“นับจากวันนี้ ภาครัฐจะไม่สนับสนุนทุนวิจัยในโครงการงานวิจัยเรื่องวิญญาณของเอซ และด้วยอำนาจของรัฐ ขอสั่งให้เอซยุติงานวิจัยลงแต่เพียงเท่านี้”
เสียงนั้นดังขึ้นมาภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ที่ล้อมไปด้วยเผ่ามนุษย์
“ทำไมครับ! ”
มนุษย์ผิวคล้ำที่ยืนอยู่ใจกลางห้องประชุมทรงกลม ส่งเสียงคัดค้าน แทบจะในทันทีที่ได้ยินคำสั่งอันไร้เหตุผลนั้น
“เพราะว่ามันอันตรายเกินไป เจ้านะเกิดไม่ทันยุคสงคราม เกิดไม่ทันในยุคก่อนบันทึกเลขหน้าประวัติศาสตร์ เลยไม่รู้จักความน่ากลัวของพลังเทพเจ้าหรอก”
“ก็ใช่ยังไงครับ! เพราะว่ามันเป็นตำนานการสร้างโลก แล้วงานวิจัยผมก็ได้พิสูจน์แล้วว่าวิญญาณมีอยู่จริง! ข้างนอกนั้นยังมีโลกอีกมิติหนึ่งที่พวกเราไม่รู้จัก! มันคือหลักฐานว่าตำนานของพวกเรา—”
ชายที่พยายามพูดอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อปกป้องโครงการของตัวเองได้หยุดชะงักไปชั่วขณะ
“ [ไม่รู้จักความน่ากลัวของพลังเทพเจ้าหรอก] เรียนคณะรัฐบาลที่เคารพ ที่พวกท่านพูดแบบนี้มันหมายความว่ายังไงกันครับ…”
เอซไม่เคยคิดสงสัย
ไม่เคยคิดสงสัย ว่าทำไมบันทึกประวัติศาสตร์ของดาวดวงนี้พึ่งมีเพียงแค่หลักสิบ แต่กลับมีเทคโนโลยีก้าวล้ำหน้า ราวกับมีประวัติศาสตร์ร่วมแล้วมากกว่าหลายพันปี
ไม่เคยคิดสงสัย ว่าทำไมคนรุ่นก่อนหน้าเพียงหนึ่งรุ่น ถึงมีความเชื่อต่อตำนานเทพทั้งสามผู้สร้างโลกอย่างผิดหูผิดตา
ไม่เคยคิดสงสัยมันเลย—
“…”
คณะรัฐบาลที่มีแต่ผู้ใหญ่อายุหลักเลข 50 ล้วนต่างไม่ยอมตอบคำตอบของเอซ
แต่ทว่าความเงียบนั้น กลับกลายเป็นคำตอบให้กับเอซ
มันไม่ใช่ว่าตำนานที่เล่าขานมันเป็นแค่ตำนาน
“พวกคุณ… รู้อยู่แล้วสินะ? ”
แต่ตำนานนั้น มันคือประวัติศาสตร์จริง
“… พวกเรานะคือรุ่นที่ได้ผ่านสงครามนั้นมากับตาตัวเอง รวมถึงพ่อแม่ของเจ้าด้วย คนรุ่นก่อนหน้าเจ้าไปหนึ่งรุ่น ล้วนต่างรู้ความจริงของโลกนี้เป็นอย่างดี”
“ฟังมาถึงตรงนี้ เจ้าคงกำลังคิดว่าทำไมคนรุ่นเราถึงไม่พูดหรือบอกอะไรออกมากันเลยใช่ไหม? ”
“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่สามารถอธิบายด้วยหลักการวิทยาศาสตร์ แม้แต่พลังเวทมนตร์ก็สามารถอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ถ้าหากพวกเราพูดเรื่องนี้ออกไปอย่างจริงจังว่าเป็นเรื่องจริง คิดว่าคนรุ่นเจ้าจะมีคนเชื่อเรอะ? ”
