“ด้วยนามแห่งเทพเจ้าโนอาร์ ผู้มอบชีวิตให้แด่พวกเราเผ่ามนุษย์สัตว์”
“ด้วยนามแห่งเทพเจ้าโนอาร์ เทพเจ้าผู้ยังมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียว”
“ข้า [ซุนไกท์] ”
“ส่วนข้า [วานาดิไนต์] ”
“” พวกเราสองคน คือสุดยอดนักสำรวจของเผ่ามนุษย์สัตว์ ผู้ศรัทธาแห่งธิดา โนอาร์ กลุ่ม [บิกทรี] !””
*บรึ้มมม!!!*
เกิดระเบิดควันพุ่งออกมารอบทิศยานหุ้มเกราะอย่างไร้ความหมาย
อยากจะตบมุขว่า “ชื่อบิกทรี ทำไมมีสองคน? ” แต่มันพูดไม่ออก
เจอพวกไม่เต็มเต็งอีกแล้ว…
คนที่ชื่อว่า วานาดิไนต์ เป็นชายเผ่ามนุษย์หมีที่มีใบหน้าคม ดูดุดัน และมีความสวยงามเหมือนผู้หญิง
เขามีผมสีแดงเรียบตึงยาวปะหัวไหล
ผิวของร่างกายมีความเรียบมัน จนดูไม่ต่างไปจากผิวสังเคราะห์เทียมที่นิยมใช้ในการสร้างหุ่นยนต์เสมือนจริง
ส่วนอีกคนที่ชื่อซุนไกท์ เป็นชายเผ่ากอลิล่าที่มีรูปร่างผอมเพรียว ผู้มาพร้อมกับกล้ามที่สวยงามตามแบบฉบับทหารผ่านศึก
เขามีผมสีดำตัดสั้นเสมอใบหู และมีดวงตาที่ดูอ่อนโยน
ผิวของเขาเองก็ดูเหมือนจะเป็นผิวเทียมเช่นกัน
เป็นคนตัวสูงราวสองเมตรทั้งคู่ และมีดวงตาทำมาจากแก้วเลนส์ใสที่มีแสงไฟสีแดงปรากฏ
ไม่ผิดแน่
สองคนนี้คงเป็นพวกไซบอร์กอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อประมาณ 60 ปีที่แล้ว หรือก็คือในปีประวัติศาสตร์ที่ 65
ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นเทพเจ้ามีชีวิต [โนอาร์] ของเผ่ามนุษย์สัตว์ ได้เปิดโครงการยืดอายุขัยให้กับเผ่าตัวเอง
วิธีการนั้นเรียบง่าย คือการทำผ่าตัดดัดแปลงร่างกาย ให้กลายเป็นกึ่งไซบอร์กไป
พวกเขาประสบความสำเร็จในการยืดอายุขัยของกลุ่มที่ยอมรับเข้าการทดลอง
แต่ทว่าในอีก 50 ปีถัดมา พวกเขาก็พบกับความผิดพลาดที่ไปล้อเล่นกับอายุขัยของชีวิต
พวกที่ถูกดัดแปลงให้เป็นไซบอร์กต่างเริ่ม [เพี้ยน] , [สูญเสียตัวตน] หรือไม่ก็เป็น [บ้า]
บ้างก็ว่าเป็นเพราะไม่มีเทคโนโลยี ที่สามารถเลียนแบบสมองของชีวิตได้จริง
บ้างก็ว่าเป็นเพราะชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำ มันเสื่อมสภาพตามอายุ
บ้างก็ว่าเป็นเพราะการรับข้อมูลมามากเกินความจำเป็น ตามช่วงชีวิตที่ยืดออกจนผิดเพี้ยน
แต่ถ้าให้กล่าวโดยสรุป คือพวกที่ยอมเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นไซบอร์กนั้น ล้วนแต่จบลงที่กลายเป็นพวก [บ้า] กันไปหมด
“เชี่ย!นั่นมันพวก [บิกทรี] นี่หว่า!? ”
“พวกเพี้ยนสุดกู่ อย่าไปยุ่งเลย!”
“ถอยโว๊ย!”
