*เหมาะ*
มันคือเสียงเลือดที่กำลังหยดไหลลงพื้น…
หยดเป็นสายน้ำตกจนเหือดแห้งไม่เหลือภายในร่างกายให้ไหลออกมาอีก
ร่างกายหนาวเหน็บราวกับถูกจับแช่แข็ง หัวใจเต้นช้าลง ความมืดถาโถมรอบกาย
ฉันกำลังจะตาย…
ตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครสนใจ—
*เปรี๊ยง!! *
“โลลิอยู่ที่ไหนนนนน!!!! ”
—เออ… เสียงอะไรนั่น?
แถมยังเป็นเสียงที่ฟังดูคุ้นหูอย่างน่าประหลาด…
“โอ๊กกก!!! ยัยบ้า! วันหลังอย่าพาบินแบบนี้ — โอ๊กกก! อีกนะยะ!! ”
“ตกลงนี่เธอกลัวความสูงจริง ๆ หรือเนี่ย? ไม่ใช่ว่าเห็นเธอกระโดดฉวัดเฉวียนไปมาออกจะบ่อยหรอกหรือยังไง? ”
“การกระโดดสูงมันคนละเรื่องเลยนะยะ! หรือเธออยากลองมาถูกเด็ดปีกทิ้ง แล้วพาท่องอากาศดูบ้างไหม!? ”
” ไม่เข้าใจงะ”
” ฉันบินไม่ได้! — โอ๊กกก!!! – – – ถ้าตกจากที่สูง มันถึงตาย—โอ๊กกก!! ”
” เหวอ!?! สกปรก!! ไปพักให้หายมึนก่อนไป๊!! เดียวผมจะตามหาโลลิน้อยเอง”
“…”
อะไรบางในจิตใจของฉันกำลังบอก ว่าอย่าให้เจ้าของเสียงนั้นเจอตัวเด็ดขาด
” โลลิ โลลิ โลลิ~ สัญชาตญาณโลลิของผมกำลังบอกว่าเธออยู่ตรงนั้น! ”
“…”
ฉันกำลังพยายามกลั้นลมหายใจ
พอเห็นเงาประหลาดบินผ่านหน้า หัวใจมันก็เริ่มเต้นแรงจนแทบอยากจะสั่งให้มันหยุด เพราะหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินมัน
เงาที่ดูคุ้นตานั้น บินมาหยุดตรงหน้าของฉัน
ไม่— นะ!?!
” เจอ~ ตัว~ แล้ว~”
” กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!!! ”
***
” ตื่นได้แล้วลูก! ”
” ตื่นเถอะลูกรัก! ”
“หืม–? ”
เสียงที่อบอุ่นและคุ้นเคยกำลังปลุกให้ฉันตื่นจากภวังค์
พอลืมตา ก็เห็นเพดานที่คุ้นเคยแสนคิดถึงปรากฏอยู่ตรงหน้า
มันเป็นเพดานดินที่ประดับด้วยแร่ให้แสงสว่างของพวกเราชนเผ่าดวอร์ฟ
“ที่นี่คือ? ”
“เห็นลูกส่งเสียงดังเลยรีบลงมาดู”
” เป็นอะไร ฝันร้ายอย่างงั้นหรือลูกรัก? ”
“ฝัน– ร้าย? ”
ฉันลองเอนตัวลุกขึ้น
ผิวก้นสัมผัสได้ถึงเตียงหนานุ่ม
ไม่รู้สึกเจ็บหรือด้านชาจากบาดแผล
ไม่มีร่องรอยของแผลไฟไหม้หรือผิวที่ฉีกขาดจากแรงระเบิด
“คงจะฝันร้ายสินะ? ”
คนที่มีใบหน้าเหมือนฉันแต่เป็นผู้ใหญ่กว่า กำลังถามฉันด้วยแววตาที่อ่อนโยน
ส่วนอีกคน เป็นผู้ชายที่มีดวงตาสีเงินเหมือนกับฉัน
สองคนนี้— ช่างมีใบหน้าเหมือนกับบุคคลที่ฉันแทบจะลืมไปจากความทรงจำ
ใบหน้าของพ่อกับแม่…
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ไม่ใช่ว่าฉันเคยถูกพวกเขาทิ้งตั้งแต่ตอนสองขวบไปแล้ว?
” รีบตื่น ล้างหน้า แปรงฟัน แล้วลงไปกินข้าวช้าวกับคุณมนุษย์เสือ [ซิงเคไนต์] กันเถอะ”
“คุณ… ซิงเคไนต์? ”
นั่นมันชื่อของผู้มีพระคุณ
ทำไม…?
