***วันที่ 55 เอนมูว์ทัวร์ ปีที่ 125 ทวีป ออโรร่า ดาว ไดม่อน***
ฤดูใบไม้ร่วงที่แสนเศร้า และพระจันทร์ที่ส่องแสงสีแดงอมชมพู
ณ วงเวียนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยรถยานเหาะวิ่งขับเคี่ยวอย่างวุ่นวาย
ที่ใจกลางวงเวียนแห่งนั้น มีภูติผิวสีน้ำตาลไหม้คนหนึ่ง กำลังสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นสีแดงท้าลมหนาว บินลอยอยู่เหนือต้นสนขนาดใหญ่อย่างกล้าหาญชาญชัย
เธอเป็นภูติที่มีเส้นผมสีแดงฉาน หงิกงอคล้ายเป็นเส้นสายฟ้าฟาด รวบผมที่ยาวเกินความจำเป็น เป็นหางม้ายาวจรดขาเอาไว้ใจกลางหลัง
ดวงตาซ้ายถูกปิดด้วยผ้าปิดตาโจรสลัดสีดำ เผยเพียงแค่ดวงตาขวาที่สุกประกายแสงดั่งเป็นแร่ควอตซ์
ปีกภูติของเธอ ได้ถูกย้อมจนเป็นสีแดงอย่างโดดเด่น ดึงดูดสายตาของผู้ที่พบเห็น
เธอบินเหนือยอดต้นสน รอจนกระทั้งสายตาทุกคู่ที่ลานกว้างแห่งนี้จับจ้องมาทางเธอ
เธอรอจนกระทั้งถึงกาลแก่สมควร แล้วเริ่มเผยริมฝีปากอมชมพู กล่าวเป็นคำพูดอันดังว่า
“เจ้านะ ได้ตายไปแล้ว”
คำพูดสุดแสนคลาสสิคจากการ์ตูนดังยุค 80 ของชาวโลก ได้ดังขึ้น
ยามเมื่อรู้ตัวอีก เหล่าผู้เฝ้ามองก็ระเบิดดาวดิ้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไป—
“บะตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม! ~”
— ซึ่งภาพของฝูงชนที่ถูกระเบิดเป็นชิ้น ๆ นั้น เป็นเพียงแค่ภาพในจินตนาการของเธอเท่านั้น
มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง…
“แม่ค่ะ มีเผ่าภูติสวมแค่ผ้าคาดหน้าอกบินอยู่บนยอดต้นไม้ตรงนั้นคนหนึ่งด้วยละ~”
“อย่าไปมองนะลูก เดียวติดเชื้อบ้ากันพอดี! ”
เหล่าผู้คนหลากเผ่าพันธุ์ที่เดินผ่านแยกใจกลางวงแหวน ต่างรีบเดินหนีออกห่าง ไปพร้อมกับยกกล้องมือถือขึ้นมาอัดภาพเก็บบันทึกเอาไว้
ราวกับว่าเธอปราถนาให้เป็นจุดสนใจ
ทันทีที่มองเห็นคนจำนวนมากยกกล้องขึ้นมาอัดรูปภาพ เธอก็กางมือสองข้างออกพร้อมกับปีกภูติ
ใช้พลังภูติควบคุมอนูธาตุในอากาศ ก่อประกายแสง สร้างม่านออโรร่าซ้อนออโรร่า บังเกิดเป็นการแสดงวาดภาพศิลปะอันวิจิตรยามราตรีเหนือฟากฟ้า
“จงเบิ่งตาดู! โลกอันโสมมที่เต็มไปด้วยวิญญาณชั่วร้าย ผมผู้นี้จักกวาดความชั่วร้ายนั้นให้หมดไปสิ้น! สตรีเผ่าภูติผู้มีปีกสีแดง เทพไร้ขาผู้กลับมาจุติลงบนพื้นโลกเพื่อตามหาเหล่าวิญญาณร้ายกลับสู่ขุมนรก! สตรีสีชาดเพียงหนึ่งผู้แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของเผ่าภูติ! แมรี่—”
