***ปีประวัติที่ 25***
ปีที่โลกไดมอนด์พบกับปรากฏการณ์ธรรมชาติอันแปลกประหลาด
ปีที่พวกเขารับรู้การมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตนอกโลก
“ข่าวใหญ่! พบปรากฏการรูหนอนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเหนือผืนมหาสมุทร! ”
“เห็นว่ามีเผ่าภูติกับเผ่ามนุษย์สัตว์ถูกลักพาตัวไปแล้วสองคน! ”
“นี่ ๆ รู้หรือเปล่า? เหมือนว่าจะพบเผ่าพันธุ์ใหม่ข้างในนั้นด้วยละ”
“แถมยังมีเรื่องน่าตกใจอย่างที่มี [เผ่ามนุษย์] ที่เรียกตัวเองว่า [ชาวโลก] ด้วย! แต่เห็นว่ามีสภาพร่างกายอ่อนแอกว่าเผ่ามนุษย์ทางนี้ลิบลับ”
“เผ่ามนุษย์ที่เรียกว่า [ชาวโลก] ? ”
มันคือข่าวใหญ่
การปรากฏตัวของรูหนอน ทำให้พวกเราชาวดาวไดมอนด์รับรู้การมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตนอกโลก
“พี่ได้ข่าวนี้หรือยัง? เห็นว่าภูติที่ถูกจับตัวไปคือลิลลี่เพื่อนเราเองนะ! ”
“อย่างยัยนั่นคงจงใจให้ถูกจับละไม่ว่า ไม่ต้องห่วงหรอก ยัยนั่นดวงแข็งจะตาย ดีไม่ดีเป็นพวกเอเลี่ยนจับตัวไปจะดวงซวยแทนมากกว่า ตอนนี้ที่พี่สนใจ คือข่าวเรื่องเผ่าพันธุ์ของชาวต่างดาวต่างหาก”
สองพี่น้อง เอซ กับ ดิวซ์ กำลังถกเรื่องข่าวอันน่าตื่นตกใจกันอย่างออกรสภายในห้องที่สร้างจากปูนหนาทึบ
ข้างนอกหน้าต่างบานเล็กที่ยอมให้แสงลอดผ่าน มีภาพของทหาร นายช่าง และนักวิจัยที่กำลังเดินกันอย่างว้าวุ่นกับการสร้างเมืองใหม่บนทวีปออโรร่า
“เผ่าพันธุ์ใหม่อย่างงั้นหรือคะนายท่านเอซ? ”
“ใช่แล้วละกรีด”
บุรุษผิวสีเทนตอบเมดสาวผมสีเงินด้วยรอยยิ้ม แล้วรับกาแฟที่เธอนำมาเสริฟด้วยมือข้างขวา
ส่วนมือซ้ายของเขา กำลังปัดหน้าจอภาพที่ถูกฉายในอากาศ เพื่อเลื่อนอ่านเนื้อหารายงานข่าวอย่างรวดเร็ว
“ว่าแต่พอเธอทำตัวสุภาพแบบนี้แล้ว… ชักรู้สึกสยองขึ้นมาเลยแฮะ”
“อยากให้ฉันผสมยาพิษลงไปในกาแฟไหมค่ะนายท่าน? ”
“เออ… ไม่เป็นไร… เกรงใจ…”
เอซยิ้มแห้ง ๆ แล้วยกถ้วยกาแฟขึ้นมาดื่มจนหมดรวดเดียว
“น่าสนใจแฮะ—”
“น่าสนใจยังไงหรือคะนายท่านเอซ? ”
“คืองี้ ในยุคก่อนบันทึกประวัติศาสตร์ของพวกเราชาวดาวไดมอนด์ ได้ระบุว่ามีเผ่าพันธุ์ด้วยกันทั้งหมด 5 เผ่า”
เอซหยุดเว้นช่วงพักหายใจ ก่อนจะเริ่มบรรยายต่อ
“กรีด เธอนะบอกว่าตัวเองเป็นหุ่นยนต์โบราณที่มีอายุมากกว่าหนึ่งพันปี ที่ถูกสร้างโดยบรรพบุรุษของเผ่ามนุษย์สัตว์สินะ? ”
“ใช่ค่ะ แต่เป็นเพราะความโง่เขลาของเผ่าผู้สร้าง จึงทำให้ยานอพยพตกลงสู่โลกที่มีผู้ปกครองแล้ว อย่างโลกใบนี้ แถมยังต้องสูญสิ้นเทคโนโลยีทุกอย่าง รวมไปถึงสิ้นเผ่าพันธุ์ มนุษย์สัตว์ที่เห็นในปัจจุบัน เป็นเพียงแค่ปัจเจกที่ถูกสร้างใหม่โดยผู้สร้าง เผ่ามนุษย์สัตว์ผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายค่ะ”