“จริงอยู่ว่ามันมีคำพูดทำนอง [สิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ค้นพบ ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอยู่จริง] แต่กับเรื่องวิญญาณ เรื่องตัวตนของเทพเจ้า เรื่องไร้สาระแบบนี้ คิดว่าพูดออกไปแล้วจะมีกี่คนที่เชื่อกันละ? ไม่ใช่ว่าตอนที่เจ้ายังเด็ก เจ้าเองก็คิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นแค่ตำนานไร้สาระของพ่อแม้เจ้าหรอกหรือ? ”
คำตอบของรัฐบาลทำให้เอซรู้สึกเหมือนเป็นไอโง่
เป็นไอโง่ที่ทำวิจัยในเรื่องที่ทุกคนต่างรู้คำตอบมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“แล้วทำไมถึง—”
ทำไมถึงมาหยุดงานวิจัยของผมเอาไว้…
พวกท่านก็เพียงแค่เอางานวิจัยผมไปยืนยันความจริงของการมีอยู่ในตำนานพวกนั้นเสียสิ…
“งานวิจัยของเจ้ามันอันตรายเกินไป พวกเราที่ได้เคยผ่านยุคอันโหดร้ายใต้การปกครองของเทพเจ้า เคยได้เห็นพลังของเจ้าพวกบ้านั้นมากับตาแล้ว—”
คณะรัฐบาลอาวุโสต่างหยุดเงียบ ราวกับกำลังรำลึกถึงอดีตที่แสนจดจำและไม่อยากหวนนึกถึง
งานวิจัยวิญญาณ งานที่ทำเพื่อยืนยันการมีตัวตนของวิญญาณ
ถ้าจบแค่การยืนยัน มันคงไม่มีอะไร
แต่สิ่งที่เอซทำ มันไปไกลกว่านั้น
เขาไม่เพียงแค่ค้นพบ
แต่เขาทำไปถึงขั้นสามารถ [สร้าง] มันขึ้นมาได้
ปีศาจหมอก
พรมกับอัศวินเกราะเหล็กที่สามารถเคลื่อนไหวได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งหุ่นยนต์นาโนควบคุม
เอซไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังทำตัวอาจหาญทัดเทียมกับพระเจ้าผู้สร้าง
วิญญาณที่เอซสร้างนั้น เป็นสิ่งใหม่ที่มากจนเกินไป
เขาสร้าง ปล่อยให้มันมีอิสระ และไม่หาวิธีทำลายพวกมันในการใช้งาน
หากของแบบนี้เกิดคลั่งหรือควบคุมไม่ได้ ก็แทบไม่ต่างอะไรไปจากระเบิดเวลาที่รอทำลายโลก
“— มันเป็นพลังที่อันตรายเกินไป”
นี่คือเหตุผลที่พวกเขาไม่อาจยอมให้งานวิจัยของเอซเดินหน้าไปไกลได้มากกว่านี้
***บันทึกของ ปีประวัติศาสตร์ที่ 35 (ครึ่งปีหลัง) ***
งานวิจัยวิญญาณของผมต้องยุติบทบาทลงเพราะขาดเงินทุน
หรือต้องบอกว่าถูกรัฐบาลบีบบังคับให้หยุดวิจัย
ไม่เพียงแค่ให้หยุด แต่ยังสั่งให้ผมทำลายทิ้งอีกต่างหาก
อันตรายเกินไปอย่างงั้นหรือ?
ไอพวกขี้ขลาดตาขาวเอ๊ย…
เพื่อเป็นการประชดพวกรัฐบาล ผมเลยยุติบทบาทการสำรวจดินแดนในฐานะนักบุกเบิก
แล้วจะรู้ ว่าถ้าขาดผมไป การบุกเบิกทวีปจะล่าช้าลงไปขนาดไหน
ในเวลาเดียวกัน ผมก็เริ่มวางแผนเกี่ยวกับงานวิจัยใหม่อีกครั้ง
ใครมันจะยอมให้งานวิจัยถูกทำลายกันเล่า?
