มันคือเตียงที่แข็ง อีกทั้งยังคัน ไม่รู้สึกสบายตัวเลยสักนิด
แต่ร่างกายมันหนาวและเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะลาจากเตียงที่น่าเวทนานี้ไปได้
*เปรี๊ยง!*
*แกร๊ก!แกร๊ก!แกร๊ก!แกร๊ก!*
“อย่าหยุดยิงนะสหายซุนไกท์ ข้าจะไปหยิบถังพลังงานกับอาวุธสำรวงมาเติมให้!”
“เร่งมือหน่อยสหาย วานาดิไนต์ ไอพวกนี้มีเยอะชะมัด วันนี้คนในเมืองเป็นบ้าอะไรกันไปหมดฟะ!? ”
ดูสิ
แม้แต่เสียงปืนกับเสียงตะโกนที่หนวกหู ยังไม่สามารถปลุกให้ผมลืมตาตื่นได้เลย—
“…”
เสียงปืน?
ผมยันตัวลุกขึ้นจากเตียงที่น่าเวทนา
พอลองลืมตามอง ก็เห็นเพดานที่ไม่คุ้นเคย
มันเป็นบ้านโทรม ๆ ที่เต็มไปด้วยรอยผุพังกับลูกปืน
ข้าวของวางรกระเกะระกะไปทั่ว อีกทั้งยังเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นอับชวนอ้วก
ถึงจะดูเป็นบ้านที่มอบความอบอุ่นให้ผู้อยู่อาศัยได้ แต่ก็ยังรู้สึกบอบบาง หนาวเหน็บจนชวนให้ปวดหัวอยู่ดี
“เสื้อกันหนาว… ยังอยู่แฮะ”
ผมลองตรวจสอบอุปกรณ์ของตัวเองเป็นอย่างแรก
ปืนกับมือถือไม่มี และเหลือแต่เสื้อกันหนาวสีดำกับเสื้อยืดกางเกงวอร์มที่สวมใส่ก่อนที่จะหมดสติ
นี่เราสลบไปนานขนาดไหนกันนะ?
*ตึ๊ง!*
บ้านกำลังสั่น…
ในเวลาเดียวกันก็มีคนผลักประตูไม้ของห้องจนมันพังหลุดกระเด็นออกไป
ชายที่บุกเข้ามานั้นเป็นชายที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาดี
มันคือเจ้ามนุษย์หมีไซบอร์กผมแดงที่เคยพยายามจะฆ่าผมเมื่อตอนก่อนหน้านี้นั่นเอง
“ไอลูกลิงมันตื่นแล้ววะ!”
“ลากมันมาช่วยพวกเราสู้เดียวนี้เลยสหาย!”
“เดียว— เหวอ!?!”
มันเล่นวิ่งเข้ามาจับผมโยนข้ามประตูไปที่อีกห้องแทบจะในทันที
ให้ผมได้มีโอกาสยิงคำถามหน่อยสิฟะเจ้าพวกนี้!
“เอ๊า!ถ้าตื่นแล้วก็มาช่วยพวกเราสู้ซะ!แลกกับค่ายา กับค่าดูแล ที่พวกเราช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ที่เมืองชั้นล่างเมื่อสามวันที่แล้ว”
“สามวันที่แล้ว? ”
” ก็วันที่พวกข้าถูกภูติแปลก ๆ ผมสีแดงจับโยนทิ้งไปนอกเมืองไง!ให้ตายสิ กว่าจะควานหาทางกลับเมืองก่อนพายุเข้าได้ นึกว่าจะต้องหนาวตายไปก่อนแล้ว ส่วนแกนั้นโชคดีมากที่พวกข้าบังเอิญผ่านมาเจอ เลยถือโอกาสช่วยกลับขึ้นมาได้ทันเวลานะ”
ชายไซบอร์กเผ่ามนุษย์สัตว์-กอลิลา ให้คำตอบที่ผมยังคงคาใจอยู่
สะ— สามวัน!?
นี่ผมสลบไปถึงสามวันเลยเรอะ!