“เผ่าภูติตรงนั้นลงมาเดียวนี้ มิฉะนั้นจะถูกจับในข้อหาก่อความวุ่นวายในที่สาธารณะ! ”
***หลังจากนั้น 10 นาที***
ณ อาคารหนึ่งชั้นที่ถูกสร้างด้วยผ้าเปลือกแข็งขึงทับโครงเหล็กกล้า
“ชื่อ [แมรี่โกลด์ ซินเนียร์] เผ่าภูติอายุ 20 ปี สูง 100 ซม. ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ทวีปคริสตัล เป็นคนจากวิหาร [เทพทั้งสาม] ที่มาทำธุระทางศาสนาให้กับนักบวชเทเรซ่า พร้อมกับเพื่อนอีกสองคน ข้อมูลที่บันทึกเอาไว้นี้ถูกต้องใช่ไหมครับ? ”
“เพื่อทำลายเหล่าวิญญาณร้ายที่หนีมาจากขุมนรก ทั้งในรูปแบบเกิดใหม่ และในรูปแบบร่างอวาตาร์ พวกเราจึงถูกส่งมาเกิดใหม่ในฐานะเด็กเลี้ยงของวิหาร สถานะของผมกับพวกเจ้ามันช่างต่างกันเสมือนหนึ่งแมลงที่คืบคลานต่อหน้าพระเจ้า เป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ บังอาจกล้าหาญมาทำเป็นสอบสวนผม ผู้ที่เป็นเทพเจ้าคุมหนึ่งในแดนนรกเช่นนั้นหรือ? ”
ตำรวจเพศชายและเพศหญิงเผ่ามนุษย์จำนวนไม่ต่ำกว่า 10 คน ต่างกำลังสอบสวนสตรีเผ่าภูติที่มีผมสีแดงอยู่คนหนึ่ง
“ผมเข้าใจแล้วว่าคุณแมรี่โกลด์ ซินเนียร์ มาทำธุระให้กับทางวิหาร ว่าแต่ไม่ทราบว่าทำไมถึงต้องบินขึ้นไปลอยอยู่ยอดเหนือต้นสนแบบนั้นด้วยครับ? แถมยังใส่เสื้อที่มีแค่สายคาดหน้าอกกับผ้าคลุมสั้น ๆ ผืนเดียวอีก? นี่มันจะย่างเข้าฤดูหนาวแล้ว เดียวก็ได้ตายกันพอดีนะครับ? หรือว่าการกระทำแบบนี้เป็นพิธีบางอย่างของทางวิหาร—”
“พวกเจ้าจงดีใจเสียเถิด ที่เทพเจ้าผู้สร้างโลกอย่างผมผู้นี้ถึงกับยอมเสียเวลาอันมีค่าลงมาจุติ เพื่อแก้ไขความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จงสำนึกในบุญคุณแล้วก้มกราบต่อหน้าเดียวนี้ซะ! ”
“…”
แต่ดูเหมือนว่าการสอบสวนจะไม่ค่อยดำเนินไปได้อย่างราบรื่นเท่าไหรนัก
“สอบสอนไม่ไหวแล้วว้อย! มาทำอะไร? ที่ไหน? ไม่ยอมตอบคำถามมาเลยสักข้อ! เดียวก็จับยัดข้อหาขัดขืนการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้เสียหรอก! ”
“ก็ตอบอยู่นี่ไง ว่ามาเพื่อตามจับวิญญาณร้ายกลับสู่ขุมนรกนะ! ”
“ศาสนา [เทพทั้งสาม] เป็นศาสนาที่ว่าด้วยไม่เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าและวิญญาณ! มันจะไปมีพิธีกรรมตามจับวิญญาณได้ยังไง!? อย่ามาหลอกเสียให้ยากเจ้าหนู! ”
“เจ้าหนู? แกต่างหากละที่เป็นเจ้าหนู ถึงจะเห็นตัวเล็กน่ารักน่าลักพาตัว แต่ว่าผมคนนี้มีอายุ 1,999 ปี แล้วนะเออ~”