ผมได้ยินเสียงจากพวกที่ไล่ตามมากำลังวิจารณ์เช่นนั้น
“…”
บิกทรีที่มีสองคน กับยานเหาะหุ้มเกราะเบาหนึ่งคัน
ดูท่าว่าวันนี้ผมจะไปรายงานตัวไม่ทันแน่…
***
“วันนี้ พวกเราควรออกไปเดินเล่น พร้อมกับพกของสีน้ำตาล แล้วจะมีโชคหล่นลงมาจากฟ้าละ!”
ผมกับสหายเทพและหนึ่งหนูน้อยนางฟ้า พวกเราสี่คนกำลังเดินเล่นในเมืองเถื่อนท่ามกลางความหนาวของลมที่พัดผ่าน
เพราะกว่าจะมีเที่ยวบินอีกครั้ง พวกเราเลยต้องรออยู่ในเมืองนี้ถึง 7 วันเต็ม
เนื่องจากไม่มีอะไรทำ เลยออกมาเดินฆ่าเวลาเล่นกัน
แต่เป็นที่รู้กันว่าเมืองบ้านี้มันเถื่อนมาก
เถื่อนขนาดที่ว่าแค่มองผ่านหน้าต่างจากห้องพัก ก็จะเห็นมีร่างวิญญาณแค้นจำนวนมากเดินปะปนเนียนไปกับฝูงชน
บางตัวเอาแต่พ่นคำสาปใส่คนที่เป็นคู่กรณีแค้น
บางตัวเหมือนจะตายโดยยังมีเรื่องที่ค้างคา เลยไม่ได้ไปสู่สุขคติ
บางตัวก็บินวนไป เวียนมา ตรงจุดที่ตัวเองตาย ราวกับต้องการจะเรียกร้องหาความเป็นธรรมให้กับศพของตน
เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความเน่าเหม็นของพวกผีแค้น…
เพื่อความปลอดภัยของโลลิตัวน้อยผู้น่ารัก พวกเราจึงเลือกที่จะเดินในเขตย่านการค้าที่ติดกับท่าเทียบยาน
เพราะมันเป็นเขตใต้การดูแลของตำรวจสากล
สำหรับเมืองนี้ ถ้าใครมาถึงแล้วพลาดหลงทางไปลงประตูฝั่งเขตพักอาศัย รับรองว่าไม่มีทางรอดกลับออกมาได้แน่นอน
ซ้ายขวาของพวกเราตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยร้านค้า ที่มาเปิดจับจองกันเองอย่างไร้ระเบียบ
บางร้านก็เป็นยานเหาะเปิดประทุน มาจอดเรียงสูงขึ้นไป แล้วเอาแผ่นไม้มาวางทาบระหว่างคันรถที่เหาะอยู่ จนทำให้มันดูคล้ายเป็นศูนย์การค้าขนาดย่อมที่มี 7-8 ชั้น
บางร้าน ก็จงใจกางหลังคาผ้าคร่อมถนน แล้วตั้งซุ้มให้รถวิ่งผ่าน เปิดเป็นร้านอาหารที่ให้รถสามารถวิ่งผ่านมาจอดซื้อของกินได้
“ขอพูดอีกครั้ง สีน้ำตาล จะทำให้วันนี้มีโชคตกลงมาจากฟ้า!”
ผมที่สวมชุดกันหนาวสีน้ำตาลคลุมเอาไว้ กำลังพูดจาอย่างโอ้อวดพร้อมกับกางปีกบิน
วันนี้ละ จะต้องทำให้พวกนางสองคนยอมรับความสามารถในการทำนายของผมให้ได้!
[อยากกินไอติมใช่ไหม~ เดียวพี่ลาพิสคนนี้จะซื้อให้นะ~ (ᗜˬᗜ) ]
“งั้นหนูขอรส สไลม์พิศวง!”
“ลาพิส เอาทั้งหมดห้าแท่ง จัดไปได้เลย”
สหายไร้แขนกับสหายไร้หน้ากำลังมีความสุขกับการซื้อไอติมให้เด็กน้อยผมสีเงิน
“เย่~♫♫”
สหายไร้แขนใช้ปีกขนสีเหลืองของเธอรับแท่งไอติมรสสไลม์พิศวงมาแจกคนละแท่งรวมถึงผม ก่อนจะเริ่มกลับไปเดินชมย่านการค้าต่อ
ส่วนโลลิน้อยได้กินสองแท่งละ
เห็นเอโซนิสัยไม่สนชาวบ้าน แต่ใจจริงก็อ่อนโยนน่าดูเลยแฮะ
“…*งั่ม*”
ส่าแต่ทำไมไอติมมันเค็มจัง
เค็มน้ำตา…
พวกเธอสนใจผมกันบ้างหน่อยสิยะ!