แย่ละสิ ไม่ได้ทำจดหมายลาทิ้งเอาไว้ด้วย
ป่านนี้คงถูกสำนักงานมองว่า “บกพร่องในหน้าที่” แน่นอนเลย…
” ความจริงคือตั้งใจจะจับแกมาให้ชดเชยค่าใช้จ่ายซ่อมยานของพวกเรา ที่โดนยัยภูตินั้นทำพังต่างหาก”
” นั่นปากเรอะ วานาดิไนต์? ”
” ก็ใช่สิสหาย ซุนไกท์”
คนที่เป็นมนุษหมีเดินกลับเข้ามาในห้องที่ดูเหมือนจะเป็นห้องรับแขกของบ้าน
แต่สภาพของห้องรับแขกที่ว่า แทบจะกลายเป็นที่กำบังที่มักถูกใช้ในสนามรบไปแทน
โต๊ะถูกพลิกตั้งเป็นสิ่งกีดขวาง
กระจกบ้านถูกแผ่นไม้ และเครื่องเรือนเอามาสุมตีปิดตาย
ที่ผนังฝั่งขวา ถูกทุบทำลาย เพื้อเชื่อมต่อกับโรงจอดยานรบที่มียานทรงจานบินจอดแช่นิ่งเอาไว้อยู่หนึ่งลำ
จะมีก็เฉพาะหิ้งบูชาเทพ [โนอาร์] ของเผ่ามนุษย์สัตว์ ที่ถูกจัดวางอย่างสะอาดตาดูดีที่สุดในบ้านหลังนี้
“เลือกไปใช้ซักกระบอกซะ ถ้ายังไม่อยากตาย”
“เดียวก่อนสิ ถึงจะเข้าใจสาเหตุที่มาอยู่ในบ้านหลังนี้แล้ว แต่ว่าจะให้ผมเอาอาวุธไปสู้กับ—”
ไซบอร์กผมแดงชี้นิ้วไปทางหน้าต่าง
ผมเลยชำเลืองตามองลอดผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ที่เปิดเอาไว้พอให้เอาปืนเล็งยิงออกไป
แล้วผมก็ได้เห็นมัน
“เชี่ยไรเนี่ย…!? ”
เห็นเมืองที่กำลังเต็มไปด้วยแสงเงาสีขาวที่กำลังเข้าสิงสู่ร่างกายของผู้คนกันอย่างตามอำเภอใจ
***
วิญญาณแค้น
พวกมันคือพลังงานวิญญาณที่ไม่อาจไปสู่โลกหน้าได้ เพราะมี [บ่วง] ถูกผูกมัดทิ้งเอาไว้บนโลกคนเป็น
มันเป็นไปได้หรือที่วิญญาณจะถูกผูกมัดอยู่บนโลกคนเป็น โดยไม่จำเป็นต้องมีร่างกายเป็นตัวเชื่อม?
ธรรมชาติ— ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้วิญญาณจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในโลกมิติคนตายเช่นนั้นหรือ?