“เพี้ยน! ยัยนี่มันเพี้ยนแบบกู่ไม่กลับแล้ว! หรือว่าจะผมควรเรียกรถพยายาบาลมารับตัวไปแทนดีเนี่ย!? ทำไมงานแรกของผมถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยฟระ!? ”
นายตำรวจหนุ่มเผ่ามนุษย์เริ่มกรีดร้องเหมือนหมูที่กำลังจะถูกเชือด
เผ่าภูตินั้นว่ากันว่าขึ้นชื่อเรื่องของการปั่นประสาทชาวบ้าน เป็นอันดับต้นจากเผ่าพันธุ์ที่มีทั้งหมด
แล้วนายตำรวจหนุ่มที่ดูน่าจะมีอายุอานามเพียง 18 ปี คนนี้ กลับต้องมาเจอตัวปัญหาที่ว่า ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานของเขา…
“พวกเราต้องออกเวรแล้ว ฝากนายจัดการทีนะ [ออน-เอ็ซท์] ”
“ใช่ ๆ ฝากจัดการแม่สาวน้อยคนนี้แทนพวกเราทีนะ”
“เดียวก่อน!? อย่าทิ้งกันแบบนี้สิฟะพวกแก! เดียวก่อน อย่าพึ่งป้ายยยยยยยยยยยย!?! ”
รวมไปถึงถูกสหายทิ้งให้เจอปัญหาเพียงคนเดียวอีกด้วย
มนุษย์หนุ่มผมสีน้ำตาลมองเหล่าสหายในชุดเครื่องแบบเดินออกจากอาคารไปทีละคนสองคน
ดวงตาสีน้ำตาลของเขาช่างดูเศร้าสร้อย เฉกลูกสุนัขที่ถูกเจ้าของบรรจุใส่ลัง แล้วนำไปวางในที่เปลี่ยว
“ตายห่าน”
เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งกุมหัวตัวเองแล้วบ่นคำหยาบคายออกมา
หิมะโปรยปรายผ่านนอกม่านผ้าขาว
เสียงดนตรีจากร้านค้าดังเบาคล้อยอารมณ์เศร้า รับฤดูหนาวที่ดูเงียบเหงาชวนให้หลับผ่อนคลาย
เป็นเวลากว่า 5 นาที ที่สถานที่แห่งนี้กลายเป็นพื้นที่เงียบสงัดไร้ผู้คนเคลื่อนไหว
“…ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นผมขอตัวก่อน พอดีมีนัดกับเพื่อนเอาไว้ที่ร้านเหล้า ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ เดียวจะไปสายเอาได้นะ”
ในที่สุดความสงบชวนอึดอันก็ถูกทำลาย
ภูติผมแดงยกมือขวาขยับสายคาดตาข้างซ้าย แล้วกางปีก สร้างสนามแม่เหล็กเพื่อเตรียมลอยตัวบินออกไปแทนการเดินด้วยขา
“… เดียว ผมขอตามไปด้วยคน”
“คิดจะตามจีบผมอย่างงั้นเรอะ? ผู้ชายลามก โลลิค่อน~❤”
“ไม่ใช่ว้อย! แค่ไม่อยากให้ออกไปเดินคนเดียวต่างหาก! ควรรู้ตัวด้วยว่าเผ่าภูติอย่างพวกเธอมีความสามารถที่จะระเบิดเมืองทิ้งได้ทั้งเมือง! ผมปล่อยให้คนบ้าแบบเธอออกไปเดินอย่างอิสระไม่ได้หรอกนะ! อีกอย่าง ถ้าเจอเพื่อนเธอ ผมจะได้จบเรื่องสืบสวนนี้ได้เสียที! คิดจะให้ผมส่งข้อความสอบสวนจูนิเบียวแบบนี้ให้เจ้านายหรือยังไง!? มีหวังผมถูกไล่ออกแน่! ”
ทั้งหมดเป็นเพราะเธอแท้ ๆ!