” ใช่แล้ว นั่นคือประวัติศาสตร์ของพวกเธอที่มีหลักฐานจากซากโบราณมายืนยันความจริง แต่ของพวกเรานี่สิ มีแต่ตำนานที่เกี่ยวกับวิญญาณกับเทพเจ้า”
” ถ้าเป็นเรื่องตำนานของเทพเจ้าทั้งสามผู้สร้างโลก อันนั้นฉันได้ฟังจนหูชาไปแล้วค่ะ”
” เพราะมีข้อมูลแต่จากตำนาน กับเศษซากดาวเทียมที่ว่ากันว่าเป็นของเหลือจากยุคสงคราม เลยทำให้ศึกษาความจริงได้ยาก—”
เอซว่าเช่นนั้น แล้วปัดหน้าจอที่ฉายให้หมุนควงมาหยุดลงตรงหน้าของกรีดกับดิวซ์
” —แต่ไม่ใช่ว่าตัวตนการมีอยู่ของ [มนุษย์โลก] มันตรงตามบันทึกตำนานการเกิดโลกของพวกเราอย่างงั้นหรือ? ”
[เทพทั้งสามโปรยดวงวิญญาณกลับคืนสู่โลกา มอบชีวิต เพื่อให้ทำสงคราม มอบความบันเทิงแก่พวกตนสืบต่อไป]
ในบทความบรรทัดสุดท้ายของตำนานการสร้างโลกได้ถูกกล่าวเอาไว้เช่นนั้น
ดาวไดมอนด์ แต่แรกเริ่มถูกประกอบด้วยเพียง 5 เผ่าพันธุ์หลัก
[มนุษย์] [ภูติ] [ยักษ์] [อาร์โธรโพดา] กับ [เผ่าปักษา]
แต่แล้วในปีประวัติศาสตร์ที่ 20 พวกเราได้พบทวีปใหม่ ได้พบกับเผ่าพันธุ์ใหม่
เผ่า [มนุษย์สัตว์] กับเผ่า [โพรแคริโอต]
ทำไมดาวดวงนี้ถึงมีความหลากหลายทางชีววิทยาได้มากถึงเพียงนี้?
มันเป็นไปได้หรือ ที่บนดาวดวงเดียวจะยอมให้มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิมากกว่าหนึ่งสายพันธุ์ สามารถดำรงอยู่ร่วมกันได้มากกว่าหนึ่ง?
“ตำนานกล่าวเทพเจ้าผู้สร้างโลกเอาดวงวิญญาณมารวมกันที่โลกใบนี้ พรากถิ่นจากดาวบ้านเกิดอย่างจงใจให้มาทำสงครามกัน ดังนั้น การที่มีการค้นพบชาวต่างดาวที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับตำนานที่ว่านั้น จึงเป็นหลักฐานชั้นดีว่า [วิญญาณ] มีจริง [เทพเจ้า] มีจริงยังไงละ”
เอซกำลังพูดถึงความเป็นไปได้ด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
” แถวในข่าวยังมีพูดถึงเรื่อง [เอลฟ์] ชาวต่างดาวที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้เหมือนเผ่าภูติ แต่มีหลักการแตกต่างกันด้วย! ”
เอซเลื่อนจอภาพลง พร้อมกับฉายภาพของสิ่งมีชีวิตที่มีใบหูเรียวยาว มีผิวขาวกับผิวสีน้ำตาลไหม้ ให้ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
“แล้วยังเผ่า [ลิซาร์ดแมน] ที่มีแร่ชนิดพิเศษ สามารถดึงพลังงานจากรอยแยกมิติมาใช้งานได้!?! ถึงจะยังไม่รู้แน่ชัด แต่พวกนักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามหาตัวอย่างเทคโนโลยีต่างดาวมาวิจัยเพิ่มอยู่ละ! ”