เพราะถ้าหากเจตจำนงแห่งวิญญาณสามารถอยู่ในโลกของคนเป็นได้อย่างอิสระ โลกใบนี้คงเป็นเหมือนโคลนตมเน่าที่เต็มไปด้วยวิญญาณไปแล้ว
เรื่องแบบนั้น คงไม่มีใครรู้ความจริง
บางทีสิ่งที่หลงเหลือภายใต้สิ่งที่เรียกว่า [ความแค้น] มันอาจจะเป็นแค่ผลกระทบของ [แนวคิด] ของผู้ตายที่เหลืออยู่อย่างเข้มข้น ในรูปแบบของคลื่นพลังงานที่ไหลเวียนอย่างอิสระบนที่ว่างของโลกก็เป็นไปได้
ด้วย [จิต] ด้วย [อัตตา] ด้วย [ความปราถนา]
ยิ่งมีสิ่งเหล่านี้รุ่นแรง ก็ยิ่งมีผลกระทบต่อพลังงานแห่งการคงอยู่ของตัวตนที่รุนแรงมากขึ้นตาม
บางตำนานก็ว่าวิญญาณแค้นเป็นได้เพียงแค่แสงเทียนจาง ๆ ที่เพียงปัดเป่าเบา ๆ ก็จางหายไป
บางตำนานก็ว่าสามารถก่อตัวเป็นรูปร่าง สามารถสิงสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อทำการเติมเต็มความปราถนาตอนยังมีชีวิตของผู้ตาย
บางตำนานก็ว่ามีอิทธิฤทธิ์ดั่งเทพ ควบคุมได้แม้แต่ฟ้าดิน—
***วันที่ 11 เรตนิว ปีที่ 125 เวลา 8:00 น.***
ในเวลาเดียวกับที่นายตำรวจ ออน เอ็ซท กำลังมองดูวิญญาณแค้นบินว่อนเต็มเมือง
“ลาพิส แมรี่โกลด์ ตามที่เราได้อธิบายไปเมื่อกี้ ศัตรูในคราวนี้คือวิญญาณแค้นที่มีความเคียดแค้นสูงมาก การชำระพวกมันเพื่อดูดกลืนส่งไปให้ท่านยม มันต้องได้คะแนนโควต้ามากแน่ ๆ สรุปง่าย ๆ คือมันเป็นนาทีทองของพวกเรา!ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงจำเป็นต้องปราบวิญญาณเน่า ๆ พวกนั้นกัน!!”
[รับทราบค่ะ =ิ =ิb]
*…แกร๊ก แกร๊ก*
“เพื่อความรวดเร็วในการรวบรวมวิญญาณ พวกเราควรกระจายแยกตัวไปที่สามทิศของเมือง เราจะไปที่เขตชั้นล่าง ลาพิสไปเขตชั้นบน ส่วนแมรี่โกลด์ไปเขตการค้าที่อยู่ชั้นกลางของเมือง ตกลงตามนี้นะ!”
[รับทราบค่ะ =ิ =ิb]
*…แกร๊ก แกร๊ก*
“ถ้าอย่างงั้น—”
*…แกร๊ก แกร๊ก*
“ได้โปรด ช่วยเลิกเกาตูดตอบได้แล้วแมรี่โกลว์!”
* แกร๊ก… *
ผมกำลังเกาตูดเบา ๆ ตอบยัยไก่เหลืองด้วยความรู้สึกที่ขี้เกียจแม้แต่จะลุกขึ้นมาบิน
แบบว่าขี้เกียจอย่างแรงงะ
แบบว่าข้างนอกมันมีพายุหิมะด้วยอะ
แบบว่ามันหนาวนะ ไม่มีแรงเลยงะ
แบบว่าร่างกายกำลังต้องการพลังงานงานโลลิ หรือโชตะน้อยงะ
ถึงสหายเทพไร้หน้ากับยัยไก่เหลืองจะตัวเล็กน่ารักน่ากอด แต่อย่าให้ถูกรูปลักษณ์นั้นหลอกได้เชียว
ข้างในร่างกายที่ดูน่ารักนั่นนะ มันคือป้าแก่ที่มีอายุมากกว่าหนึ่งพันกว่าปีเลยเชียวนะ
เพราะฉะนั้น ผมเลยไม่สามารถเติมเต็มพลังงานความน่ารักมาจากสหายทั้งสองคนนี้ได้
“รู้สึกเหมือนกำลังถูกใครบางคนด่าอยู่เลยแฮะ…”
ยังมีเซ้นต์ดีไม่หายเลยนะยัยไก่เหลืองนี่…
ผมเอียงตัวที่ล้มนอนอยู่บนเตียงนุ่ม ๆ ในโรงแรม เพื่อพลิกตัวเองหันไปมองทางหน้าต่าง
ข้างนอกเมืองกำลังวุ่นวายได้ที่
วิญญาณแค้น… ปกติถ้าแยกกันแค้นเป็นรายบุคคล มันจะไม่มีพลังงานวิญญาณที่มากพอจนมีผลกระทบกับโลกคนเป็นได้หรอก
แต่ดูเหมือนว่าจะมีไอบ้าตัวไหนสักคนไปสอนพวกมันให้สิงสู่พวกมีญาณสัมผัสผี จนกลายเป็นเรื่องเข้าให้
ไอเราก็ว่าสองสามวันที่ผ่านมา ทำไมอยู่ ๆ พวกวิญญาณแค้นในเมืองถึงมีจำนวนดูน้อยลง
คงจะรวมรวบ แล้วรอคอยคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวงเพื่ออกมาอาละวาดนั่นละ
พวกมันก็มารวมตัวกันเยอะจริง ๆ นั่นละ
แต่แบบว่ามันขี้เกียจอ๊ะ…
“หมดแรงง่า…”
“ฉันละรู้สึกหน่ายกับเธอชะมัด…”
แค่ผีแค้นงี่เง่าฝูงหนึ่งพวกเธอสองคนเอาอยู่ อยู่แล้ว จริงไหม?
