“เรื่องราวและบันทึกของเอซจบลงแต่เพียงเท่านี้ครับนายท่านทั้งสาม”
เพราะขี้เกียจอ่านเอง เราเลยให้เจ้าตำรวจหน้าอ่อนอ่านเฉพาะเนื้อหาสำคัญให้พวกเราฟัง
สรุปย่อเนื้อหาที่ดูน่าจะสามารถทำเป็นนิยายร้อยกว่าตอนได้ภายในสามตอนจบได้—
เก่งมากเลยเจ้าหนุ่ม!
“โอเค ถ้าอย่างงั้นก็รู้วิธีปราบศัตรูของพวกเราแล้ว คนฉลาดอย่างนายก็น่าจะรู้สึกตัวแล้วเหมือนกันใช่ไหมละเจ้าหนุ่มน้อย”
“หนะ— หนุ่มน้อย? เออ… ช่างเถอะ— ก็… ใช่อยู่ครับ พ่ออ่านจบ ผมก็พอจะรู้แล้วละว่าตัวจริงของศัตรูคืออะไร และจะหาทางเอาชนะยังไงครับ”
ทั้งเรากับหนุ่มตำรวจต่างกำลังคิดเหมือนกัน
ศัตรูคือวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นอย่างผิดธรรมชาติด้วยเครื่องจักรทางเทคโนโลยี
มันคือคำตอบที่ว่าทำไมทั้งที่พวกเราพยายามทำลายเส้นใยวิญญาณของพวกมัน พวกมันยังกลับสามารถมาคืนชีพได้อยู่อีก
ทั้งหมดเป็นเพราะเครื่องจักรที่วีรบุรุษเอซสร้าง แล้วซ่อนมันเอาไว้ที่ใต้คฤหาสน์หลังนี้
ที่เราต้องทำ มีเพียงแค่หาทางปิดการทำงานของเครื่องจักรที่ว่านั้นก็พอแล้ว
“ว่าแต่วิญญาณก็ดี วีรบุรุษเอซก็ดี… แต่ละอย่างที่ถูกเขียนลงในบันทึกเล่มนี้ ผมแทบไม่อยากจะเชื่อมันเลยครับว่าเป็นเรื่องจริง”
นายตำรวจหนุ่มกำลังพูดด้วยสีหน้าที่สับสน
ไม่แปลกหรอก
จากที่ได้ยินมาจากปากของเทพไร้ขา ดูเหมือนว่าเจ้าหนุ่มน้อยเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องวิญญาณกับเทพเจ้าเลย
มิหน่ำซ้ำ สิ่งที่เขียนลงในไดอารี่มันก็ผิดกับประวัติศาสตร์ของเผ่ามนุษย์ที่เผยแพร่ออกไป
วีรบุรุษที่ซ่อนความลับอันดำมืดเอาไว้เบื้องหลัง เรื่องแบบนี้ เป็นใคร ใครก็คงจะเชื่อยากอยู่แล้ว
แต่นั่นมันเฉพาะกับมุมมองจากเผ่ามนุษย์
ข่าวฉาวของเผ่ามนุษย์ ถ้าเอาไปขายให้กับเผ่าอื่น มันจะได้ราคาขนาดไหนกันนะ ♫
แค่คิดก็สนุกแล้วสิ ♫♫~
ฮุ ฮุ ฮุ~♬。♫~♬ ♫♫~♬ ♫~♬
“เอาละ เดียวเราผู้นี้จะเก็บหนังสืออันตรายนั้นเองเจ้าหนุ่มน้อย”
เรายื่นปีกออกไปหมายรับหนังสือมูลค่าที่น่าจะมีหลายพันล้าน
*ฉึบ*
แต่เจ้ามนุษย์หนุ่มกลับมือไวยกมันขึ้น แล้วเอาไปซ่อนใต้ปกเสื้อสูทของตัวเองแทนซะงั้น
“…”
“…”
เจ้าหมอนี่มันยิมให้เรา แต่ใต้รอยยิ้มนั้นไม่ได้ยิ้มจริง
ชิ…
มันรู้ทัน
ฉันละเกลียดเด็กที่หัวไวจริงเชียว
“ช่วยไม่ได้ งั้นนายเป็นคนเก็บแทน เอ้า! ลาพิส! แมรี่โกลว์! ตื่นกันได้แล้ว! ”
เราหันกลับไปปลุกเจ้าสองหน่อที่หลับยาวไปตั้งแต่ตอนกลางเรื่อง
“หืม? ”
[งืม~ ตกลงพวกเราต้องทำอะไรต่อกันหรือค่า~ เงียม ๆ ~ =_=~]
พอเป็นเรื่องอะไรที่ต้องใช้สมอง ยัยพวกนี้ก็เป็นแบบนี้เสียทุกทีเลย…
แต่เอาเถอะ
“พวกเราจะไปปราบตัวการ เรามีแผนการ รับรอง งานนี้พวกเราชนะแน่! ”
เพราะถ้าเป็นเรื่องการต่อสู้ ยังไงสองคนนี้ก็เก่งกว่าเราหลายเท่าตัวเลยเชียวละ
***
ร้อน…
ข้ากำลังรู้สึกร้อนไปทั่วร่างกาย…
รอบกายของข้ากำลังเต็มไปด้วยความมืดดำ
นี่ข้าอยู่ที่ไหน?