คราวนี้เขาเลื่อนลงมาต่อ เพื่อเปิดภาพของสิ่งมีชีวิตหุ้มเกล็ดที่มีลักษณะคล้ายจิ้งจกยืนสองขา
สีหน้าเอซในยามนี้ ช่างดูไม่ต่างไปจากเด็กอนุบาลที่ได้ยินว่าเครื่องเกมส์ที่ตนสนใจ กำลังจะออกรุ่นใหม่ลงสู่ตลาดในเร็ววัน
มันคือความน่าจะเป็น
การที่ได้เห็นสิ่งใหม่กับความรู้ใหม่ ย่อมเป็นการเปิดโลกอันคับแคบของเขาให้กว้างมากขึ้น
เมื่อโลกของตัวเองกว้างมากขึ้น บางที— กำแพงอันสูงชันของโครงการวิจัยวิญญาณที่กำลังเผชิญอยู่ อาจจะถึงขั้นพังทลายลงมาได้ในพริบตา
เขากำลังคิดเช่นนั้น
“ให้ตายสิ นี่ถ้าสามารถโดดงานสำรวรทวีปออโรร่าไปพื้นที่พิเศษในข่าวได้นะ จะรีบเตรียมตัวไปในทันทีเลยละ! ”
***บันทึกหน้าหนึ่งของงานวิจัยวีรบุรุษเอซ***
***ปีประวัติศาสตร์ที่ 25
ปีที่เกิดปรากฏการธรรมชาติ [รูหนอน] เชื่อมไปหยั่งดวงดาวต่าง ๆ
ปีที่พวกเราได้พบกับเผ่าพันธุ์อื่น นอกจากเผ่าพันธุ์บนดาวไดมอนด์
ปีที่พวกเราพบหลักฐานการมีอยู่ของบรรพบุรุษดั้งเดิมของมนุษย์ [มนุษย์โลก]
แต่ช่างน่าแปลก
ในขณะที่โลกของเรามีตำนานที่เกี่ยวข้องกับดาวบ้านเกิดจากคำเล่าของรุ่นก่อน แต่ทว่าจากรายงานข่าว และจากการที่ผมได้ไปพบเจอด้วยตาตัวเอง
เผ่ามนุษย์ต้นกำเนิดดั้งเดิมที่มาจากดาวที่ชื่อว่าโลก ไม่ได้มีความทรงจำ หรือบันทึกใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งยานอวกาศไปสำรวจอวกาศ
ระดับเทคโนโลยีก็ต่ำจนแทบไม่น่าเป็นไปได้ ว่าสามารถส่งมนุษย์ข้ามจักรวาลได้
ราวกับ… มนุษย์ในดาวไดมอนด์กับชาวโลกมิได้เคยมีส่วนไดเกี่ยวข้องกัน
ที่พอจะบอกว่าเกี่ยวข้องกัน คือมีคนบางกลุ่มในดาวของเรา ที่มีรายชื่อกับนามสกุลไปซ้ำกับบุคคลที่เคยถูกระบุว่าได้ตายไปแล้วในดาวที่ชื่อว่าโลก
หลายคนบอกว่ามันคือเรื่องบังเอิญ
แต่จักรวาลนี้จะมีเรื่องบังเอิญที่ดูจงใจได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
ไม่ใช่ว่าข้อมูลพวกนี้คือหลักฐานซึ่งฟ้องว่าตำนานการสร้างดาวของศาสนาเทพทั้งสาม คือเรื่องจริงเช่นนั้นหรอกหรือ?
อันนี้เป็นทฤษฎีที่ผมตั้งเดาสุ่มขึ้นมาเอง
บางที… บรรพบุรุษของดาวดวงนี้ อาจจะเป็นวิญญาณของมนุษย์โลกที่พระเจ้าแอบลักพาตัวมาก็เป็นไปได้
ผมพยายามเอาเรื่องนี้ไปโต้วาที ด้วยเหตุผลที่คิดว่าถ้าผมสามารถแสดงหลักฐานให้รัฐบาลมนุษย์ยอมรับเรื่องการมีอยู่ของวิญญาณได้จริง ผมก็คงจะได้รับทุนวิจัยเพิ่ม
แต่กลับถูกนักวิชาการปัดตกไปด้วยเหตุผลอย่าง “น้ำหนักของหลักฐานไม่เพียงพอ”
แม้แต่พวกนักวิชาการรุ่นเก่าที่เชื่อในตำนานของเทพเจ้าอย่างจริงจัง ยังไม่ยอมรับหลักฐานของผมกันเลย
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?