ในปลายปีที่ 35 ผมได้ส่งมอบข้อมูลทั้งหมดกับภาครัฐบาล
ทว่าข้อมูลวิจัยทั้งหมดที่ว่า ผมมีแอบบันทึกมันเก็บลงไปในสมองของกรีดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนพวกวิญญาณที่ผมสร้าง ผมก็แค่ย้ายวิญญาณไปใส่ในภาชนะใหม่ที่เตรียมเอาไว้ แล้วส่งตัวอย่างว่างเปล่าไปให้พวกเขาทำลายแทน
ส่วนเรื่องหุ่นยนต์โบราณอย่างกรีดกับพี่น้องเธอที่ยื้มตัวมาจากรัฐบาล—
ไม่คืนให้หรอก
ผมจะไม่มีวันมอบกรีดกับพี่น้องเธอคืนให้รัฐบาลเป็นอันขาด
“เธอกับพี่น้องของเธอได้แต่งงานกับผมแล้ว ถ้าจะมาชิงตัวกลับ พวกคุณก็ต้องข้ามศพผมไปก่อน”
ผมได้ตัดสินใจแต่งงานกับกรีดในปีที่ 35
ไม่สนแล้วว่าใครจะด่าผม
ไม่สนว่าพ่อแม่หรือน้องสาวจะได้รับความอับอายจากการที่ลูกชายตัวเองไปแต่งงานกับหุ่นยนต์
พอพวกรัฐบาลมนุษย์เจอคำขู่แบบนั้นกลับไป พวกเขาเลยต้องชั่งน้ำหนัก ว่ามันคุ้มค่าพอที่จะเก็บหุ่นโบราณล้าสมัยกลับไป โดยแลกกับการมีเรื่องกับคนที่ได้ชื่อว่าวีรบุรุษเผ่ามนุษย์รุ่นที่สอง
การมีเรื่องกับผม มันคงไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของเผ่ามนุษย์ดีเท่าไหรนักหรอกนะรู้ไหม?
เพื่อเป็นการรักษาชื่อเสียงกับหน้าตาของเผ่าตัวเอง พวกเขาจึงยอมถอยให้ในเรื่องนี้
ในที่สุดผมก็ได้ใช้ชีวิตกับคนที่ตัวเองรักเสียที
รู้แบบนี้ลงมือทำไปตั้งแต่ตอนอายุ 20 แล้ว
***บันทึกของ ปีประวัติศาสตร์ที่ 40***
เป็นเวลา 5 ปี ที่ผมย้ายบ้านจากเมืองหลักมาอาศัยอยู่ใจกลางทวีปเพียงคนเดียวกับน้องสาว
ทั้งหมดก็เพื่อหลีกหนีสังคม
เรียกว่าเป็นโชคดีที่พวกรัฐบาลมนุษย์ไม่อยากให้เสียภาพลักษณ์ของเผ่า พวกเขาจึงพยายามปิดข่าวเรื่องที่ผมแต่งงานกับกรีดเอาไว้
ไม่มีประชาชนทั่วไปรู้
ไม่มีเผ่าอื่นรู้
พ่อกับแม่ รวมไปถึงน้องสาวของผมเลยสามารถใช้ชีวิตข้างนอกได้อย่างปกติ
แล้วการมาตั้งบ้านที่ใจกลางทวีป มันเป็นประโยชน์กับตัวผมเองด้วย
คือไม่มีใครสามารถมารบกวนผมได้
ด้วยระดับเทคโนโลยีปัจจุบัน เลยทำให้เผ่ามนุษย์ยังไม่สามารถบุกเบิกมาตั้งเมืองที่ใจกลางทวีปกับเขตทางตอนเหนือได้
เพราะธรรมชาติมันโหดร้ายเกินไป
พวกเขาไม่รู้ว่าจะสร้างเส้นทางขนส่งข้ามมหาสมุทรสีขาวมาที่ใจกลางทวีปได้ยังไง
ถนนไม่ปลอดภัย
เครื่องบินไม่ปลอดภัย
ใช้ประตูรูหนอนหรือยานอวกาศ? มันก็ออกจะเป็นการลงทุนที่ขี่ช้างจับตั๊กแตนไปหน่อย
