***วันที่ 8 เรตนิว ปีที่ 125 เวลา 3:00 น.***
สำหรับดาวดวงนี้ที่มีเวลากลางวันกับกลางคืนอย่างละ 24 ชม. จึงทำให้เวลา 10:00 น. คือเวลาราตรีที่มืดมิด
ด้วยสภาพการแบ่งเวลาเช่นนี้ ร่างกายของสิ่งมีชีวิตบนดาวจึงถูกปรับตัวให้ตื่น 36 ชม. และต้องการพักผ่อนขั้นต่ำ 12 ชม. เป็นระดับเวลามาตรฐาน
แต่ใช่ว่าทุกคนเลือกที่จะใช้เวลาชีวิตเช่นนั้นกัน
“อืม… งานแรกในฐานะตำรวจสากล… กลับได้งานแบบนี้…”
ตำรวจหน้าใหม่ที่พึ่งถูกจัดรับเข้าประจำการ [ออน เอ็ซท] กำลังนั่งถ่างตาสองข้างจนแดงก่ำ ไปพร้อมกับอ่านเอกสารภารกิจที่พึ่งถูกมอบหมายมาให้
กลิ่นกาแฟและจำนวนซองบรรจุคาเฟอีนนับสิบถุงที่ถูกฉีกขาด สิ่งเหล่านั้นกำลังถูกวางทิ้งเรี่ยราดไปตามพื้นของเต็นท์ผ้าใบที่ถูกมอบมาให้เขาใช้เป็นการส่วนตัว
บนโต๊ะสุดแสนจะโทรมสกปรก กำลังถูกสุมกองไปด้วยเอกสารจำนวนมาก ที่ถูกขีดเขียน และเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของภารกิจที่เขาพึ่งจะได้รับมอบหมาย
[ภารกิจสืบตามหาสายลับขององค์กร คาร์นิวอย]
เขานั่งเคาะนิ้วไปพร้อมกับครุ่นคิดสงสัยบุคคลที่เป็นเป้าหมาย
คนหนึ่งเป็นชายเผ่าภูติที่มีผมสีขาว อายุ 42 ปี [ดิไลออน] เป็นเจ้าหน้าที่รุ่นพี่ก่อนเขาถึง 10 ปี
อีกคนคือชายเผ่ามนุษย์นกที่มีขนปีกและเส้นผมสีดำเป็นมันเงาจนดูคล้ายอีกา อายุ 45 ปี เป็นเจ้าหน้าที่รุ่นพี่ 10 ปีเช่นกัน
เขาคนนี้มีชื่อว่า [อาร์เซนิค]
ทั้งสองคนเป็นบุคคลของตำรวจสากลที่รับผิดชอบเรื่องการสืบคดีต้องสัย [การกินเนื้อผิดกฏหมายของ ชมรมคนกินเนื้อ คาร์นิวอย]
แต่ทว่าจากการสืบคดีครั้งล่าสุดที่ไปพลาดท่าให้กับศัตรู เลยทำให้ทางเบื้องบนเริ่มสงสัยสองคนนี้ ว่าเกลืออาจจะกลายเป็นหนอนเสียเอง
การเสียท่าจนทำให้มีผู้เสียชีวิต มันเป็นเรื่องใหญ่มากถึงขนาดที่ผู้ก่อตั้งตำรวจสากล [โนเนม] ที่ไม่มีใครรู้จักหน้าตาต้องลงมาจัดการด้วยตัวเอง
อนึ่ง ชื่อ [โนเนม] นั้น ว่ากันว่าเป็นชื่อปลอมที่ทุกคนใช้เรียกเขา เพราะไม่รู้จักชื่อและหน้าตาที่แท้จริงของเขากัน
แล้วทำไมถึงได้เลือกภารกิจลับนี้ให้กับเจ้าหนุ่มไฟแรงหน้าใหม่คนนี้อย่างงั้นหรือ?