“นี่…งั่ม!คือว่าสงสัยมานานแล้ว แบบ…งั่ม!แบบว่าพี่ลาพิส…งั่ม!เออ…งั่ม!ตาบอดหูหนวกจริง ๆ หรือคะ? … งั่ม!”
[อืม 0_0? ค่อย ๆ กิน ค่อย ๆ พูดก็ได้นะ]
“คือแบบว่าพี่ฟังที่คนอื่นพูดได้ เขียนป้ายโต้ตอบได้ ทำทุกอย่างราวเป็นราวปกติ? คืออยากจะบอกว่าพี่สุดยอดมาก ๆ เลยค่ะ!”
[อย่าชมสิ มันเขินนะคะ >\< แบบว่าคนมันฝึกมาเยอะอะ ^\^]
“หน้านิ่งสนิท แต่ป้ายนี่แสดงอารมณ์ได้น่ารักมากเลยค่ะ คุณพี่ลาพิส~”
กร๊อดดด!!
น่าอิจฉายัยเทพไร้หน้าชะมัด
ทำไมเด็กถึงติดเธอได้ขนาดนี้!?
เพราะหน้าอกสินะ!
เพราะหน้าอกหน้าใจที่ขี้โกงของเธอนั้นสินะ!!?
เดียวคืนนี้ผมจะกลายเป็นนางร้ายละครหลังข่าว แล้วเอาเข็มหมุดไปแอบวางไว้ในรองเท้าเธอซะเลย!
“ส่วนพี่สาวเอโซ… เป็นมนุษย์นกที่บินไม่ได้? ทำไมพวกพี่สองคนถึงไม่รับการรักษาละคะ? ใช้ชีวิตแบบนี้มันไม่ลำบากหรือคะ? ”
” ถามเรื่องส่วนตัวของคนอื่นใหญ่เลยนะ เจ้าเด็กไร้มารยาทนี่— แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกปิดอะไร พวกเราแค่เลือกที่จะไม่รักษาร่างกายที่พิการนี้กันเอง มันก็เท่านั้น”
โลลินางฟ้าผมเงินกำลังไล่ถามสภาพร่างกายของพวกเราไปทีละคน
” พวกเรา? แสดงว่าพี่สาวแมรี่โกลด์เองก็มีบางอย่างผิดปกติเหมือนกันหรือคะ? ”
นั่นไง เธอกำลังพูดถึงผมอยู่!
ต้องรีบตอบ—
” เธอพิการขานะ เลยทำให้ต้องบินตลอดเวลา”
—โดนยัยไก่เหลืองแย่งตอบไปแล้ว…
” แบบนี้นี่เอง — อ๊ะ!!ร้านนั้นมีขายคุณกระต่ายลูกโป่งขนฟูตัวอ้วนกลมด้วยละ!”
แถมยังโดนกระต่ายแย่งความสนใจไปอีก!?!
น้องโลลิผมเงินกับสหายสองคนกำลังเดินตรงไปที่ร้านริมทางขายสัตว์เลี้ยง
เดินจากไป โดยไม่คิดแม้แต่จะหันมาเหลียวแลผม…
ม่าย~ นางฟ้าของผม ได้โปรดสนใจพี่สาวหัวแดงคนนี้ที—
*บรึ้ม!*
” แว๊กกกกกกกกกก!!!”
เสียงอะไร?
ผมแหงนหน้ามองขึ้นไปด้านบน
ตรงจุดที่อยู่สูงขึ้นไปจากย่านการค้า คือเขตพักอาศัยของพวกป่าเถื่อนซึ่งสร้างอยู่บนโครงสร้างที่ยกสูงเหนือพื้นดิน
ที่ตรงนั้น กำลังมีเศษปูนปลิวว่อนตกลงมา พร้อมกับร่างเงาของผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่ง ที่มีผมกับดวงตาสีน้ำตาล
ใบหน้าคุ้น ๆ …
“หลบป๊ายยยยย!”
