำลังมาเยือนผ่านทางสายตา
เขาสวมชุดคลุมเนื้อผ้าดิบสีน้ำตาลเรียบง่าย ส่วนที่ข้อมือ มีสวมจี้เงินสามเหลี่ยมด้านเท่ากลับหัวสองชิ้น เรียงซ้อนทับเป็นทรงขนมเปียกปูน และมีวงกลมติดด้านบน อันเป็นสัญญลักษณ์ตัวแทนของเทพเจ้าทั้งสามที่พวกเขานับถือบูชา
“เพื่อเป็นการแสดงสักการะบูชาต่อเทพเจ้าผู้สร้างโลกใบนี้ ขอเชิญเหล่าผู้ศรัทธามายืนเรียงตรงหน้าเทวรูปพร้อมกัน”
นักบวชคนนั้นฝ่ายแขนขวาออกกว้าง ชี้ตรงไปที่มุมส่วนในสุดของวิหารหินอ่อน
แสงอาทิตย์สาดส่องลอดผ่านกระจกคริสตัล
แสงแดดยามเช้าจากดวงอาทิตย์ที่ลอยสองดวง สาดแสงอาบเสาดอริกที่เรียงรายฝั่งซ้ายและขวา เสมือนหนึ่งเป็นการอาบน้ำยามเช้า ชำระสิ่งสกปรกที่มืดดำ ย้อมให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นสีขาวนวลดั่งผิวไข่มุข
ณ พื้นที่ใจกลางของเสาดอริก มีรูปปั้นตั้งตระหง่านอยู่สามองค์
องค์เทพไร้หน้า รูปปั้นเทพที่ไม่ถูกสลักใบหน้า ตั้งสูงตระหง่านสามเมตรในชุดคลุมตัว
องค์เทพไร้แขน รูปปั้นเทพที่ไม่ถูกสลักแขน ตั้งสูงตระหง่านสามเมตรในชุดคลุมตัว
องค์เทพไร้ขา รูปปั้นเทพที่ไม่ถูกสลักขา ตั้งสูงตระหง่านสามเมตรในชุดคลุมตัว
ไร้รูปลักษณ์ เผ่าพันธุ์ และเพศสภาพที่ชัดเจน
องค์เทพทั้งสาม ล้วนถูกสลักลงบนหินที่ดูมีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ตั้งวางเรียงล้อมเข้าหากัน ให้อยู่ใจกลางแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่าน
“พวกเราพร้อมคำนับ”
นักบวชกล่าวนำ
“พวกเรา พร้อมคำนับถวายเทพทั้งสาม—”
ผู้ศรัทธากล่าวตาม
“—ถวาย คำสาปแด่เทพผู้น่าชิงชัง!! ”
“ใครมีอะไรในมือ ปาใส่แม่มเลย!! ”
“หุ้นตกวันนี้เป็นเพราะฝีมือแกแน่ ๆ เจ้าเทพระยำ! ”
“เพราะแก! วันนี้ข้าถึงถูกแฟนทิ้ง!! ”
“ไอเทพสารเลว! ขอสาปแช่งให้พวกแกตกสวรรค์ลงมาจุติบนโลก! แล้วพวกข้าจะทำให้ได้รับรู้ ว่านรกที่แท้จริงมันเป็นเช่นไร!!! ”
ผู้ศรัทธากล่าวตาม— แล้วเริ่มลงมือด่าทอทำร้ายรูปปั้นเทพเจ้าของศาสนาตัวเองไป…
*** [ศาสนาเทพเจ้าทั้งสาม] ***
คือศาสนาที่มีมาพร้อมกับการกำเนิดของโลกใบนี้
ว่ากันว่าผู้นับถือแต่กาลก่อน ล้วนบูชาเคารพเทพของตน
แต่แล้ววันหนึ่ง หลังจากที่ผู้ศรัทธารุ่นแรกได้รับรู้ถึงความลับของเทพเจ้า
ได้รับรู้ว่าเทพเจ้าเห็นพวกเขาเป็นเพียงสิ่งของสร้างความบันเทิง
ความศรัทธา จึงถูกเปลี่ยนเป็นความชัง
คำสอนจึงถูกเปลี่ยนเป็นคำสาปแช่ง