วันนี้ผมขอนอนขี้เกียจ—
“ถ้าไปที่เมืองชั้นกลาง น่าจะมีโอกาสได้เจอเด็กคนนั้นด้วยนะ”
“เอโซ ลาพิส ผมขออกตัวไปปราบผีก่อนละ!”
[ว๊ายยย ๑_๑]
“เร็ว!? ”
***
ผมกำลังบินทะยานออกมาจากหน้าต่างดั่งเป็นดาวหางแดง แรงสามเท่า
เป้าหมายคือเมืองชั้นกลาง เขตย่านการค้าที่มีสำนักงานตำรวจสากลตั้งอยู่
” หิมะ— แรงเวอร์!? ”
สภาพอากาศนั้นแย่มาก
ที่ดาวดวงนี้กว่าจะเริ่มมีแสงตะวันส่องให้อบอุ่น ก็ต้องรอจนกว่าจะเข้าย่าง 12:00 น. ของวัน
ดังนั้น ในวันที่หนาวและมีพายุหิมะเข้า แถมยังไม่มีแสงตะวัน จึงทำให้มีอุณหภูมิที่แทบจะเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับนรก
ติดลบถึง 40 องศาเซลเซียส…
นี่ถ้าไม่ได้วิชาภูติของผมช่วยเอาไว้ คงได้หนาวตายอยู่ข้างนอกนี้ไปแล้ว
ท่ามกลางพายุหิมะขาว มีวิญญาณฝูงหนึ่งกำลังบินตรงมาทางผม
พวกมันส่งเสียงร้องแข่งกับเสียงลมพายุ
พวกมันเบิกตาที่ไม่มีอยู่จริงจนกว้างโตเท่ากับลูกฟุจบอล แล้วพุ่งเข้ามาหมายจะยึดร่างกายน้อย ๆ นี้ให้เป็นของพวกมัน
“กำลังรู้สึกเหนื่อย ๆ อยู่พอ ขอเติมเต็มพลังงานวิญญาณหน่อยแล้วกัน”
ผมกางปีกภูติสีแดงออก แล้วเร่งปฏิกิริยาพลังงานวิญญาณเพื่อเตรียมโจมตีพวกมัน
แต่คราวนี้ไม่ใช่การโจมตีเพื่อชำระ
แต่เป็นการ [ดูดกลืน] เพื่อเน้นการสะสมวิญญาณเข้ามากักเก็บอยู่ในร่างกายนี้แทน
*พรึบ!*
ราวกับมีวังวนแห่งแรงดึงดูดเกิดขึ้นมาบนใจกลางลำตัวของผม
วังวนนั้นไร้สีกับแสง และเต็มไปด้วยคลื่นวิญญาณขั้วบวก ที่พร้อมจะดึงดูดคลื่นวิญญาณขั้วลบเข้ามาหา
เหล่าวิญญาณขาวที่พุ่งเข้ามา แทบไม่ต่างอะไรไปจากคนที่ว่ายน้ำเข้าหาวังน้ำวน
กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังจะถูกดูดกลืน มันก็สายไปแล้ว
“อึ๊ก… รสชาติแย่ชะมัด เกลียด!”