ที่นี่คือที่ไหน?
ความทรงจำสุดท้ายของข้า คือภาพที่ข้ากำลังถูกผีอัศวินสวมเกราะสองตัวรุมทุบด้วยค้อนขนาดยักษ์
เลือดสีดำของข้าไหลหยดย้อยเป็นทางยาว
ข้า… ตายไปแล้วสินะ?
ที่นี่คงเป็นโลกแห่งความตายกระมั้ง?
ข้าคิดเช่นนั้นแล้วเริ่มเดินไปในความมืด
ทันทีที่ก้าวขาออก ทุกอย่างรอบตัวก็ฉับพลันสว่างไสว
ใต้เท้ามีพื้นหินตัดทรงสี่เหลี่ยมอย่างเป็นระเบียบปูเรียงวาง
ตรงหน้าคือเต็นท์หนังสัตว์ที่ถูกขึงจนตึง ปลูกวางเรียงรายเป็นแนวยาว
มีอาคารขนาดใหญ่ซึ่งสร้างจากหนังสัตว์กับกระดูดสัตว์สูงเทียมฟ้าในจุดที่ห่างออกไปใกล้เส้นขอบฟ้า
“ที่นี่มัน… บ้านเกิดของข้า? ”
อาคารที่สร้างจากวัสดุซึ่งดูดิบเถื่อน มันมีแค่เผ่ายักษ์อย่างเราเท่านั้นที่ทำ
ทว่าเมืองที่ควรเต็มไปด้วยเผ่ายักษ์ตะโกนเสียงดังวุ่นวาย กลับกำลังเงียบราวป่าช้า
ไม่มีมังกรบินผ่านเหนือท้องฟ้า ไม่มีสัตว์ลากจูงที่วิ่งบนถนน
ผู้คนที่เดินรอบกายล้วนต่างดูคล้ายดินโคลนที่ถูกปั้นขึ้นมา
ในเวลานั้นเองที่เหล่ายักษ์ผิวซีดหันมาจ้องมองข้า
ใบหน้าของพวกเขานั้นเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เป็นใบหน้าของสตรีเผ่ายักษ์ที่ชราภาพและมีผมสีม่วงยาว
ใบหน้าของคุณยายพรุน คุณแม่บุญธรรมที่รับข้าเข้ามาเลี้ยงดูเหมือนเป็นบุตร—
ใบหน้านั้นมองข้าด้วยแววตาที่ดูแคลนโศกเศร้า
ดวงตานั้นทำให้ข้าหยุดนิ่งไม่อาจพูดอะไรออกไปได้
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีต่อมา ใบหน้าของคุณยายก็เปลี่ยนไปกลายเป็นใบหน้าอันดำมืด
ผมสีม่วงจักหลุดร่วงหล่นลงพื้น แล้วงอกเงยขึ้นเป็นยักษาสีดำ
พวกมันแต่ละตัวมีขนาดความสูงไม่ต่ำกว่า 5 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นความสูงที่เกินมาตรฐานของเผ่าพวกเรา
พวกมันกำลังอ้าปาก
อ้าปากแล้วหัวเราะใส่ข้า
ถึงจะไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมาจากปากเน่า ๆ ของพวกมัน แต่ข้าก็รู้สึกได้ว่ากำลังถูกเยาะเย้ย
“หยุด…”
ข้าเค้นเสียงออกมาจากลำคอของตัวเอง
“พวกแก… หัวเราะใส่ข้าทำไม? ”
ข้าไม่รู้ว่าพวกมันคืออะไร แต่การกระทำของพวกมันทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิด
มันทำให้ข้านึกถึงเหตุการณ์ที่ข้าไม่อยากนึกถึงมัน