กลายเป็นศาสนาที่ไม่นับถือเทพเจ้า ปฏิเสธตัวตนของผู้ปกครองวิญญาณ และโทษความชั่วร้ายทั้งมวลบนโลกให้เป็นฝีมือของเทพเจ้าไป
มันเป็นศาสนาเช่นนั้น
“เมื่อวานที่ข้าต้องขายหน้ากลางร้านเหล้า มันต้องเป็นฝีมือเทพไร้หน้าแน่ ๆ! มากินขี้ข้าหน่อยเป็นยังไง วันนี้ข้าเตรียมถุงอุจาระมา—”
*บรึ้ม! *
“จ๊ากกก! ขี้มันปลิวย้อนเข้าปากของข้า!?! ”
“ลูกพี่ ทาฑิม!!!! ”
ชายเผ่ายักษ์สูงสี่เมตรคนหนึ่ง กำลังกรีดร้องลั่น
แสงสว่างสีขาวประหลาดพุ่งทะลุผ่านกำแพง จากทางซ้ายวิ่งไปทางขวา
ฟาดผ่านห้องโถงที่เต็มไปด้วยผู้คน ฝุ่นคลุ้งลอยปลิวว่อนกระจายไปทั่วกลบเสียงอื้ออึงว้าวุ่น
“แน่จริงจับให้ได้ซี่~”
” หน่อย! เจ้าไก่เหลืองตัวนี้มันไวจริง! เทพไร้—”
[ตรงนี้มีคนอื่นอยู่ค่ะ!]
“—ลาพิส ช่วยวิ่งไปดักหน้าเจ้าไก่เหลืองให้ที! ”
[รับทราบค่ะ!]
ท่ามกลางความวุ่นวาย มีสตรีร่างเล็กสามคนกำลังพุ่งผ่านเหนือหมอกไปที่รูกว้างบนวิหาร
“ฝะ— ฝีมือเจ้าพวกนี้อีกแล้วเรอะ…”
นักบวชแหงนหน้ามองฟ้า พร้อมชี้นิ้วตรงไปทางร่างเงาทั้งสามที่กำลังลอยผ่านหน้าไปอย่างหมดแรง
สตรีผมฟ้ากับสตรีผมเหลือง เริ่มเล่นไล่จับด้วยการใช้เสาหินอ่อนเป็นฐานเหยียบ
กระโดดจากเสาหนึ่งไปเสาหนึ่งด้วยแรงถีบเหนือสุดจินตนาการ ลอยตัวผ่านที่ว่างจนอากาศฉีกขาดออกเป็นสองส่วน
โคมไฟคริสตัล ผ้าผืนสีแดงที่ห้อยโยงตามเสา รวมไปถึงบานกระจกคริสตัลที่เรียงราย
สิ่งประดับประดาอันวิจิตรศิลป์ที่ถูกทั้งสองคนพุ่งบินผ่าน ล้วนแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่วงกระจายเหนือห้องโถง ก่อความโกลาหลแก่ผู้คน
“ดีมาก! ลาพิส! ไล่ต้อนเจ้าไก่เหลืองมาทางนี้เลย! ”
สตรภูติผมแดงกำลังหัวเราะ
เธอกางปีกสีแดงบินรอที่ปลายทางห้องโถงใหญ่
บินเหนือประตูไม้ขนาดใหญ่ที่สูงห้าเมตร พร้อมกับกางมือสองข้างออก
ปีกสีแดงส่องแสงขาว แผ่คลื่นพลังงาน สั่นมวลอะตอมออกซิเจน รวบรวม แล้วเผาไหม้ให้เกิดเป็นดาบแสงสีเหลืองที่มีแกนเป็นสีน้ำเงิน
” [ไลฟ์-ออฟ เซเบอร์] !! ”
สตรีภูติสีแดงตะโกนชื่อท่าอย่างห้าวหาญ แล้วฟันดาบแสงนั้นออกไปในแทยง
*ฉับ! *
ตัดเสาที่ค้ำหลังคา ทำให้เศษกระเบื้องดินเผาและโครงไม้หลังคา พังถล่ม หล่นลงมาทับเจ้าไก่ตัวน้อยที่กำลังพุ่งตัวเป็นเส้นตรง
“เฮ้ย!?! ”
เพราะบินไม่ได้ เลยทำให้ไม่สามารถหักเลี้ยวกลางอากาศได้
เจ้าไก่จอมวายร้ายได้ถูกเศษกระเบื้องหล่นทับ จมอยู่ใต้ซากไปในพริบตา
“ฮะ ฮะ ฮะ~ จับตัวได้แล้ว~”
[มื้อเช้า— กินต้มไก่กันค่ะ!]