“เฮ้ย!? ”
เจ้ามนุษย์ที่คุ้นหน้าคนนั้นกำลังพุ่งตรงมาทางผม
ถ้าเป็นมุขการ์ตูนผู้ชาย ฉากต่อจากนี้คงไม่พ้นที่ผมถูกผู้ชายคนนั้นชนใส่ แล้วบังเอิญมือของเขามาขยุ้มที่หน้าอก
เพื่อหลีกหนีการเล่นมุขใต้กระโปรงยอดนิยม ผมเลยใช้พลังภูติสร้างม่านต้านอากาศเพื่อลดแรงพุ่งตัวของอีกฝ่าย แล้วหันตูดใส่หน้ามันแทน
*ปุ—!*
“เหม็น!? ”
“พูดแบบนี้กับผู้มีพระคุณได้ยังไง ผมล้างก้นมาสะอาดหรอกนะ!!”
ผลลัพธ์คือใบหน้าของเจ้าหนุ่มมาปะทะใส่ตูดของผมเต็ม ๆ ก่อนจะตาเหลือกขาว แล้วนอนแน่นิ่งเหมือนคนตายคาอยู่ที่พื้น
ให้ตายสิ ช่างเป็นชายที่ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย
“มนุษย์ที่มีผมสีน้ำตาล… ตกลงมาจากฟ้า… สีนำโชค สีน้ำตาล… กับโชคหล่นลงมาจากฟ้า… วะ ฮะ!ฮะ!ฮะ!!แมรี่โกลด์ เธอทำนายแม่นจริง ๆ ด้วย!!ฮะ!ฮะ!ฮะ!!”
“ไม่ใช่เรื่องตลกสักหน่อยนะ เอโซ!”
“ฮะ ฮะ ฮะ— ขอโทษที— แต่มัน— อดขำไม่ไหว— ฮะ ฮะ ฮะ!!”
ขอตบหน้าสหายไร้แขนสักปาดจะได้ไหมเนี่ย?
” เจ้าลิงนั้นตกลงไปในเขตของพวกตำรวจสากลแล้วสหาย!”
” เอ็งแคร์หรือสหาย? ”
” ใครแคร์กันละสหาย!”
“”งั้นลุยแม่มเลย!!””
มีเงาขนาดใหญ่กำลังบินลงมาจากฝั่งเขตพักอาศัย
มันคือยานหุ้มเกราะที่ติดตั้งปืนใหญ่รังสีขนาดเล็กหนึ่งกระบอก คู่กับปืนใหญ่ขนาด 50 มม. อีกหนึ่งกระบอก
เกราะหุ้มด้วยเหล็กผสมแร่ตัวนำ เพื่อให้สามารถสร้างม่านพลังงานเป็นเกราะเสริม คอยหุ้มตัวยานเอาไว้อีกชั้น
รูปร่างของมันในภาพรวม แทบไม่ต่างไปจากฐานจานบินที่ติดตั้งปืนใหญ่เอาไว้
“ทำไมถึงมีอาวุธสงครามมาโผล่กลางเมืองได้กันค่ะเนี่ย!? รีบหนีกันเถอะค่ะ!”
ดวงตาของโลลิน้อยผมเงินกำลังดูตื่นตระหนก
เธอตั่วสั่นพร้อมกับเกาะลาพิสจนแน่นเหมือนเป็นลูกกระรอกตัวน้อย
นะ— น่ารัก!?
มะ— ไม่สิ!
ปัญหาคือเจ้าบ้าสองตัวที่บังอาจมาทำให้โลลิน้อยตื่นตกใจต่างหาก!
“สหายซุนไกท์ เจ้าโง่ที่มันมาหาเรื่องพวกเรากำลังสลบอยู่วะ!”
“สหายวานาดิไนต์ เดียวข้าจะลงไปแบกมันกลับไปแขวนตรึงเสาที่หน้าบ้านเอง คนอื่นจะได้ไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่าง”
“เห็นด้วยอย่างยิ่ง!”
เจ้าพวกบ้าสองตัวที่ดูยังไงก็คือหุ่นไซบอร์ก กำลังพยายามอุ้มตัวเจ้ามนุษย์หนุ่มที่คุ้นตาขึ้นไปบนยาน
แต่ว่าผมไม่ยอมปล่อยให้มันหนีไปง่าย ๆ แบบนี้หรอก
“พวกแก!บังอาจมาทำให้โลลิน้อยของผมต้องหวาดกลัวอย่างงั้นหรือ!กระผม ตัวแทนแห่งแสงจันทราแดง นักปราชญ์สีชาดแห่งเผ่าภูติผู้ยิ่งใหญ่จะเป็นผู้ลงทัณฑ์แกเอง!”