นายตำรวจหนุ่มบ่นอุบในใจ แล้วคว้าหมวกกับเสื้อคลุมกันหนาวมาสวมทับ
“เอาละ ไปกันได้แล้ว”
ด้วยเหตุนี้ ตำรวจหนุ่มผู้โชคร้ายจึงต้องจำใจออกเดินทาง ไปพร้อมกับภูติหัวแดงตัวแสบอย่างช่วยไม่ได้—
—ซึ่งร้านเหล้าที่ว่า ดันตั้งอยู่ข้างสถานีตำรวจสนามออกไปเพียงแค่หนึ่งช่วงตึกเท่านั้น
“ใกล้โคตร! ”
“ก็ใช่นะสิ แถมเพื่อนของผมเองก็มาถึงกันแล้วด้วย นั่งอยู่ในร้านตรงนั้นไง”
ภูติหัวแดงชี้ตรงไปภายในอาคารไม้ที่ติดกระจกผืนใหญ่
ภายในร้านที่พังเละเทะไม่มีชิ้นดีเสมือนกำลังเตรียมก่อสร้างร้านใหม่ มีโต๊ะอยู่เพียงหนึ่งที่ยังคงเปิดให้บริการใช้งาน
สตรีเผ่ามนุษย์สัตว์หนึ่งคนที่ไว้ผมสีฟ้ายาว
สตรีเผ่ามนุษย์นกหนึ่งคนที่มีขนเรียงตัวสีทองสวยงาม
รวมมีสองคน ที่นั่งดื่มกินอยู่ภายในร้านผุ ๆ พัง ๆ ร้านนี้
“นัดกันที่ร้านเหล้า [ออโรร่า] อย่างงั้นหรือ? รู้สึกจะมีคนแจ้งเข้ามาว่ามีคนตีกันเมื่อราวชั่วโมงที่ผ่านมานี้ด้วยนี่? ให้ตายเถอะ ร้านพังยับขนาดนี้ยังมีใจคอจะเปิดต่อได้อีกนะ แถมช่วงนี้ไม่รู้เป็นบ้าอะไร มีคดีก่อความวุ่นวายขึ้นภายในร้านเหล้าติดต่อกันแทบทุกคืนเลย”
นายตำรวจหนุ่มบ่นกับตัวเอง พร้อมกับปล่อยให้ภูติหัวแดงบินนำเข้าไปภายในร้าน
ภายในใจของเขา กำลังเต็มไปด้วยความสงสัยชวนสับสน
ถึงปากจะบอกว่าพามาส่ง และทำการสืบสวน แต่หัวใจกลับส่งเสียงกรีดร้องเตือน ว่าสตรีภูติตรงหน้ากำลังปกปิดความลับบางอย่างเอาไว้
เผ่าภูติ มักจะชอบพูดโดยมีคำลงท้ายประหลาดอันเป็นเอกลักษณ์ประจำเผ่า
แต่ภูติตนนี้กลับไม่ทำเช่นนั้น
เผ่าภูติ ถึงจะบินได้ แต่พวกเขาจะไม่บินตลอดเวลา เหมือนนกที่ต้องการเกาะบนกิ่งไม้เพื่อพักผ่อน
แต่ภูติตนนี้กลับบินตลอดเวลา โดยไม่ยอมให้ฝ่าเท้าของตนสัมผัสพื้น
เธอผู้นี้… ต้องมีความลับบางอย่างที่จงใจปกปิดตำรวจอย่างเขาเอาไว้เป็นแน่แท้
ออน-เอ็ซท์ คือนายตำรวจหน้าใหม่ไฟแรงอายุ 18 ปี ที่จะไม่ยอมให้มีความอยุติธรรมใด ๆ มาเกิดขึ้นตรงหน้าของเขา
เขาจะต้องฉีกหน้ากากที่สตรีผู้นี้กำลังสวมปิดบังใบหน้าที่แท้จริงเอาไว้ให้จงได้!