“ไม่น้าาาา!?! ”
สามสาวดูร่าเริงดี
พวกเธอสามคนยืนล้อมวงหยอกล้ออย่างร่าเริง บนเศษซากแห่งความพินาศที่พวกตนก่อ
*แกร๊ก*
เสียง– เหยียบย่างผ้าเท้าอันหนักอึ้งได้ดังขึ้น
*แกร๊กก–!! *
และดังมากขึ้น
*แกร๊กกกกก!!!! *
และดังมากขึ้น—
“พวก— เธอ! ”
“เอะ!? ”
“แย่แล้ว! นักบวชใจยักษ์ประจำวิหารรู้ตัวแล้ว! ”
[หนีเร็วทุกคน!]
“เดียวก่อน!! คิดจะหนีไปไหนของพวกเธอกัน!?! คิดว่ากี่ครั้งแล้วที่มาทำลายวิหาร! อายุก็ปากันจะ 20 ทุกตัวแล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กไปได้!! ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะท่าน [เทเรซ่า] จากสาขาใหญ่ขอให้ดูแลเอาไว้ พวกเธอได้ถูก—”
“เออ… ท่านนักบวชครับ… คือว่า… พวกเธอหนีหายไปแล้วนะครับ? ”
“ไวจริงยัยพวกนี้!?! ให้ตายเถอะ ท่านนักบวชใหญ่ [เทเรซ่า] คิดยังไง ถึงได้รับเลี้ยงเจ้าสามตัวนี้มากันนะ? ”
นักบวชวัย 40 ทำได้เพียงแต่บ่นกับอากาศที่ว่างเปล่าเท่านั้น
***ณ ทุ่งหญ้าข้างหลังวิหารอันกว้างใหญ่***
พื้นที่ขนาดใหญ่แห่งนี้ คือพื้นที่สำหรับทำการเกษตรไร่องุ่นผลิตไวท์ชั้นดี
แสงออโรร่าวาดผ่านเหนืออรุณเบิกฟ้า
ลมเย็นอ่อนระบายพัดโบกผ่านเหนือไร่องุ่นที่ส่องแสงสีม่วงดั่งเป็นทุ่งอัญมณี
ที่แห่งนี้มีสตรีสามคนกำลังวิ่งเล่นด้วยสีหน้าที่เบิกบาน
*ไม่มีใครล่วงรู้ความจริง*
“วะ ฮะ ฮะ ฮะ! ”
“เห็นพวกนั้นตอนถูกพวกเราถล่มยับไหม? ”
[เห็น เห็น]
“รู้สึกสะใจเป็นบ้าเลย”
“สมน้ำหน้า บังอาจมาสร้างรูปปั้นโง่ ๆ ล้อเลียนพวกเรากันได้ ถ้าได้พลังเทพเจ้ากลับมารอบนี้ จะแกล้งพวกบ้านี้ยังไงกลับดีนะ? ”
[แนะนำ ส่งอสูรยักษ์นิวเคลียร์สูง 100 เมตร ลงมาเกิดที่โลกนี้ดีไหม?]