สรุปคือต่อให้สามารถสร้างเมืองบนพื้นที่ปลอดภัยอย่างเขตทุ่งหญ้าแดงได้สำเร็จ แต่ถ้าหาทางเชื่อมการคมนาคมระหว่างเมืองไม่ได้ มันก็ไร้ค่าที่จะมาสร้างเมืองตรงใจกลางทวีป
เพราะแบบนั้น ที่ใจกลางทวีปเลยมีแค่ผมกับกรีด แล้วก็พี่น้องของเธอ อยู่กันเพียงแค่นั้น
นาน ๆ ทีถึงจะมีพวกเพื่อน ๆ น้องสาวกับพ่อแม่มาเยี่ยม
เรียกว่าเป็นชีวิตที่โดดเดียว
แต่ถึงจะโดดเดี่ยว ผมก็มีความสุขดี
***บันทึกของ ปีประวัติศาสตร์ที่ 41***
เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับหมอกปีศาจที่ผมสร้าง
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน แต่มันเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างผิดปกติ
มันโตจากเดิมที่มีขนาดเพียงราวหนึ่งเมตร กลายเป็นสามเมตร
ส่วนพวกอัศวินเกราะ พวกมันเริ่มรู้จักการทำงานบ้านช่อง
พวกมันรู้จักวิธีการทำความสะอาด
ถึงจะจบลงด้วยการทำเครื่องเรือนแตกเสมอก็ตามทีเถอะนะ…
บางทีคงเกิดจากการเลียนแบบพฤติกรรมของกรีด ที่พวกมันเห็นเธอทำงานบ้านทุกวันละมั้ง?
ส่วนเจ้าพรม มันเริ่มมีพฤติกรรมคล้ายสัตว์นักล่า
มันชอบจับสัตว์ตัวเล็กกลับมาทิ้งไว้หน้าบ้านทุกเช้า ราวกับเป็นแมวที่อยากโอ้อวดเหยือให้เจ้านายเห็น
มันน่ารักมากเลยละ
พวกวิญญาณเทียมที่ผมสร้างทั้งสามรูปแบบ ต่างมีพัฒนาการณ์ในตัวเองอย่างเห็นได้ชัด
มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
อย่างเดียวที่ไม่มีพัฒนาการณ์เลย คืองานวิจัยของผม
ถึงจะมีข้อมูลกับสถานที่แอบซ่อนอย่างห้องวิจัยลับใต้คฤหาสน์ แต่พอไม่มีเงินทุน สิ่งที่ทำได้จึงมีข้อจำกัดมากมาย
สรุปง่าย ๆ คืองานวิจัยของผมได้หยุดนิ่งอยู่กับที่มานานหลายปีแล้ว…
***บันทึกของ ปีประวัติศาสตร์ที่ 45***
หมอกปีศาจมันโตขึ้นอีก…
คราวนี้มันโตจนมีขนาดแทบจะใหญ่เท่าคฤหาสน์ไปแล้ว
นี่มันไปแอบกินช้างทั้งตัวเข้าไปหรือยังไงกันเนี่ย?
***บันทึกของ ปีประวัติศาสตร์ที่ 47***
อายุปัจจุบันของผมคือ 45 ปี
อายุมากขึ้น แต่กรีดไม่ได้แก่ตัวขึ้นเลย
เป็นความอิจฉาลึก ๆ ที่ผมรู้สึกต่อเธอ
แต่อีกส่วนหนึ่งก็ดีใจที่มีเมียสาวราววัยรุ่น ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม
ด้วยร่างกายที่เป็นหุ่นยนต์เทียม เลยทำให้พวกเรามีลูกด้วยกันไม่ได้
ความหวังเดียวที่จะมีลูก คือการสร้างวิญญาณเทียม กับร่างกายเทียมขึ้นมา
แต่หากทำแบบนั้น วิญญาณที่เกิดขึ้น มันจะใช่สิ่งที่ถือว่าเป็น [ลูก] ที่เกิดจากสายเลือดของพวกเราสองคนหรือเปล่า?