“อย่ามาหัวเราะใส่ข้า! ”
ข้าวิ่งเข้าไปประเคนหมัดใส่พวกมัน
ต่อยพวกมันจนแตกเป็นสารเหลวสีดำ
ข้าต่อย ต่อย และต่อยพวกมันเรียงตัว
ต่อยไปมากกว่าร้อยคน แต่พวกมันกลับยังไม่ยอมหยุดหัวเราะใส่ข้า
ตอนนั้นเองที่ภายในกลุ่มเงาสีดำ มีเงาของยักษ์ผมสีม่วงยืนอยู่ใจกลางวง
ยักษ์ที่มีผมสีม่วงหันมามองข้าด้วยดวงตาที่ผิดหวัง ก่อนจะสลายหายจากไปในความว่างเปล่า ปล่อยให้ยักษ์สีดำหันกลับมาหัวเราะใส่ข้าต่อ
ไม่ช่วยและไม่คิดปกป้องข้า
“ไม่…”
โดยที่ไม่อาจได้ทันรู้ตัว
“พอที…”
มันทำให้ข้านึกถึงอดีต
” หยุดหัวเราะใส่ข้า… อย่าทิ้งข้า… ยาย… ข้า… ข้าขอโทษ… ”
ภายในดวงตาของข้าเริ่มเต็มไปด้วยน้ำตา
น้ำตาแห่งความสึกนึกเสียใจ—
***
“หัวหน้าครับ—-!! ”
หูของข้าได้ยินเสียงตะโกนบางอย่าง
*กีสสสส!!! *
เสียงคำรามที่คุ้นเคยดังกระทบใบหูของข้า
สติของข้ากลับสู่โลกของความเป็นจริง
ดวงตาที่หนักอึ้งกำลังเริ่มเปิดเปลือกออกกว้างพร้อมกับสารเหลวที่เจิงนองไหลท่วมแก้ม
ความฝัน?
“หัวหน้าตื่นแล้ว! ”
“หัวหน้ายังไม่ตายละ! ”
ข้าได้ยินเสียงของบรรดาลูกน้องตะโกนดังเต็มสองรูหู จนแทบอยากเอานิ้วตัวเองอุดปิดกั้นเอาไว้
แต่มือของข้ากลับไม่อาจทำเช่นนั้นได้
เพราะว่าข้ากำลังถูกล่ามตรึงแขนเอาไว้กับเพดาน ด้วยโซ่โลหะผสมแบบพิเศษ
*กึ่ง! *
เสียงโซ่ลั่นกระทบติดกับบางสิ่ง ได้บอกให้ข้ารู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะออกแรงกระชากมันให้หลุดออกไป
ที่นี่มันคือที่ไหน?
ข้ากับลูกน้อง รวมไปถึงมังกรทั้งสี่ตัวของข้า ต่างกำลังถูกล่ามด้วยโซ่แบบพิเศษ ขึงตรึงเอาไว้อยู่ในห้องทรงกลม
ผนังของห้องถูกสร้างด้วยวัสดุที่ข้าไม่อาจเข้าใจได้
มันเป็นผนังเรียบไร้รอยต่อสีเทา ที่ดูแล้วชวนให้รู้สึกราวจะจมลงไปในแผ่นผนังนั้น
เพดานนั้นมืดสีดำสนิท มืดจนแม้แต่แสงสว่างยังต้องยอมถูกดูดกลืนเข้าไป
บนพื้นหินที่ถูกตรึง มีลวดลายอักขระที่พวกเอลฟ์ชอบใช้ถูกเขียนจารึกตราประทับเอาไว้
มันเป็นลวดลายที่มีสีแดงสดจนชวนให้นึกถึงเลือดของเผ่ามนุษย์
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตัวอักขระที่ถูกเขียนจารึกบนวงแหวนนี้ มันช่างชวนให้ข้ารู้สึกขนลุกและรู้สึกได้ถึงความตายในเวลาเดียวกัน
สถานการณ์แบบนี้มันคืออะไร?