เวลาที่สูบวิญญาณเข้ามาในจิตวิญญาณ จะรู้สึกได้ถึงรสชาติและความเปรมปรีดิ์แห่งการดื่มกินแผ่นซ่านไปทั่ว
ถ้าวิญญาณดี จะมีรสอร่อย รสแห่งความปิติ ความรู้สึกแห่งความอิ่มเอมอันแสนเข้มข้น เหมือนกับสุดยอดวิญญาณเผ่าปีศาจที่เคยได้ลองชิมเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว
แต่ถ้าวิญญาณเน่าเหมือนอย่างเจ้าพวกนี้ มันจะให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังกินของเน่า ๆ เสพความทุกข์เข้าไปเข้าในแทน
วิญญาณแค้นรสชาติมันแย่จริง ๆ นั่นละ
“แหวะ!ไม่เอาแล้ว ถ้าเจออีก คราวนี้จับยัดใส่ขวดแทนดีกว่า”
ผมพูดกับตัวเอง แล้วเริ่มมองดูจุดที่มีวิญญาณน้อย ๆ เพื่อพยายามหาทางเลี่ยงพวกมัน
แบบว่าอยากไปเจอนางฟ้าโลลิตัวน้อยของผมเร็ว ๆ งะ
แต่… จะว่ายังไงดี ทั้งเมืองดันเต็มไปด้วยพวกวิญญาณแค้นทั้งนั้นเลยแฮะ
พวกผีบ้ามันเล่นบินเข้าออกบ้านเรือนกันอย่างตามอำเภอใจ
พวกมันเสาะหาร่างกายที่มีญาณรับรู้ดี แล้วสิงร่าง เพื่อควบคุม แล้วคว้าอาวุธ พากันออกมาเพื่อหมายที่จะแก้แค้นคนที่ฆ่าตัวเองในสมัยที่ยังมีชีวิต
เพราะมันเป็นเมืองเถื่อนที่พร้อมจะแจกกระสุนทุกวัน เลยทำให้มีคู่แค้นคู่รักกันเต็มบ้านเต็มเมือง
แต่เป็นเพราะไม่สามารถควบคุมร่างกายที่มีวิญญาณเดิมได้อย่างสมบูรณ์ เลยทำให้พวกมันเริ่มมีความสับสน แล้วกลายเป็นคนบ้า คว้าอาวุธมายิงกันมั่วไปหมด โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายนั้นจะเป็นใคร
ผลลัพธ์เลยทำให้สภาพของเมืองในปัจจุบันนี้วุ่นวาย เต็มไปด้วยคนที่ถูกผีบ้าพวกนี้เข้าสิง
“ฮึ่ม!”
ผมสร้างม่านพลังงานเข้มข้นเพื่อใช้ป้องกันกระสุนปืนใหญ่ที่ยิงมาจากตรงไหนก็ไม่รู้มาทางผม
ไม่เพียงแค่กระสุนปืนใหญ่ แต่ยังมีกระสุนรังสีที่ดวงตามองไม่เห็นสาดเป็นห่าฝนไล่ตามหลังมาอีก
ไม่ไหวแฮะ
ถึงจะเป็นผม แต่ถ้าให้เอาแต่ป้องกันแบบนี้มันก็เหนื่อยเป็นเหมือนกันนะ
บินแบบนี้มันไม่ต่างอะไรไปจากบอกคนอื่นว่า “เป้ายิงอยู่ตรงนี้” เลย
ผมรีบบินลงต่ำจนแทบจะติดพื้นถนนที่เต็มไปด้วยการต่อสู้อันวุ่นวาย
จะบินตัดเมืองก็โดนโจมตีทางอากาศ
บินเลียบพื้นก็ดูท่าจะเจอเรื่องวุ่นวาย
แถมวิสัยทัศน์ยังแย่เพราะพายุหิมะที่พัดเข้ามาในเมืองอีก
คนกำลังรีบ ๆ อยู่
เริ่ม… ชักจะรู้สึกรำคาญ…
เดียวแม่ก็เป่าให้เรียบวุธไปทั้งเมืองเสียเลยหรอก…
MANGA DISCUSSION