ที่สำคัญ คือผมยังไม่สามารถสร้างวิญญาณที่มีความซับซ้อนระดับมนุษย์ขึ้นมาได้
พี่น้องของเธอที่รอการคืนสภาพอัตตา ก็ยังไม่ก้าวหน้าไปไหน
เงิน…
ผมต้องการเงินทุน…
***บันทึกของ ปีประวัติศาสตร์ที่ 50***
แม่กับพ่อตายในปีนี้…
คุณแม่เอรีส วีรสตรีเผ่ามนุษย์รุ่นที่หนึ่ง อายุขัย 70 ปี
คุณพ่อแอร์บาส์ร วีรบุรุษเผ่ามนุษย์รุ่นที่หนึ่ง อายุขัย 70 ปี
คนที่ไปก่อนคือคุณแม่ ส่วนคุณพ่อได้ตามไปในเวลาอีกไม่กี่เดือนต่อมาในปีเดียวกัน
งานศพถูกจัดตั้งอย่างยิ่งใหญ่ในเมืองหลวง มีคนมาร่วมพิธีอย่างล้นหลาม
แต่ทว่า— ไม่มีใครรู้ตัวเลย ว่าร่างกายที่ถูกจัดใส่โลงนั้น คือร่างเปล่าที่ไร้วิญญาณของเจ้าตัว
ไม่มีใครรู้ แม้แต่น้องสาวดิวซ์เองก็ไม่รู้
มันคือปีนี้ที่ผมหน้ามืด ทำเรื่องที่ไม่สมควรอภัยมากที่สุดลงไป
ในวันที่ได้รับทราบข่าวการหมดอายุขัยของแม่ ผมได้รีบบึ่งยานบินไปหา แล้วแอบใช้เครื่องมือของตัวเอง ดึงวิญญาณของแม่มาเก็บเอาไว้ในเครื่องกักเก็บวิญญาณ
ของพ่อเองก็โดนผมแอบเก็บดวงวิญญาณมาด้วยเช่นกัน
สรุปคือวิญญาณของพ่อกับแม่ไม่ได้ไปสูสุขติ แต่ยังถูกเก็บเอาไว้ที่ชั้นใต้ดินของคฤหาสน์หลังนี้
ทำไปเพื่ออะไรนะหรือ?
ถ้ารู้ว่ามีเครื่องมือและวิทยาการณ์ที่สามารถคืนชีพคนตายได้ จะไม่คิดคืนชีพให้กับพ่อแม่ตัวเองเลยหรอกหรือ?
แล้วตอนนี้ ผมก็มีวิญญาณของพ่อแม่อยู่ในมือแล้ว
ที่เหลือ มีเพียงแค่หาร่างกายใหม่ให้กับพวกท่านเท่านั้น
***บันทึกของ ปีประวัติศาสตร์ที่ 60***
ไม่ได้ผล…
ไม่ว่าจะร่างกายเทียมจากเครื่องจักรกล
ร่างกายที่เกิดจากการเพาะเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่
หรือแม้แต่การจำลองร่างกายมนุษย์ด้วยการโคลนนิ่ง
ทุกวิธีการ ล้วนแต่ไม่ประสบผลสำเร็จในการเป็นภาชนะให้กับวิญญาณที่ละเอียดอ่อนของพ่อกับแม่ได้เลย
ทุกครั้งที่พยายามจะผสานร่างกายกับพลังงานวิญญาณเข้าด้วยกัน กลับเจอแต่ปฏิกิริยาต่อต้าน ไม่อาจผสานเข้ากันได้
ราวกับว่าตัวตนของพ่อกับแม่ได้ปฏิเสธที่จะมีร่างกายใหม่เช่นนั้น
ทำไม…
ทำไมกัน…
ผมผิดพลาดตรงไหนกัน…?
บางทีคงเป็นที่เครื่องมือกับอุปกรณ์
ก็ที่มีมันเก่าเก็บมากแล้วนี่?