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นละลูกรัก? ”
“สงสัยว่าลูกคนนี้คงยังจะโกรธพวกเราอยู่นั่นละที่รัก ก็เล่นทิ้งเธอไปตั้งแต่สองขวบ จนกระทั้งคุณสุภาพบุรุษมนุษย์เสือพาตัวมาส่งคืนให้นี่แหละ”
“โถ่ลูกรัก~ พวกเรารู้สึกผิดไปแล้ว ยังไงได้โปรดให้อภัยพ่อแม่ผู้โง่เขลา แล้วมอบโอกาสให้พวกเราอีกสักครั้งเถอะนะ”
มอบโอกาส?
ถูกพามาคืนที่บ้าน?
ฉันมองผู้ทรยศทั้งสองคนที่กำลังแสดงสีหน้าสำนึกผิด
ถึงแม้ใจหนึ่งจะยังสับสน แต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกเปรมปรีด์
“พวกเรารักลูกนะ”
สองมือโอบกอดข้างตัวซ้ายและขวา
สี่มือจากสองคนเข้าคว้าลูบหัวและร่างกาย
อบ— อุ่น…
ช่างอบอุ่น
แม้นว่าอากาศจะหนาวจนร่างกายเย็นเฉียบ แต่ทว่าหัวใจของฉันกลับรู้สึกอบอุ่นใจ
ถึงจะเคยแค้นเคืองที่ทิ้งไปนานนับแปดปี แต่จิตใจกลับโหยหามือคู่นี้ที่ทอดทิ้งเราไป
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ลูกรักของพวกเรา”
น้ำตา— ได้ไหลรินออกมาครั้งหนึ่ง
***
“คุณพ่อค่ะ~ คุณแม่ค่ะ~”
ฉันพยายามที่จะโอ๋ ออดอ้อน ดื่มด่ำความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับมาตั้งแต่เกิดให้เต็มที่
“โอ๋~ เห็นผมเป็นตัวแทนพ่อแม่แบบนี้ แม้นชีวิตจักตาย ผมก็ไม่เสียใจแล้ว”
ว่าแต่ทำไมเสียงของคุณพ่อถึงอยู่ ๆ ฟังดูหื่น ๆ เหมือนเสียงของลุงแก่ ๆ กันเนี่ย?
” แม่ค่า~”
” อูววว!! เอาหัวมาซุกแบบนี้!?! หนูจะทำตัวน่ารักแบบนี้ไม่ได้นะ!! ”
ทำไมแขนของแม่มันเล็กกว่าที่คิดกันเนี่ย?
” อ๊าาาา!!! จะทนไม่ไหวแล้ว!! แบบนี้ต้องขอจับนัวเนียซักรอบเป็นค่ารักษาบาดแผล! ”
“หยุดเลยเจ้าบ้าแมรี่โกลว์ นี่พวกเรายังอยู่บนยาน ที่กำลังวิ่งไปในเมืองอยู่นะ”
แมรี่โกลว์….?
ใครอ๊ะ?
ฉันลองลืมตามองคนที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
คนที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่พ่อกับแม่ของฉัน
แต่เป็น—
” อ๊ะ ฟื้นแล้ว? ”
—เป็นยัยภูติหัวแดงที่เคยพยายามจะปล้ำฉันเมื่อตอนนั้น
” กรี๊ดดดดดดดด!?! ”
***
” ฮะ ฮะ ฮะ ไม่มีอะไรค่ะ แค่เด็กมันหยอกเล่นนะคะ ขอโทษที่รบกวนทุกคนค่ะ”
พี่สาวมนุษย์นกที่มีผมสีเหลือง กำลังก้มหัวขอโทษทุกคนบนยานเหาะที่กำลังบินลัดผ่านเหนือป่าแม่เหล็กดำสู่เมืองที่ใกล้ที่สุด
” ห้ามพี่สาวหัวแดงเข้ามาใกล้นะ! ”
[เออ.. ทำไมต้องมาเกาะที่ตัวฉันด้วยค่ะเนี่ย? O_o?]