“ลาพิส, เอโซ มากันเร็วจัง~? ”
“แมรี่โกลด์! จะมาช้าไปแล้วนะยะ!? ไหนว่านัดกันตอน 40 นาฬิกาตรง แต่นี่กลับโผล่หน้ามาตอน 40:30 นาฬิกาเนี่ยนะ!? ”
“ขอโทษจ๊า~ ทั้งหมดเป็นความผิดของหมอนี่ที่รั้งตัวผมเอาไว้นะ”
“หมอนี่? ตำรวจคนนี้— ไปทำอะไรเธอมาอย่างงั้นหรือ? ”
สตรีที่เป็นเผ่ามนุษย์นกหันมาจ้องชายเผ่ามนุษย์ที่สวมชุดเครื่องแบบสีน้ำเงิน
“!!! ”
พริบตาที่สองตาสอดประสาน ชายคนนั้นก็รู้สึกหนาวจับไข้ไปทั่วกระดูกสันหลัง
ราวกับ— ถูกยมฑูตนำเคียวเฉือนเอาส่วนหนึ่งของวิญญาณออกไปจากร่างกาย
เขาแทบอยากจะวิ่งหนีไปจากที่นี่
แต่ด้วยภาระกับหน้าที่ ที่ค้ำคอ เขาจึงกล้ำกลืนน้ำลายลงคอ แล้วยอมเผชิญหน้ากับความรู้สึกตายทั้งเป็นที่กำลังโถมโจมตีจิตใจ
“เออ… กระผม— มีนามว่า [ออน-เอ็ซท์] เป็นเจ้าหน้าที่ฝึกหัด พอดีคุณแมรี่โกลด์ ไป—”
“พอ ไม่ต้องพูด เราพอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ช่วยปล่อย ๆ ยัยนี่ไปสักครั้งเถอะ ถึงยัยนี่จะเพี้ยน แต่ก็ไม่ได้บ้า พวกเรารับประกันให้ได้ ไม่ปล่อยให้ไประเบิดกลางเมืองเล่นหรอก”
สตรีสีทองพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ พร้อมกับส่งจดหมายประทับตรากาชาติฉบับหนึ่งให้เขา
“ส่วนนี่เป็นเอกสารรับรองการมาทำงานกับทางวิหารของพวกเรา”
พูดเช่นนั้น แล้วส่งจดหมายฉบับที่สอง ที่ลงตราประทับสามเหลี่ยมด้านเท่าสองชิ้นกลับหัวซ้อนทับกัน ประกอบเส้นวงกลมติดทับด้านบน
นายตำรวจหนุ่มเลิกคิ้วอย่างสงสัยแล้วเปิดมันออกมาดูทั้งสองฉบับ
ภายในจดหมายฉบับนั้น ได้ระบุถึงผลการตรวจทางจิตเวช และลงนามรับรองความปลอดภัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างที่เพื่อนของเธอกล่าวอ้างจริง
ส่วนอีกฉบับได้กล่าวถึงการทำพิธีต่าง ๆ ที่พวกเธอต้องมาติดต่อกับวิหารสาขาในทวีปออโรร่าแห่งนี้ในฐานะ [นักบวชฝึกหัด]
“ถ้าหายสงสัยแล้วก็รีบไสก้นออกไปซะ พอดีว่าพวกเราเป็นพวกเข้าสังคมไม่เก่ง มีคนแปลกหน้าอยู่ด้วยแล้วมันรู้สึกเครียด”