“สวัสดีเหล่าสุภาพบุรุษยักษ์ทุกท่าน”
เสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากเพดานห้องที่ว่างเปล่า
มันเป็นเสียงที่แหลมนุ่มน่ารัก แต่กลับให้ความรู้สึกชวนหนาวไปถึงขั้วกระดูกในเวลาเดียวกัน
*กร…*
มังกรทั้งสี่ตัวที่ข้าเลี้ยงดูมากับมือต่างก้มหัวต่ำแนบพื้น
ดวงตาของมันแทบไร้แสงแห่งความดุร้าย เหลือเพียงแต่ดวงตาอ่อนแอของสัตว์ผู้ถูกล่าอันน่าสมเพช
“ดิฉันคือคนรับใช้เพียงหนึ่งเดียวของบ้านหลังนี้— ก็เคยแนะนำตัวแบบนั้นไปแล้วละนะ~”
เสียงลึกลับนั้นฟังดูมีความสุข
ข้าได้ยินเสียงเดินของเจ้าของเสียง
*แกร๊ก*
เสียงเปิดเครื่องจักรบางอย่างดังขึ้น
“ไม่มีความจำเป็นต้องพูดอะไรกับคนตายอีก เพราะฉะนั้นลาก่อนค่ะ~ จงกลายเป็นรากฐานความรู้เพื่อนายท่าน— เพื่อคนที่ฉันรักทีเถอะนะคะ”
ไม่มีเสียงพูดดังมาจากเพดานอีกต่อไป
เวลาเดียวกัน ลวดลายสีแดงบนพื้นจักส่องแสงสุกสว่าง
อักษรเลือดเริ่มส่องแสงสีฟ้า ก่อนจะกลายเป็นสีส้ม แล้วกลายเป็นสีแดงในวินาทีที่สี่
แสงนั้นได้ส่องสว่างไปทั่วห้อง สะท้อนเงาของข้ากับลูกน้องให้ทอดตัวเป็นร่างปรากฏวาดลงบนกำแพงสีขาว
ที่รอบขอบของเงาสีดำนั้น กำลังถูกหุ้มด้วยแสงสีแดงที่ทาทับเหมือนเอาสีวาดย้อมลงไป
*พรึบ*
แสงสว่างที่เจิดจ้าจากวงแหวนเวทบนพื้น เริ่มถูกบีบจนกลายเป็นเส้นตามลวดลายอักขระ
แสงที่ถูกบีบเป็นเส้นนั้น ได้ถูกฉายวาดลงบนขอบของเงาพวกเราที่กำลังสะท้อนลงบนกำแพงข้างหลัง
แสงสีแดงที่ตัดกับเงาบนกำแพง ช่างดูเหมือนภาพของตาข่ายเลือดที่กำลังกางหมายดักจับพวกเราเข้าไปขังพันธนาการ
ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้น
เพราะว่าข้ามันโง่
แต่ที่ข้ารู้อย่างหนึ่ง—
“ใครมันจะยอมตายแบบนี้กันวะ! ”
—คือมันต้องไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเราอย่างแน่นอน
ข้าใช้ส่วนปลายเท้าที่มีอิสระ ขยี้มันลงบนพื้นหินสุดแรงเพื่อทำลายอักษรวงแหวนเวทมนตร์
“ฮึม! ”
แต่ไม่ว่าจะออกแรงเท่าไหร มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะลบหรือทำลายมันไปได้
“หัวหน้าครับ! ”
พวกลูกน้องคงกำลังคิดว่าเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์
แต่ว่าการตายในสภาพที่ถูกจับมัดแบบนี้… ข้ายอมรับมันไม่ได้หรอก…
ข้าไม่อยากตายในสภาพงี่เง่าแบบนี้!
นี่ชีวิตของข้าจะมาตายในที่แบบนี้จริง ๆ นะหรือ?
ตายในสภาพที่เหมือนหมูถูกจับเชือดแบบนี้!?
“ฮึม!!! ”
ข้าพยายามขยี้พื้นด้วยแรงที่มากกว่าเดิม
แต่มันก็ยังไร้ผล
แถมแสงสว่างยังเริ่มส่องเข้มขึ้นจนสีแดงกลายเป็นสีดำน้ำตาลแดง
ห้องเริ่มสว่างขึ้น จนเพดานที่เคยเห็นว่าดำมืด เริ่มกลายเป็นรูปร่างที่เห็นชัด
มันไม่ใช่เพดานที่ว่างเปล่า
แต่เป็นเพดานที่เต็มไปด้วยรอยลุกไหม้รูปร่างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ถูกเผาจนติดฝั่งลึกเข้าไปในเนื้อเพดานหิน
“เหวอออ!?! ”
“พิธีบูชาซาตานหรือยังไงนั่น!?! ”