สาเหตุนั้นช่างเรียบง่าย
เพียงเพราะแค่พวกเขาพึ่งจะรับชายผู้นี้เข้ามาใหม่ เลยมีความคิดว่าคงจะเหมาะสมให้หน้าใหม่ไร้ประวัติเป็นคนไปสืบในฐานะรุ่นน้องใต้การดูแล ดีกว่าส่งคนเก่าคนแก่ที่พวกเขาสองคนนี้รู้จักดีไปสืบนั่นเอง
คนที่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ใหม่เป็นผู้มาทำภารกิจสืบสวน มีเพียงแค่ระดับสูงขององค์กรเท่านั้นที่รู้
เพราะตอนที่มารายงานตัวนั้น เขาไม่เจอใครเลยนอกจากหัวหน้าสาขาที่เป็นชายเผ่ามนุษย์ตัวสูงใหญ่ ชื่อ [ฮาร์ดี] เป็นผู้มามอบภารกิจให้
ชายเผ่ามนุษย์ร่างใหญ่คนนั้นได้บอกกับเขา ว่ามันเป็นภารกิจลับที่ไม่มีใครรู้นอกจากทางเบื้องบน
ส่วนทุกคนที่อยู่ในสาขาเมืองนี้ ต่างเข้าใจไปว่าชายผู้นี้มาเพื่อฝึกงานในฐานะเด็กใหม่ให้กับทีมของดิไลออนไปแทน
“ดูยังไงก็เป็นการใช้งานเพื่อหวังให้เป็นตัวล่อชัด ๆ ”
ไม่เร็วก็ช้า ศัตรูต้องรู้อย่างแน่นอนว่ามีคนเข้ามาเพื่อสืบหาตัวตนของสายลับศัตรูในองค์กร
แล้วจะให้เขาสงสัยใคร ถ้าไม่ใช่เด็กหน้าใหม่ใสกิ้งที่พึ่งถูกส่งตัวมาสด ๆ ร้อน ๆ อย่างเจาะจง
แถมยังส่งตัวมาในเวลาเดียวกับที่เกิดข่าวลือว่าระดับตัวผู้ก่อตั้งจะลงมาสืบคดีเองอีก
ให้คิดยังไง ก็ไม่พ้นว่าพวกเขาตั้งใจจะให้งานชายผู้นี้ให้ไปเป็นตัวล่อดึงความสนใจของศัตรู…
“แต่อย่างว่า ถ้าคิดจะเป็นผู้ผดุงคุณธรรม บางครั้ง พวกเขาก็ต้องหาผู้เสียสละมารับหน้าที่อันตราย
มันเป็นเหตุผลที่ผมยังพอยอมรับได้อยู่ละนะ”
มนุษย์หนุ่มผมสีน้ำตาลพูดปลอดใจตัวเอง แล้วเริ่มบิดแขนที่เหนื่อยล้า
“4:00 น. แล้วหรือเนี่ย…”
วันนี้พอแค่นี้ก่อนจะดีกว่าไหม?
เขาคิดเช่นนั้นแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำที่เต็นท์อาบน้ำ
หยิบเสื้อกันหนาวตัวหนาสีดำมาสวมทับ พร้อมกับหยิบปืนรังสีประจำตัวมาพกติดตัว ก่อนจะเดินออกจากบ้านขึงผ้าใบ ลุยผ่านอากาศที่ติดลบ 10 องศา
” หิมะตก…”
เขายืนมองละอองหิมะขาวที่เริ่มโปรยปรายลงมาปกคลุมเมือง
เนื้อตัวของเขาเริ่มสั่นเทาด้วยความหนาว ก่อนจะนึกโมโหในความทรุดโทรมของสำนักงานที่แสนจะน่าเวทนา
ถึงภายในฐานจะมีตั้งเสาไฟคอยมอบแสงสว่างและทำความอุ่นให้พื้นที่ แต่ด้วยอายุของอุปกรณ์ จึงแทบจะทำให้มันกลายเป็นเสาไร้ค่าที่แม้แต่แสงเทียนยังจะทำหน้าที่มอบความอบอุ่นได้ดีกว่า
ภายในใจของเขา… กำลังนึกโหยหาถึงฤดูร้อนแสนอบอุ่น ก่อนจะเอามือขึ้นมาปัดละอองหิมะที่ตกทับลงบนหัวด้วยความรำคาญใจ
ท่ามกลางละอองสีขาวยามราตรี
ท่ามกลางแสงไฟที่สะท้อนละอองฝอยหิมะจนเห็นเป็นแฉกประกายแสงแสบตา
ในเวลานั้น เขาได้มองเห็นบางอย่างจากทางฝั่งที่อยู่ภายในเมืองโซนชั้นล่างสุด
“บินอยู่? เผ่าภูติ? เผ่ามนุษย์นก? แล้วยังสวมผ้าคลุมสีขาว? ”