สุดท้ายเลยต้องกลับมาที่จุดเริ่มต้นใหม่
นั่นคือทำงานบุกเบิกทวีป เพื่อเอาเงินมาหมุนเป็นทุนวิจัย
***ปีประวัติศาสตร์ที่ 26
ในที่สุดพรมแดนระหว่างดวงดาวก็ถูกเปิดออก
รูหนอนที่เคยเข้าออกได้เพียงเฉพาะเจ้าหน้าที่ ได้ถูกเปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถท่องเที่ยวระหว่างดวงดาวได้
แต่กลับมีแค่ดาวที่ชื่อว่า [โลก] ที่ไม่ยอมเปิดพรมแดนให้ไปมาหาสู่
“เทคโนโลยีของพวกเรายังไม่สูงพอต้อนรับแขกจากต่างดาว ประชาชนชาวโลกยังไม่พร้อมรับกับสิ่งใหม่นี้ครับ”
ว่าเช่นนั้น แล้วปิดกั้นพรมแดน ยอมปล่อยให้มีแต่เพียงคนส่วนน้อยได้เข้าถึง
แถมยังมีข่าวลือว่าพวกชาวโลกจะเล่นใหญ่เพื่อหลอกคนทั้งดาวตัวเอง ว่าเรื่องการรุกรานของ [มนุษย์ต่างดาว] ที่เกิดขึ้นมาในช่วงหนึ่งปี คือเรื่องหลอกลวงของประเทศมหาอำนาจ
ไอพวกบ้า…
***ปีประวัติศาสตร์ที่ 30
แย่…
ผมนี่ช่างแย่จริง ๆ
ถึงงานบุกเบิกทวีปจะเป็นไปได้อย่างราบรื่นจนได้รับสมญานาม [วีรบุรุษมนุษย์] แต่งานวิจัยกลับหยุดนิ่งมาร่วม 10 ปี ไม่มีเคลื่อนไหว
จุดเริ่มต้นอยู่ที่ไหน เราก็ยังหยุดอยู่ที่ตรงนั้น
ผมลองทฤษฎี [น้ำหนักวิญญาณ] แต่ก็ไม่มีเครื่องจักรใด ที่จะสามารถวัดน้ำหนักของวิญญาณ หรือพิสูจน์ได้ว่าไอมวลที่หายไปตอนสิ่งมีชีวิตตาย สิ่งนั้นมันคือวิญญาณ
ผมลองพยายามสร้างเครื่องที่สามารถตรวจจับคลื่น สร้างเครื่องตรวจจับพลังงาน ศึกษาเรื่องที่ว่างกับมิติ
แต่ยิ่งศึกษาลึกแค่ไหน กลับยิ่งไม่เจอวี่แววของสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณ
ราวกับเป็นการตอกย้ำว่าวิญญาณไม่มีจริง
เป็นการตอกย้ำว่าอัตตาของกรีด การแสดงออกของเธอที่เหมือนมีชีวิตด้วยตัวเอง เป็นเพียงแค่โปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างดีเท่านั้น
ตอกย้ำว่าคนที่ผมรักเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่ถูกสร้าง—
ปากบอกว่าจะทำเพื่อกรีด แต่ผมไม่สามารถทำอะไรเพื่อกรีดได้เลยสักอย่าง
สมญานามกับเงินทองที่มีมากมายจะไปมีค่าอะไร ถ้าหากไม่สามารถทำให้ตัวผมกับกรีดมีความสุขได้ละ?