” แกใครวะ? ”
” คนไม่เกี่ยวข้องอย่ามายุ่ง ถ้ายุ่ง ตาย!”
เจ้าบ้าสองตัวกำลังเบ่งกล้ามข่มขู่ผมที่บินเข้าไปแทรก
พวกมันโยนเจ้าหนุ่มมนุษย์ที่คุ้นหน้าออกไป เหมือนเป็นการโยนขยะ ก่อนจะกระโดดกลับขึ้นไปปีนอยู่บนยานหุ้มเกราะอีกครั้ง
เสียงสั่นพ้องสะสมคลื่นพลังงานเริ่มดังเสียดสีอากาศ พร้อมกับที่ฝูงชนเริ่มพากันเดินถอยออกห่างอย่างใจเย็น
แสดงว่าคงยิงกันบ่อยจนคุ้นชินตา คนพวกนี้เลยดูไม่ตื่นตระหนกกันเท่าไหรนัก~
“ดูสิว่าต่อหน้ายานหุ้มเกราะ จะทำปากเก่งได้อีก–”
*กึ่ง!*
“—!?? ”
พูดมากน่ารำคาญ
ช้ามาก
พวกมันกว่าจะกระโดดขึ้นรถ แล้วเตรียมเร่งสะสมพลังงานเพื่อยิง ก็ต้องใช้เวลาร่วมไปมากกว่า 20 วินาที
เวลาแค่นี้นะ ไม่ได้กินผมหรอก จงรับรู้เอาไว้ซะ
ผมกำลังใช้พลังภูติ สร้างม่านสนามพลังแม่เหล็กสองขั้วขึ้นมาในอากาศ
สั่นพ้องอะตอม บิดเบือนคลื่นพลังงาน ก่อให้เกิดเป็นสนามพลังที่บิดเกลียวเป็นคลื่นพายุ
*กึง กึง กึง*
ยานเหาะของศัตรูกำลังเอียงตัวไปตามกระแสคลื่นสนามแม่เหล็กที่มองไม่เห็น
เสียงวัสดุเหล็กบุบบี้ดังขึ้นต่อเนื่องดั่งเป็นกลองศึก
“แว๊กกกกกกก!?!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังสะท้อนไปทั่วท้องฟ้าแห่งฤดูหนาว
พุ่งหายลับตาไปในหมู่เมฆาที่ก่อตัวหนา
สิ้นสลายไม่เห็นอีกแม้แต่เงา
ในระหว่างนั้น ผมก็แอบเหลือบตามองโลลิน้อยผู้น่ารัก
เธอกำลังอ้าปากค้างมองผมอยู่ละ
เป็นยังไง? ผมดูเท่ไปเลยใช่ไหมล่า~
“เอาละ เรื่องจบแล้ว พวกเราไปเดินเล่นต่อ—”
“เดียว… คุณตรงนั้น… ช่วย… พาผม… ไปที่สำนักงาน… ตำรวจ… ที…”
อะไรกันอีกเนี่ย?
ดูเหมือนว่าเจ้าหนุ่มมี่คุ้นตากำลังพยายามจะขอความช่วยเหลือ
แต่เจ้านี่ไม่ใช่โลลิและไม่ใช่โชตะ ผมเลยรู้สึกไม่ค่อยอยากช่วยมันสักเท่าไหร
แต่ต่อหน้านางฟ้า ผมคงต้องทำตัวให้ดูเท่เอาไว้ก่อน
เพราะเด็ก ๆ นะ ย่อมต้องชอบฮีโร่อยู่แล้ว จริงไหม?
“ก็ได้ ผมจะช่วยนาย— เออ…นายตือ— ออน เอ็ซท? ”
“อ๊ะ? คุณ แมรี่โกลด์? ”
พอได้เห็นหน้าชัด ๆ เลยทำให้จำได้แล้วว่าเขาคือใคร
เจ้าหมอนี่คือนายตำรวจผู้มีฝีมือการทำอาหารสุดเก่งกาจ นายตำรวจ ออน เอ็ซท ผู้นั้นนั่นเอง
มือเย็นนี้จะได้กินของอร่อยแล้วสินะ~
MANGA DISCUSSION