สิ่งที่เขาเห็นในระยะสายตานั้น มันมีบางสิ่งกำลังโบยบินมารวมตัวกันเหมือนแมลงที่กำลังบินตอมแสงสว่าง
สิ่งนั้นมันมีสีขาวคล้ายผ้าคลุมขนาดใหญ่ที่ขาดหวิดว่อน
มีขนาดตั้งแต่หนึ่งเมตรไปจนถึงสี่เมตร
แต่พอลองเพ่งจ้องมอง กลับเริ่มเห็นว่าผ้าคลุมเหล่านั้น มันไม่ได้เป็นแค่ผ้าคลุมธรรมดา
บ้างก็ดูคล้ายน้ำวน
บ้างก็ดูคล้ายละอองแสงหิงห้อย
บ้างก็ดูคล้ายก้อนไฟที่ลุกโชน
บ้างก็ดูก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายสิ่งมีชีวิต
บ้างก็ดูคล้ายกับละอองฝุ่น
“… อะไรกันนั่น? ”
เขานึกสงสัยเลยหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมถ่ายภาพเพื่อค้นข้อมูล
แต่ทว่าบนหน้าจอที่ส่องผ่านเลนส์กล้อง กลับไม่มีแสงและเงาของสิ่งแปลกประหลาดนั้นปรากฏให้เห็น
ราวกับว่าแสงสว่าง ไม่สามารถสะท้อนเอาภาพที่มีอยู่ตรงนั้นมาปรากฏให้ดวงตาเห็นหรือสัมผัสได้จริง—
” เรื่องบ้าอะไรกัน… เดียวก่อนสิ เหมือนว่าเราจะเคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้มาก่อน— ”
ในตอนที่กำลังคิดสงสัยว่ามันคืออะไร นายตำรวจหนุ่มก็บังเอิญนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมา
เหตุการณ์อันแปลกประหลาดที่มีเพียงแค่เขา กับสามสาว หัวแดง หัวเหลือง หัวน้ำเงิน ที่สามารถมองเห็นได้
ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า [การมองเห็นวิญญาณ]
“เอาจริงดิ!นั่นมันคือผีอย่างงั้นเรอะ แล้วทำไมถึงเห็นได้ชัดขนาดนี้!? ”
เขาจำได้ว่าเคยสามารถมองเห็นได้อย่างเลือนราง
แต่ไม่ใช่เห็นได้ชัดถึงขนาดนี้
หรือจะเป็นเพราะผ่านเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณมาแล้ว เลยทำให้มีญาณรับรู้ดีมากขึ้น?
ไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด…
“ไม่สิ ปัญหาคือเรื่องผีตรงนั้นมากกว่า”
สิ่งแรกที่ต้องทำ คือการติดต่อหาผู้เชี่ยวชาญมารับมือ
แต่โลกเราไม่ได้มีความเชื่อเรื่องผีสางขนาดนั้น
ในเวลานั้น สิ่งแรกทีชายผู้นี้นึก จึงไม่ใช่ภาพของพระหรือนักบวชของแต่ละศาสนา แต่เป็นภาพของสามสาวสุดแปลกประหลาดที่เขารู้จัก
“เห็นว่าพักอยู่ในโรงแรมของท่าอากาศยาน– หน่อย!รู้แบบนี้ขอเบอร์โทรติดต่อเอาไว้ก่อนก็ดี!”
เขากัดฟันอย่างเจ็บใจ
ในเวลาเดียวกัน วิญญาณที่มารวมตัวก็เริ่มที่จะมีขนาดใหญ่มากขึ้น
มากจนแทบจะทำให้คิดว่าวิญญาณแค้นที่เคยลอยเคว้งไปมาไปทั่วเมือง กำลังถูกเรียกให้มารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนั้น
” ไม่มีเวลาแล้ว!”
เขาตัดสินใจรีบวิ่งตรงออกไป โดยไม่คิดไปตามหาสามสาวก่อน
“เฮ้ย นั่นนายจะไปไหนเจ้าหน้าใหม่? ”
“ออกไปทำธุระส่วนตัวครับ!”
“มาถึงวันแรกก็จะ [หนีเที่ยว] เลยอย่างงั้นเรอะ? วัยไฟจริงนะเรา!”