แค่จะกล่าวประกาศแต่งงานกับเธอ ผมยังไม่มีความกล้ามากพอเลย
กรีดกับน้องดิวซ์ รวมไปถึงพ่อแม่ ต่างบอกว่า “ถ้าอยากแต่ง ก็แต่งไปเลย”
พูดนะมันง่าย แต่ถ้าทำจริง สถานะทางสังคมของบ้านเราคงได้ดิ่งลงเหวยันลูกหลาน
ผมมัน… ไอขี้ขลาดตาขาว
***ปีประวัติศาสตร์ที่ 31
ปีนี้ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับเอลฟ์คู่รักที่มีผมสีทองกับผมสีเงิน
ในตอนนั้นผมกำลังทดลองใช้แร่ [แห่งความเป็นไปได้] ที่ซื้อมาจากชาวดาวลิซาร์ดแมน สร้างกลุ่มก้อนของพลังงานที่มีสติปัญญานึกคิดขึ้นมาดู
ใช้หลักการของการเขียนระบบความคิดหุ่นยนต์ ใส่บันทึกลงไปในคลื่นพลังงาน
หรือพูดง่าย ๆ คือผมกำลังทดลองสร้างวิญญาณเทียมนั่นละ
ในวันนั้นมีหิมะตกโปรยปราย
มันเป็นเรื่องบังเอิญ
พวกเขามาท่องเที่ยวที่ทวีปออโรร่า แล้วมาเคาะประตูหน้าบ้านของพวกเราอย่างไม่คาดคิด
“ต้องขออภัยที่เสียมารยาท คือพวกผมจับพลังงานเวทมนตร์อัญเชิญอสูรแปลก ๆ ได้จากแถว ๆ นี้นะครับ เลยมาตรวจดู”
ผมถึงกับสงสัยว่าพวกเขาพูดถึงเรื่องอะไร
แต่ผมก็นึกออกว่าที่ใต้ถุนกำลังเดินเครื่องเพื่อสร้างวิญญาณเทียมอยู่พอดี
ด้วยความแปลกใจปนสงสัย ผมเลยเชิญพวกเขาเข้ามาในบ้าน แล้วพามาดูเครื่องจักรของผม
พวกเขาดูตกใจมาก
” นี่มัน!?! ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถสร้างสิ่งที่มีความคล้าย [อึกก์ดราซิลล์] จากเครื่องจักรกลได้!! ”
“แต่ทำแบบนี้ไม่สำเร็จหรอก เพราะมันจะเสียสมดุลพลังงาน ถ้าอยากจะให้มันคงสภาพรูปร่าง ควรจะลงอักษรเวทมนตร์—”
เอลฟ์คือชาวดาวที่พัฒนาอารยธรรมบนหลักการของเวทมนตร์
ผมเคยได้พูดคุยกับพวกเขาอยู่บ้าง แต่พวกเอลฟ์ชอบพูดแต่หลักการแปลก ๆ ที่พึ่งความรู้สึกมากกว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เลยทำให้เอามาใช้อ้างอิงกับอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
ทั้งที่เวทมนตร์เองก็เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งแท้ ๆ
ทำไมพวกเอ็งถึงไม่เอาอย่างพวกภูติที่ศึกษาเวทมนตร์บนหลักการของวิทยาศาสตร์กันฟะ?
แต่สิ่งที่เอลฟ์คู่รักนี้แสดงให้ผมเห็นมันเป็นสิ่งที่ผมกำลังต้องการพอดี
“อักษรเวทมนตร์ ความจริงก็คือวงจรสั่งการด้วยสารเคมีพิเศษ ที่สามารถดึงดูดพลังงานที่ลอยไปมาระหว่างมิติมาใช้งาน มันแทบไม่ต่างอะไรจากวงจรคอมพิวเตอร์ของพวกเจ้า ที่ต้องพึ่งพลังงานไฟฟ้าให้ไหลเข้าระบบ เพื่อสั่งการทำงานที่ซับซ้อนนั้น”
เพียงแค่คำพูดเดียวของพวกเขา ผมก็รู้สึกได้ตัวเองต้องการความรู้ของพวกเขา
ผมได้เสนอที่อยู่ให้พวกเขาในระหว่างที่พวกเขามาท่องเที่ยวทวีปออโรร่า
มันเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนที่มีงานวิจัยของผมก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็ว
“พวกผมต้องไปแล้ว ขอบคุณสำหรับที่พักกับค่าอาหารนะครับ”
“ทางผมเองก็เช่นกัน ขอบคุณพวกคุณมากครับ”
แต่ทว่าวันแห่งความสุขย่อมมีวันจบ
พวกเขาที่ท่องเที่ยวจนเบื่อ ได้มีกำหนดการที่จะกลับบ้านเกิด
ผมพยายามขอช่องทางติดต่อจากพวกเขา แต่พวกเขากลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้
ขนาดชื่อยังไม่ยอมบอกผมเลยคิดดูสิ
ราวกับว่าพวกเขาพยายามที่จะปกปิดตัวตนของตัวเองเช่นนั้น
ถึงจะน่าเสียดาย แต่อย่างน้อยการปรากฏตัวของพวกเขาก็ทำให้งานวิจัยของผมก้าวหน้าไปมากเลยทีเดียว
***ปีประวัติศาสตร์ที่ 35
สำเร็จ!
ในที่สุดผมก็สามารถสร้างวิญญาณได้เป็นผลสำเร็จ!