“ (…ทำไมถึงดูรีบร้อนไล่กันจริงนะ—) ”
มันต้องมีอะไรสักอย่าง…
ตำรวจหนุ่มไฟแรงคิดนั้นแล้วทำเป็นอ่านจดหมายอย่างช้า ๆ เพื่อประวิงเวลา
หยิบสมุดจดกระดาษขึ้นมา แล้วบันทึกด้วยหมึกเป็นลายลักษณ์ ทำสำนวนบนสถานที่ซึ่งไม่อำนวยอย่างไร้ความจำเป็น
ยืนมองดูสตรีภูติผมแดงที่นั่งลงบนโต๊ะพร้อมเพื่อนของเธออย่างเงียบ ๆ
ราวกับเป็นไอหนุ่มโรคจิตที่เอาแต่จ้องมองอิสตรีดวงตาเป็นมัน
“ตรูไม่ได้โรคจิต นี่มันก็เพื่องาน! ”
“พูดอะไรอยู่คนเดียวละนั่น? แล้วเมื่อไหรจะไปเสียที! มันรบกวนพวกเราอยู่นะ รู้ตัวไหม! ”
สตรีเผ่ามนุษย์นกแสดงท่าทีร้อนรนอย่างชัดเจน ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาโบราณที่แขวนประดับผนังด้วยท่าทางเป็นกังวล
เวลา 40:43 นาฬิกา
“ (มีอะไร ที่ไม่อยากให้เราเห็นในอนาคตอันใกล้นี้สินะ?) ”
เวลา 40:44 นาฬิกา
เวลา 40:45 นาฬิกา—
“ช่วยไม่ได้แฮะ”
เป็นเสียงภูติที่ดังขึ้น ณ เวลายามราตรี 40:45 นาฬิกา
นายตำรวจหนุ่มรีบล้วงมือเพื่อคว้าปืนโดยสัญชาตญาณ
แต่เขาช้าเกินไป
ภูติสีแดงกางปีกบินขึ้นเหนือพื้นที่โต๊ะ พร้อมกับใช้พลังภูติสร้างไอหมอกประหลาดออกมาปกคลุมพื้นที่ไปทั่วทั้งร้าน
“นี่มัน—”
พริบตาที่หมอกควันสัมผัสโพรงจมูก ความรู้สึกอันไม่น่าพิสมัยก็เริ่มเข้าจู่โจมจิตใจ
สมองฉับพลันพร่ามัว สติสิ้นเรืองลางจางหาย
ผู้คนที่อยู่ภายในร้านเหล้า ต่างเริ่มจมลึกสู่ความฝัน
“ (—ฮึ่ม! ก๊าสที่มีฤทธิ์ทำให้สลบและทำให้ความทรงจำสับสนอย่างงั้นหรือ? ไม่มีทางหรอก! นี่มันอาชญากรรมชัด ๆ!) ”
ถึงจะยังหนุ่ม แต่เขาผู้นี้คือชายที่ฝึกตัวเองเพื่อจะมาเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
เพียงแค่ได้สัมผัสกลิ่นควัน เขาก็สามารถทราบได้ทันทีว่ามันเป็นก๊าสประเภทใด
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าสตรีสามคนตรงหน้า ต้องการจะลงมือทำอะไรบางอย่างที่ขัดต่อหลักกฏหมาย ถึงได้ลงมือกระทำการอุกอาจเช่นนี้