” เพราะฉันรู้สึกได้ค่ะ ว่าพี่สาวผมฟ้าคือที่ปลอดภัย!! ”
” โถ… น่าอิจฉาลาพิสง่า…”
ส่วนฉันนั้น กำลังเกาะคุณพี่สาวมนุษย์สัตว์หัวฟ้าจนแน่นไม่ยอมปล่อยมือ
เพราะถ้าปล่อยมือ คงได้โดนพี่สาวภูติหัวแดงพุ่งเข้ามาลวนลามอีกครั้งแน่ ๆ
“ทั้งที่ผมเป็นคนรักษาแผล และช่วยชีวิตเธอออกมากับมือเองแท้ ๆ …”
ดูเหมือนว่าพี่สาวกลุ่มนี้จะเป็นคนที่ช่วยชีวิตของฉันเอาไว้ค่ะ
เห็นพวกพี่บอกว่าฉันโชคดีมากที่ได้ประตูช่วยขวางแรงระเบิดเอาไว้ เลยทำให้รอดตายมาได้อย่างปฏิหาริย์
อีกส่วนหนึ่งที่รอดมาได้ ต้องขอบคุณพี่สาวหัวแดงคนนี้ ที่ใช้เวทมนตร์วิทยาศาสตร์ได้อย่างเก่งกาจ
คนที่รักษาแผลเจียนตายใกล้ลงโลงให้ฉัน ก็คือคุณพี่ภูติหัวแดงคนนี้เองค่ะ
ปกติการใช้เวทมนตร์รักษาแผล มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำมัน ถ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
เพราะมันต้องพึ่งความรู้ทางชีววิทยามาช่วยในการรักษาผ่าตัดด้วยพลังเวทมนตร์
เห็นพี่สาวหัวแดงโม้ว่าระดับเธอนั้น สามารถรักษาคนมีแผลไฟไหม้ครึ่งตัวให้หายขาดได้ภายในครึ่งชั่วโมงเท่านั้นค่ะ
ถึงจะเป็นผู้ช่วยชีวิต แต่ใช่ว่าจะยอมให้ลวนลามได้เสียหน่อย
“ขอเสพโลลิซักโดสทีจิ~”
“เหวอ!?! ไม่ค่ะ! ฉันไม่ใช่ยานะคะ!? เพราะงั้น กรุณาถอยไปให้ห่าง ๆ ด้วยค่ะ! ”
พี่สาวหัวแดงคนนี้มันอะไรกันเนี่ย…
ว่าแล้วฉันก็กอดคุณพี่สาวหัวฟ้าให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม
อนึ่ง หน้าอกหน้าใจของคุณพี่สาวหัวฟ้านั้นใหญ่มาก เลยให้ความรู้สึกถึงความอบอุ่นและปลอดภัยเอาเสียมาก ๆ
เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นแม่สูงโดยธรรมชาติก็ว่าได้
“อึ๊ก!?! ถูกโลลิปฏิเสธมันช่างทรมานจิตใจยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็นเสียอีก!! ”
พี่สาวหัวแดงถึงทรุดตัวนั่งลงบนรถในท่านักมวยพ่ายศึกไปเลยแฮะ
พี่สาวหัวแดงเป็นคนตลกละ~
“…”
ความวุ่นวายที่พวกเราก่อขึ้นดูท่าจะสงบลงไปแล้ว
มาคิด ๆ ดู ไอความฝันเมื่อกี้ที่ได้กลับไปที่บ้าน มันช่าง—
หยาดน้ำตาเล็ก ๆ เริ่มทำท่าจะก่อตัวขึ้นมาตรงเป้าตาทั้งสองข้างอีกรอบ
ฉันเลยเอามือปาดหน้าตัวเอง แล้วตบแก้มเพื่อเรียกสติ
นี่ก็ผ่านไปตั้ง 8 ปี ที่ถูกทิ้ง ยังจะมาวิงวอนคิดถึงอะไรอีก?
พ่อแม่แบบนั้นนะ ฉันไม่สนใจที่จะกลับไปหาเพื่อให้ได้รับการยอมรับหรอกนะ
ตอนนี้ที่สำคัญกว่า คือการกลับไปหาผู้มีพระคุณกับพวกพี่ ๆ ในองค์กรต่างหาก!
ป่านนี้ พวกเขาคงกำลังเป็นห่วงฉันอยู่อย่างแน่นอน—
“…!!! ”
ในตอนนั้นเองที่ฉันเหลือบไปสบตาของพี่สาวไก่ขนเหลือง
พี่เขากำลังมองมาทางฉันด้วยแววตาที่กำลังสงสัยบางอย่าง
เป็นแววตาที่ราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปถึงข้างในจิตใจของอีกฝ่ายให้ได้
ยะ— อย่าไปสบตาคน ๆ นี้เชียว!
ฉันรู้สึกได้เลยว่าพี่สาวไก่เหลืองคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา!
***
วันที่ 6 เรตนิว เวลา 15:00 น.