ตัวแปรที่ทำให้สำเร็จมีด้วยกันสองอย่าง
หนึ่งคือสารเคมีพิเศษที่ผลิตได้จากผลของต้น [อึกก์ดราซิลล์] ของชาวดาวเอลฟ์
ผมเอามันมาเขียนเป็นวงจรควบคุม
ส่วนราคาของสารนั้น… มันแพงเป็นบ้าเลยละ เพราะมันถือเป็นสิ้นค้าไม่ให้ซื้อขายของพวกเอลฟ์ เลยต้องไปหาเอาตามร้านค้าใต้ดิน
ส่วนสำคัญต่อมาคือแร่ [แห่งความเป็นไปได้] ของชาวดาวลิชาร์ดแมนในการเป็นตัวเร่ง เพื่อแทรกพลังงานนั้นลงไปในความว่างเปล่าในห้องที่บีบอัดปิดทึบ
ผลลัพธ์ที่ได้จากการรวมกันของสองสิ่ง คือสิ่งมีชีวิตเทียมที่ก่อตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันต้องการคงสภาพตัวตนเพื่อมีชีวิตในโลกนี้หรืออย่างไร แต่มันได้ดึงเอาไอน้ำในอากาศมาเป็นร่างกาย จนมีสภาพคล้ายกับหมอกที่มีชีวิต
ผมจึงตั้งชื่อให้มันว่า [หมอกปีศาจ]
เจ้าหมอกปีศาจตัวนี้มันสามารถเรียนรู้ได้
มันมีความนึกคิดเป็นของตัวเอง มีอัตตา รวมไปถึงมีเจตจำนงอิสระที่จะลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง
ทั้งที่ผมไม่ได้ลงโปรแกรมคำสั่งใด ๆ ให้กับพวกมันเลย แต่พวกมันกลับคิดเอาเองได้
ผมจึงรีบเร่งเดินหน้าทดลองต่อ
ทดลองใช้ชุดเกราะอัศวินเป็นสื่อกลาง
ใช้พรมเป็นสื่อกลาง
ทุกการทดลองนั้นล้วนแต่ประสบผลสำเร็จทั้งหมด
ไม่เพียงแค่สร้างวิญญาณ แต่ยังรวมไปถึงทำอุปกรณ์ตรวจจับเพื่อวัดหาคลื่อนพลังงานที่มีรูปแบบคล้ายวิญญาณได้อีกด้วย
แม้แต่วัสดุที่ใช้เพื่อกักเก็บพลังงานวิญญาณต้นแบบ ผมก็ยังสร้างมันขึ้นมาได้
แล้วผมรู้ได้ยังไงว่าพลังงานที่ค้นพบ มันคือพลังงานวิญญาณ?
ถ้าหากวิญญาณที่สร้างมีคลื่นพลังงานรูปแบบ [A]
แล้วในร่างกายของสิ่งมีชีวิตมีคลื่นพลังงานรูปแบบ [A]
แต่กับคนตาย ไม่ตรวจพบเจอรูปแบบคลื่นพลังงานรูปแบบ [A]
นั่นก็พอจะอนุมานได้ว่าคลื่นพลังงานรูปแบบ [A] คือรูปแบบของ [วิญญาณ] ใช่หรือเปล่า?
ความจริงยังมีรายละเอียดอีกราวหนึ่งพันหน้าที่ใช้อธิบายรูปแบบของพลังงานวิญญาณในบันทึกเล่มอื่น แต่เพื่อย่อให้เข้าใจง่ายในฉบับไดอารี่ ผมเลยสรุปมันอย่างย่อออกมาแบบนี้
ซึ่งในร่างกายกรีดมีรูปแบบพลังงาน [A] ที่ว่านั้น
กรีด— เป็นหุ่นยนต์ที่มีพลังงานวิญญาณไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิต!!
“เยี่ยม! วิญญาณมีจริง! ถ้าไม่ใช่เพราะมีวิญญาณจริง แล้วจะอธิบายเรื่องที่ผมค้นพบ เรื่องที่พลังงานเทียมที่มีอัตตาด้วยตัวเองได้ยังไง! ถ้าปฏิเสธเรื่องนี้ ก็เท่ากับปฏิเสธอัตตาของตัวเองไปด้วย! จริงไหมกรีด! ดิวซ์!? ”
ผมรู้สึกดีใจมาก
เพราะว่าในที่สุด ความฝันของผมกับกรีดก็จะเป็นความจริงแล้ว
แต่ทว่า—
“งานวิจัยเรื่องวิญญาณของ [เอซ] ต้องยุติลงเพียงแค่นี้ และห้ามนำออกไปเผยแพร่สู่สาธารณะชนอย่างเด็ดขาด”
ความดีใจนั้นกลับต้องถูกทำลายลงในเวลาต่อมา…
MANGA DISCUSSION