เขารีบเปลี่ยนจากปืน เป็นมีดตำรวจออกมาจากซองข้างเอว แล้วแทงมันเข้าไปในหัวเข่าเพื่อเรียกคืนสติ
ความเจ็บปวดและฮอร์โมนที่หลั่งออกมาได้มีชัยเหนือความสับสนชวนให้หลับไหล
ดวงตาสีน้ำตาลทั้งสองถูกบังคับให้เบิกกว้างออก
แล้วเขาก็มองเห็น
มองเห็น… ภาพของโลกที่เขาไม่รู้จัก
***
ยามเมื่อรู้ตัว ผมก็ไม่ได้อยู่ภายในร้านเหล้า
โลกตรงหน้า คือโลกไร้ขอบเขตที่ไม่มีผนัง พื้น หรือแม้แต่เพดาน
เป็นโลกไร้สีสันที่ว่างเปล่า แต่กลับสามารถรู้สึกได้ถึงขอบเขตที่ว่างอย่างน่าประหลาด
ราวกับเป็นโลก— ที่อยู่ระหว่างแดนคนเป็นกับคนตาย
“มันหนีไปทางนั้นแล้ว [แมรี่โกลด์] ! ”
“รับทราบ! ”
ภายในโลกที่ว่างเปล่าแห่งนี้ มีสตรีสามคนกำลังต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด
เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนั้นมีลักษณะที่ดูคล้ายกับเป็นกลุ่มก้อนของควันไฟ
ควันไฟนั้นมันลอยออกมาจากจมูกของพนักงานร้านที่นอนสลบไม่ได้สติ
เป็นควันที่ดูเหมือนกับ—
“วิญญาณร้ายที่สิ่งสู่อยู่ในร่างกาย…”
นี่ผม… กำลังฝันอยู่ใช่ไหม?
ระหว่างที่กำลังคิดเช่นนั้น กลุ่มควันสีเทาที่รวมตัวก็เริ่มพุ่งโจมตีใส่ภูติสีแดง
มันขยายตัวออกแผ่กว้าง แยกออกเป็นสองส่วนจนดูคล้ายกับเป็นปากของอสูรกาย หมายจะเข้ากลืนกินเหยื่อที่อยู่ห่างออกไปอีกไม่ไกลบนท้องฟ้า
“กระจอกน่า”
เพียงพริบตาที่ภูติสีแดงขยับฝ่ามือ ก็มีโซ่สีขาวพุ่งออกมาจากที่ว่างอากาศเข้ารัดควันสีเทาเอาไว้จนแน่น
แสงสว่างสีน้ำเงิน เริ่มเรืองรองขึ้นรอบกายของภูติสีแดง
“ความมืด… ความมืดที่ดำลึกยิ่งกว่าความมืดแห่งราตรี”
“วิงวอนต่อเปลวไฟสีขาวบริสุทธิ์จากความมืด ณ ก้นหลุ่มลึก”
“ปราถนาต่อพลังชำระล้าง”
“จงกลับคืนสู่แผ่นดิน กลับคืนสู่แดนนรก”
“หวนคืนสู่ธุลีวิญญาณ”
“ [Noisolpxe-Etihw] !! ”
พริบตาที่ภูติตนนั้นร่ายอาคมเสร็จ ทุกสิ่งตรงหน้าก็สลายกลายเป็นแสงสีขาวไป
ว่าแต่ ปกติเวทมนตร์ของภูติ มันไม่จำเป็นต้องร่ายอาคมนี่?