“นี่พวกเราต้องมีสภาพแบบนี้หรือเนี่ย!! ”
“ไม่เอา! ใครก็ได้ช่วยพวกเราที!!! หัวหน้า! ช่วยพวกเราด้วยครับ!!! ”
*กรรรร!?! *
เหล่าลูกน้องกับมังกรที่เห็นภาพชวนขนหัวลุกนั้นต่างกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากข้า
ดวงตาของพวกเขาแทบไม่ต่างไปจากเด็กทารกที่พึ่งตัวเองไม่ได้
“ฮึ่มมมม! พวกแกเองก็ดิ้นรนกันด้วยสิวะ! ดิ้นรนให้ถึงสุดลมหายใจสุดท้ายไปเลย! ”
“คะ— ครับ!! ”
*กรร!! *
ข้าพยายามปลุกไฟสู้ให้กับพวกมัน
แต่มันไร้ค่า
ข้าเริ่มรู้สึกว่าร่างกายทั้งตัวกำลังร้อนขึ้นมาจากภายใน
มันร้อนมาก รอนจนแทบร่างกายจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ได้—
“อึ๊ก…”
ข้าออกแรงทำลายพื้นจนขาทั้งสองข้างแตกละเอียด
ผิวเนื้อฉีกขาด กระดูกแทงทะลุออกมา แล้วหักลงจากการกระแทกลงไปในพื้นหิน
ทว่าต่อให้ต้องสละขาทั้งสองข้างไป สิ่งที่ข้าทำได้ กลับมีเพียงแค่การทาพื้นให้กลายเป็นสีดำด้วยเลือดของข้า
ข้าไม่อาจทำได้แม้แต่ให้มีรอยบุบสลายแม้แต่หนึ่งมิลลิเมตร
“…ยัง! ข้ายังไม่ยอมแพ้หรอก! ”
แต่ข้าไม่เหมือนในอดีตแล้ว
เพราะว่าตอนนี้ข้ามีลูกน้องที่เชื่อมั่นในตัวข้า
ข้าต้องตอบรับความปราถนาของพวกเขา!
อย่างน้อย ขอแค่หนีไปได้สักคนก็ยังดี!
ข้าเอากระดูกที่ทะลุออกมาจากปลายเท้า—
*เปรี๊ยง! *
—ใช้มันแทงกระแทกลงไปที่พื้นโดยไม่สนใจความเจ็บปวด
“หัวหน้าพอเถอะครับ! ”
“พอเถอะหัวหน้าาา!!! ”
*กรรรร!!! *
ข้าไม่สนใจคำทักท้วงของลูกน้องแล้วมุ่งหน้าทำลายพื้นต่อไป
ไม่สนใจกระดูกที่กำลังจะป่นเป็นผง แล้วมุ่งหน้าทำลายวงแหวนเวทมนตร์ต่อไป
แทง
แทง และแทง
แทงจนกระทั้งไม่เหลือกระดูกขาให้กระแทกพื้นได้อีก
สภาพของข้าเวลานี้ คือป่นขาตัวเองจนมีส่วนสูงลดลง และลอยขึ้นเหนือพื้นอันเนื่องจากแขนที่ถูกโซ่ตรึงเอาไว้กับเพดาน
ข้า… ไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว…
“ฮึก…”
น้ำตาไหลรินออกมาจากเป้าตาทั้งสอง
นี่ข้า…
ข้าช่างอ่อนแอ…
เหมือนที่เจ้าพวกนั้นในอดีตเคยบอกข้า
ข้าคือคนที่ออนแอที่สุดในเผ่ายักษ์…
คนอ่อนแอไม่สามารถปกป้องใครได้…
ไอไร้ค่า…
ข้ามันไร้ค่า..
ไร้ค่าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว…
ไม่สามารถปกป้องใครได้…
ปกป้องใครไม่ได้ เหมือนกับเมื่อตอนนั้น…
ไม่ได้สักคนเดียว…
ข้าหันไปมองเหล่าลูกน้อง กับมังกรสุดรักที่เลี้ยงดูตั้งแต่ออกจากไข่ทั้งสี่ตัว
ข้า…
ข้าแด่พระแม่เกียอา…
ข้านั้นไม่เคยเชื่อถือเทพองค์ใดหรือศาสนาใดอย่างจริงจัง
หากแต่ว่าท่านมีจริง
ข้าขอละ
ข้าขอ… ได้โปรด…
“ได้โปรด ช่วยชีวิตลูกน้องของข้ากับมังกรของข้า แลกกับชีวิตของข้าไปได้เลย! ”
*บรึ้ม!!! *
เกิดระเบิดรุนแรงขึ้นที่ผนังทรงกลมของห้อง
ควันจำนวนมากแผ่ปกคลุมไปทั่ว
ท่ามกลางควันนั้น มีเงาของสตรีผมสีเหลืองสะท้อนปรากฏอยู่หนึ่งคน
“รอนานไหมเจ้าพวกโง่ทั้งหลาย? ”
เทพเจ้าได้ตอบรับคำภาวนาของข้าแล้ว
MANGA DISCUSSION