ถ้าหากว่าผมมีเงินทุนกับเครื่องมือที่ดีกว่านี้ ผลลัพธ์คงจะต่างออกไป…
***บันทึกของ ปีประวัติศาสตร์ที่ 70***
จู่ ๆ ก็มีคำร้องจากรัฐบาลส่งตรงมาถึงผม
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลำบากในการสำรวจทวีปทางตอนเหนือ ประกอบมีการเปลี่ยนคณะรัฐบาลเป็นรุ่นใหม่ยกแผง เลยทำให้มีจดหมายเช่นนี้ส่งตรงมาถึงผม
ดูเหมือนว่าคณะรัฐบาลรุ่นปัจจุบันจะไม่รับรู้เรื่องความขัดแย้งระหว่างผมกับคณะรัฐบาลรุ่นก่อน เพราะการปกปิดข่าวของพวกเขาเอง
ผมเลยถือโอกาสรับงานนี้มาได้โดยไม่จำเป็นต้องคิดมาก ว่าจะมีการหักหลังเกิดขึ้น
การสำรวจทวีปตอนเหนือนั้นเป็นงานที่ง่ายกว่าสมัยที่ผมยังหนุ่มเสียอีก
เพราะว่าผมใช้เจ้าหมอกปีศาจที่น่ารักในการออกสำรวจ
ไม่มีสัตว์ร้ายตัวไหนทำร้ายมันได้ เพราะว่ามันมีร่างกายเป็นหมอก
ผมใช้เวลาแค่ปีเดียวก็สามารถรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของทวีปตอนเหนือมาได้แล้ว
แต่เพื่อให้สามารถรีดเงินค่าสำรวจได้มากที่สุด ผมจึงทำเป็นว่ายังทำงานไม่เสร็จ
น้องดิวซ์เองก็ไม่รู้เรื่องนี้ เพราะผมพยายามปิดเธอเรื่องที่แอบใช้เจ้าหมอกช่วยสำรวจพื้นที่
คนที่รู้ความจริง มีแค่ผมกับกรีดสุดที่รัก
รู้กันเพียงแค่สองคนเท่านั้น
***บันทึกของ ปีประวัติศาสตร์ที่ 80***
ผม… ชราภาพมากแล้ว…
แค่จะจับปากกาขนนก… ยังแทบจะจับไม่ไหว…
นี่อาจจะเป็นบันทึกหน้าสุดท้ายของผม…
ผมรู้ตัวเองดีว่าชีวิตกำลังจะจบลง…
แถมเมื่ออาทิตย์ก่อน น้องดิวซ์ยังตายจากแบบไม่คาดคิดอีก…
ในวันที่พวกเราสองพี่น้องพึ่งจะไปประกาศต่อสาธารณชนเรื่องผลลัพธ์ของการสำรวจทวีป
ในวันที่พวกเราบินตรงกลับมาที่คฤหาสน์หลังนี้
น้องดิวซ์… ได้ตายลงแทบจะในทันทีที่ถึงคฤหาสน์ของผม…
ผมเก็บวิญญาณของน้องสาวเอาไว้เหมือนวิญญาณของพ่อกับแม่
ผมตั้งใจจะคืนชีพพวกเขาให้ได้
แต่… งานวิจัยของผมมันยังไม่คืบหน้าไปไหน…
มันยังหยุดอยู่ที่เดิมนับตั้งแต่ปีที่ 35
ทั้งที่มีเงินใช้ในการวิจัยแล้วแท้ ๆ …
ผมมัน… เป็นไอห่วยแตก
ยอมโกหกคนทั้งโลก
ทรยศความคาดหวังของเผ่ามนุษย์
กักขังครอบครัวตัวเอง
ยอมทำความผิดเพื่อคนรักเพียงหนึ่งเดียว
แต่— ผมกลับไม่อาจตอบรับความปราถนาทั้งหมดได้
ไม่อาจคืนชีพให้กับครอบครัวของตัวเอง
ไม่อาจคืนอัตตาให้กับพี่น้องของกรีด
ไม่อาจแสดงให้โลกรู้ ว่ากรีดเองก็มีวิญญาณไม่ต่างจากมนุษย์
ไม่อาจสร้างลูก ๆ ของพวกเราขึ้นมาเป็นหลักฐานของความรัก
ผม…
*แกร๊ก*
มันคือเสียงปากกาที่กำลังกระทบลงบนพื้น
ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ภายใต้แสงไฟที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ภายในคฤหาสน์หลังโต
ทุกอย่างได้หยุดนิ่งลง ก่อนจะถูกปกคลุม กลืนหายเข้าไปในหมอกสีเทาในเวลาต่อมา—
MANGA DISCUSSION