—-
—
—
–
“ตื่น! เจ้าหน้าที่ [ออน-เอ็ซท์] ตื่นได้แล้ว! ”
“ระ— รุ่นพี่!?! กะ… เกิดอะไรขึ้น? แล้วควันละ!? แสงสว่างเมื่อกี้–”
“นี่แกหลับฝันละเมอหรือยังไงวะ? แอบโดดงานมาดื่มเหล้าจนหลับคาร้านในวันแรกที่เข้าทำงาน ช่างกล้ามากเลยนะ! ”
“หลับ? ”
“ก็เออสิ! แหกตาดูสภาพตัวเองตอนนี้ก่อนเถอะ! ”
ผมแหงนหน้ามองดูสภาพร่างกายตัวเอง
ข้างนอกไม่ใช่ราตรี แต่เป็นยามเช้าที่มีเสียงนกขับขานไพเราะเสนาะหู
ร้านค้าต่างกำลังเริ่มเตรียมเปิดร้านรับยามเช้า
ส่วนร้านเหล้าต่างเริ่มเตรียมทำความสะอาด เก็บข้าวของเพื่อเตรียมรับคืนใหม่ที่กำลังจะมาถึง
ส่วนตัวผม… อยู่ในสภาพที่หลับคาโต๊ะไม้บนกองอาหารจำนวนมาก
อยู่ในสภาพที่ไม่ว่าใครมาเห็น ก็คงเข้าใจได้ว่าดื่มอย่างหนักจนเมามายหลับคาโต๊ะไป—
“ให้ตายเถอะ ดีนะที่เป็นพวกเรามาเจอแกก่อน ถ้าเป็นหัวหน้ามาเจอ แกคงถูกไล่ออกไปแล้ว ความจริงพวกเราเองก็ผิด ที่ทิ้งให้หน้าใหม่อย่างแกอยู่กับภูติเสียสติเมื่อวานนี้คนเดียว คงเครียดมากเลยสินะ เออ… ยังไงในฐานะรุ่นพี่ ก็ต้องขอโทษด้วยแล้วกัน”
“หืม…? แอ๊ะ…? ”
ภูติ…
ที่ตรงนี้มีภูติ—
*ปึ๊ด*
เจ็บหัว…
หรือว่าควันที่เห็นเมื่อคืนจะเป็นความฝัน…
บางที… เราคงเครียดจัด เลยออกมาหาอะไรดื่มอย่างที่รุ่นพี่พูดมากกว่า
ทำไมงานแรกของเราต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย
เอาเป็นว่าลืม ๆ มันไปซะ แล้วขอพรว่าอย่าได้เจอกับภูติตัวแสบอีกเลยเป็นอันขาด—
“เออ แล้วก็อย่าลืมคืนค่าเหล้าด้วย พอดีต้องออกให้ไปก่อน ทั้งหมดอยู่ที่ 40,000 ยูนิต กินไปกี่ขวดกันวะแกเนี่ย? ”
“…”
ถ้าจำไม่ผิด เหมือนว่าในความฝันยัยภูติตัวนั้นจะนั่งกินข้าวกับเพื่อน ๆ ของมันอยู่นะ
แล้วอาหารบนโต๊ะของเราตอนนี้— ก็เหมือนกับอาหารที่อยู่ในความฝันเปี๊ยบเลยนี่หว่า?
นี่มัน…หรือว่าจะไม่ใช่ความฝัน?
ยัยเปี๊ยกหัวแดง แก… กินแล้วหนีนี่หว่า!?
***ย้อนกลับไปในอดีตที่ไกลแสนไกล***
ในอดีตอันนานแสนนานนับหลายพันปี…
เคยมีเผ่าภูติผู้หนึ่งเกิดมาอย่างน่าเวทนา
ไม่อาจที่จะใช้ขาของตัวเองได้
เสมือนหนึ่งไม่มีขาอยู่จริง
ต้องทนใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน
เธอ จึงฝึกควบคุมการใช้พลังภูติ
ฝึกบินด้วยพลังเวทมนตร์แทนการเดิน
ไม่ว่าจะนอน
ไม่ว่านั่ง
ไม่ว่าทำอิริยาบทใด
เธอก็จะใช้เวทมนตร์ตลอดเวลา
ฝึกจนเก่งกล้าสามารถยิ่งกว่าใคร
ฝึก— จนกลายเป็นผู้ใช้เวทมนตร์วิทยาศาสตร์ ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคช่วงเวลานั้น
เก่งกล้า จนดวงจิตกลายเป็นเทพเจ้า
ดวงจิตนั้น ได้เวียนว่ายดับสูญ จากชีวิตเทพ กลับคืนสู่สิ่งมีชีวิตในอีกคร่า
[แมรี่โกลด์ ซินเนียร์]
นั่นคือชื่อของเธอเมื่อครั้งยังมีชีวิต
MANGA DISCUSSION