” ถึงเมืองแล้ว”
ยานเหาะลำโตกำลังจอดตัวลงบนลานกว้างที่ดูคล้ายกับท่าเทียบยานอวกาศ
มันเป็นท่าเทียบยานที่ดูคล้ายกับเสาลิฟท์ ที่สร้างอย่างหยาบมาปะติดต่อซ้อนขึ้นไปหลายชั้นโดยไม่สนใจในความสวยงาม แล้วกลายเป็นหอคอยสูงชะลูดฟ้าที่เต็มไปด้วยยานเหาะลอยจอดเทียบท่าอย่างไร้ระเบียบ
ยานเหาะจำนวนมากถึงหนึ่งร้อยลำที่อพยพมาจากยานพาณิชย์ ต่างกำลังทยอยจอดเพื่อลำเลียงผู้โดยสารลง
ภายในที่ท่าเทียบยาน ที่เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่เผ่ามนุษย์สัตว์ กับเผ่ามนุษย์มด
*กึง*
เสียงเชื่อมสะพานกับตัวยานเหาะได้ดังขึ้น
ฉันเดินลงผ่านสะพานผิวโปรงแสงพร้อมกับพวกพี่สาว
พอมองหันหลังกลับไปดู จึงพึ่งเห็นว่าตัวยานอพยพที่โดยสารมานั้น มันมีลักษณะอ้วนกลมปุกปุยคล้ายน้องปลาทองตัวอ้วนเลย~
“นี่… น้องนางฟ้า… ขอแค่ลูบหัวสักครั้งเป็นการลาจากไม่ได้เหยอ? ”
“ไม่ได้ค่ะ! ”
“แง”
คุณพี่สาวหัวแดงนี่ละก็…
ทั้งที่กำลังมีความสุขกับความน่ารักของยานทรงปลาทอง มาทำเสียบรรยากาศเสียหมด
“งั้นฉันขอตัวลาตรงนี้ก่อน ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือค่ะ”
[ลาก่อนค่ะ ^_^//]
“ลาก่อน และไม่ต้องห่วงเรื่องของตัวเธอ พวกเราไม่พูดอะไรมากหรอก ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายด้วย”
“แง! ”
พี่สาวทั้งสามคนมีท่าทีตอบรับกลับมาแตกต่างกันออกไป
ถึงจะสงสัยกับคำพูดแปลก ๆ ของพี่ไก่เหลืองอยู่บ้าง แต่ก็ช่างมันไปเถอะ~
“เดียวเรียนเชิญผู้โดยสารทุกคนไปลงทะเบียนที่โต๊ะที่ทางเราจัดเตรียมให้เลยค่ะ”
เสียงเจ้าหน้าที่ท่าเทียบยานดังขึ้น
ในตอนนั้นเองที่ฉันพึ่งจะรู้สึกตัวขึ้นมา
ฉัน– ไม่มีบัตรรับรองชาวต่างดาวที่มาอาศัยอยู่ในฐานนะประชาชนของดาวดวงนี้…
เอาจริงคือแม้แต่บัตรรับรองในฐานะประชาชนของคนแคระเองยังไม่มีเลย
เพราะพ่อกับแม่ไม่ยอมรับในตัวฉัน เลยไม่เคยแม้แต่คิดที่จะมอบชื่อ หรือลงทะเบียนในฐานะบุตรสาวให้
“ยะ— แย่ละสิ”
อย่าว่าแต่จะกลับไปที่องค์กร
เอาแค่หาทางผ่านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตรงหน้าให้ได้ก่อน ฉันยังไม่มีปัญญาจะทำได้เลยค่ะ
“เชิญคิวถัดไปค่ะ”
ระหว่างที่คิดเรื่อยเปื่อย คิวแถวก็เริ่มสั้นลงมากขึ้น
จะทำงานไวกันไปหน่อยไหมค่ะคุณพี่มนุษย์มด พี่มนุษสัตว์!?
ทำงานช้า ๆ ก็ได้ค่ะ!
แย่แล้ว แย่แล้ว แย่แล้ว!!
ในตอนนั้นเองที่ฉันเหลือบไปเห็นกลุ่มของพวกพี่สาวหัวแดงอีกครั้ง
“พี่ค่ะ ได้โปรด ช่วยฉันผ่านด่านเข้าไปข้างในเมืองให้ด้วยค่ะ!! ”
ไม่รู้ว่ามีปีศาจตัวไหนมาดลใจ
แต่พอรู้ตัวอีกที ฉันก็พูดออกไปแบบนั้นเสียแล้ว
MANGA DISCUSSION