เขาวิ่งผ่านเจ้าหน้าที่ ที่กำลังยืนเฝ้าทางเข้า โดยไม่สนใจคำแซวที่ถูกพ่นออกมา
วิ่งตรงผ่านย่านการค้าที่เงียบเหงา
ตัดผ่านส่วนถนนที่ยกสูง แล้วกระโดดลงมาที่ชั้นล่างสุดของเมือง ที่เป็นส่วนติดกับพื้นดินของทวีป
” หนัก!? ”
วินาทีแรกที่เขากระโดดลงมาส่วนชั้นล่างสุดของเมืองที่ติดบนพื้นดินส่วนล่าง คือความสับสนที่เกิดขึ้นในการรับรู้ทิศทางจนแทบจะเป็นบ้า
ทุกครั้งที่ก้าวเท้าออกไป ราวกับว่ามีน้ำหนักบางอย่างกำลังมาโถมทับใส่ร่างกาย ทำให้การรับรู้ยืนตรงถึงกับเอียงเท แล้วล้มกลิ้งหน้าคะมำทั้งที่พื้นดินเป็นที่ราบ
แก้วหู เริ่มรู้สึกถึงเสียงสนามแม่เหล็กที่สั่นพ้องไปทั่วทุกตารางนิ้วของแผ่นดินรอบตัว
รู้สึกได้ถึงสนามพลังประหลาด ที่กำลังส่งผลต่อน้ำในแก้วหูจนทำให้การรับรู้ทิศทางสับสน
แม้แต่อุปกรณ์ที่พกติดตัวอย่าง มือถือรูปปืนลูกโม่สั่งพิเศษกับปืนรังสีที่พกติดตัว ยังถึงกับเกิดความร้อนสูงจนเขาต้องรีบโยนมันทิ้งออกไปจากตัวทั้งคู่
“อึก… ผมประมาททวีปนี้มากเกินไป…”
นี่คือสาเหตุว่าทำไปเมืองถึงต้องสร้างอยู่บนฐานยกลอยให้สูงเหนือพื้นดินของทวีป…
คลื่นแม่เหล็กที่รุนแรงของทวีปนี้ นอกจากจะมีผลร้ายกับอุปกรณ์แล้ว มันยังมีคลื่นประหลาดที่ส่งผลต่อร่างกายและอวัยวะของสิ่งมีชีวิตอีกด้วย
เขาเริ่มนึกเสียใจที่ดูถูกภัยธรรมชาติของทวีปนี้มากจนเกินไป
ถึงจะเสียดายปืนกับมือถือที่ใช้มาตั้งแต่สมัยเรียน แต่การหนุดภัยอันตรายนั้นสำคัญมากกว่า
เขาลุกขึ้นยืน พยายามทำให้คุ้นชินกับสภาพแวดล้อม แล้วเดินตรงไปที่จุดรวมวิญญาณอย่างช้า ๆ
ในพื้นที่ชั้นล่างสุดของเมือง มีแต่พวกยากจน คนไร้บ้าน มารวมตัวอาศัย
มุมหนึ่งมีคนนอนแข็งตายท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย
อีกมุมมีเผ่ามนุษย์สัตว์ที่ร่างกายแห้งผอมโซนอนเป็นซากมัมมี่
ในอีกมุม มีพื้นดินที่เต็มไปด้วยรูที่ถูกขุดจำนวนมากของเผ่ามนุษย์มด กับร่างกายของเผ่ามนุษย์มดที่แห้งตายบนก้อนหลุมเหล่านั้น
ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มองเห็นแต่ความตายกระจายอยู่เต็มไปหมด…
“ให้ตายสิ… ที่นี่มันเลวร้ายชะมัด”
เขาเดินผ่านแนวเสาที่ค้ำจุดฐานของเมืองด้วยมือกับขาอันหนักอึ้ง
มือ… เริ่มเย็นเฉียบพลันจากมวลความเย็นที่กำลังลดต่ำลงจนถึง -20 องศาเซลเซียส
ลมหายใจกลายเป็นไอขาว น้ำตากลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งติดที่ปลายคิ้วตา
เขาเดิน… ท่ามกลางความสับสนที่ถูกรบกวนการรับรู้
ความหนาว… เริ่มติดลบเพิ่มขึ้นจนถึง -30 องศาเซลเซียส
หิมะเริ่มทับถมหนา… จนสูงถึงช่วงเอว
ช่างไกล…
ระยะทางเพื่อไปสู่จุดที่วิญญาณรวมตัวนั้นยังอยู่อีกห่างไกลนัก…
พอมองย้อนกลับไป… ก็เริ่มได้คิด
พึ่งจะมาได้ไกลเพียงแค่ 30 ก้าว…
หรือจะกลับก่อนดี…
เขาเริ่มที่จะคิดแบบนั้น
“ไม่น่าดูถูกภัยธรรมชาติของทวีปนี้… จริง ๆ นะ…”
มาสำนึกผิดตอนนี้มันก็สายไปแล้ว
เขาคิดเช่นนั้นก่อนจะล้มตัวลงนอนบนหิมะ
ล้มตัวนอน พร้อมกับความเหนื่อยล้าที่ถาโถมใส่ร่างกาย
เริ่มเห็น… ทุกอย่างพร่ามัว…
เห็น… แสงไฟมาส่องจี้ใส่ดวงตาของเขา…
ดวงตาของเขากำลังจะปิดลง
ปิดลง เพื่อกลายเป็นหนึ่งในวิญญาณที่กำลังถูกเรียกรวมตัวตรงหน้าเขา ณ ตอนนี้—
“…”
ทุกอย่างกำลังดับมืดลง…
…
..
.
.
“เฮ้ย!มีคนล้มตัวนอนอยู่ตรงนั้นด้วยวะสหาย!”
MANGA DISCUSSION