“เจ้าตัวที่ชื่อว่า [โกจิ***า] นั่นสินะ? น่าสนุก! ”
*ไม่มีใครล่วงรู้ความจริง เกี่ยวกับกลุ่มของสาวน้อยทั้งสามคนที่มีร่างกายพิการ*
“ว่าแต่ท่านยมก็เข้าใจคิดนะ ที่ส่งพวกผมมาเกิดตรงหน้าวิหารของตัวเองแบบนั้น”
“เข้าใจคิดหรือว่าจงใจแกล้งกันแน่? ต้องทนฟังพวกสัตว์วิญญาณชั้นต่ำมาด่าพวกเราทุกวันตลอด 20 ปี? ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะความอ่อนโยนของ [เทเรซ่า] คนนั้น คงได้เผ่นหนีกันออกไปเองตั้งแต่แรกแล้ว! ”
[นักบวช [เทเรซ่า] – ใจดี — พลังวิญญาณ — ขั้วบวกล้นเหลือ]
*ไม่มีใครล่วงรู้ความจริง ว่าพวกเธอนั้น มีต้นกำเนิดยังไง และทำไมถึงถูกนำมาทิ้งที่หน้าวิหาร*
“ใครจะยอมโดนลงโทษให้กลับมาเกิดใหม่ในร่างโง่ ๆ นี้จนครบอายุไขกัน? ”
“ท่านยมพูดเองนะว่าถ้าสะสม [วิญญาณหลงทาง] ได้ครบจำนวน พวกเราจะได้กลับคืนสู่ความเป็นเทพเจ้าอีกรอบ”
[ถูกต้อง!]
*ไม่มีใครล่วงรู้ความจริง ว่าพวกเธอคือเทพเจ้าที่กลับลงมาจุติใหม่*
สตรีทั้งสามคนวิ่งไปหลบหลังพุ่มองุ่นขนาดใหญ่ที่สูงท่วมเหนือหัว แล้วหยิบขวดแก้วใสออกมา
ภายในขวดนั้น ได้บรรจุสารบางอย่างที่ดูคล้ายกับเป็นไอหมอกสีเงิน
“ได้เวลา กลืนกินดวงวิญญาณ”
“ยัยไก่ห้ามกินนะ”
“ทำไมละ? ฉันเองก็ต้องการพลังเทพเจ้าคืนเร็ว ๆ เหมือนกันนะ! ”
[ลงโทษที่แกล้งพวกเรา อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าแอบไปหม่ำวิญญาณร้ายของอาชญากรคนเดียวเมื่อวานมาหรอกหรือยังไง?]
“อุ!? รู้ได้ยังไง… ก็ได้…”
สตรีผมสีฟ้ากับผมสีแดงเริ่มเปิดฝาขวดออก
ทันทีที่เปิดออก หมอกสีน้ำเงินก็พวยพุ่งแผ่ขยาย ราวกับอย่างจะเร่งรุดหนีไปให้ไกล
ทว่าราวกับมีแร่งแม่เหล็กบางอย่างดึงดูดมันเอาไว้
มันไม่อาจหนีไปไหนได้
กลับกันแล้ว ร่างของมันกำลังถูกแยกเป็นสองส่วน วิ่งเข้าหาสตรีสีฟ้ากับสีแดงแทน
วิ่งเข้าหา แล้วถูกกลืนหายเข้าไปภายในร่างกายของทั้งสองคนไป
“ [พลังวิญญาณขั้วลบ] เพิ่มขึ้นอย่างงั้นหรือ? … อย่างว่า เป็นวิญญาณร้ายนี่นะ”
สตรีผมแดงพูดกับตัวเองเช่นนั้น—
***
~โอ๊ เหล่า เทพเจ้าทั้งสามองค์~
~เหล่าเทพเจ้าทั้งสามองค์ที่ไม่เคยพบกับความสุขยามมีชีวิต จักพบกับความสุขในภพแห่งเทพ~
~เหล่าเทพเจ้าทั้งสามองค์ได้สัมผัสอำนาจเหนือสิ่งมีชีวิต ~
~เหล่าเทพเจ้าทั้งสามองค์ได้เล่นสนุกอย่างเกินขอบเขต~
~เหล่าเทพเจ้าทั้งสามองค์นั้นลืมตัว~
~เหล่าเทพเจ้าทั้งสามองค์ได้ล้ำเส้น ที่มิควรก้าวล้ำ~
~ดังนั้น เหล่าเทพเจ้าทั้งสามองค์จึงมีภารกิจ~
~ต้องออกล่าตามหาวิญญาณร้าย~
~เข่นฆ่าเหล่าคนบาปหนา~
~เพื่อเติมเต็มดวงวิญญาณของเทพเจ้า~
~เป็นภารกิจ เพื่อหวนกลับคืนสู่ความเป็นเทพเจ้าผู้คุมแดนนรก~
~ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงได้ลงมาจุติบนโลกของคนเป็นในอีกคร่า~
***
MANGA DISCUSSION