“คุณ ราชินีสีเงิน [แบนซี] ใช่ไหมครับ? ”
มนุษย์ที่สวมชุดคาวบอยส่งยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยผิวหนังหยาบกระด้าง
ดวงตาของเขา มันบอกว่าแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจในสิ่งที่กำลังมองเห็น
ฝั่งสตรีเผ่าปีศาจยิ้มรับกลับด้วยใบหน้าที่งดงามบนผิวสีเงินอันเต่งตึง
ดวงตาของเธอดูมีความสุข เสมือนหนึ่งได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันมานาน
“ไม่ได้ยินคนเรียกด้วยชื่อนี้นานถึง 101 ปี แล้ว ช่างน่าคิดถึงนัก”
***
เรื่องราว—
มันคือเรื่องราวเมื่อ 101 ปีก่อนหน้าในยุคปัจจุบัน
ณ เวลานั้น โลกไดมอนแห่งนี้ได้เผชิญพบเจอกับเหล่าเอเลี่ยนจากต่างดาวจำนวนมาก ผ่านทางรูหนอนที่ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ ที่ว่า มันได้กลายเป็นสถานีท่าเทียบยานอวกาศ [หมู่เกาะเทียม] นั่นเอง
ในยุคนี้อาจเห็นว่าพวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
หากแต่เมื่อ 101 ปีก่อนหน้านั้นไม่ใช่
ภาษา ยังไม่ถือกำเนิดภาษากลาง
ความต่างทางเผ่า ความเชื่อใจ รวมไปถึงรูปลักษณ์ ความสงสัย ความไม่เข้าใจ
สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแปรที่ทำให้พวกเขาถืออาวุธเข้าห้ำหั่นกัน
ท่ามกลางไฟสงครามอันร้อนระอุ มีเผ่าหนึ่งที่ถูกใครต่อใครเห็นพองต้องกัน ว่ามีความอันตรายมากที่สุดถือกำเนิดขึ้นมา
นั่นคือ [เผ่าปีศาจ]
***
“ในยุคนั้น— พวกเธอถูกทุกเผ่ารวมหัวมองว่าเป็นตัวอันตราย… มาคิดย้อนดูตอนนี้แล้ว— การที่ตอนนั้นเธอซึ่งมาบ้าคลั่งก่อสงครามไปทั่วทุกเผ่า แล้วมาจบลงด้วยน้ำมือของน้องสาวตัวเองเนี่ย มันใช่เป็นบทละครที่เธอจงใจวางเอาไว้ใช่ไหม? ”
“ไม่รู้สินะ~? ”
สตรีสาวปีศาจตอบด้วยรวยยิ้มที่ยียวนกวนใจ
เธอโค้งหัวขอนั่งข้างชายเผ่ามนุษย์อย่างมีมารยาท แล้วนั่งลงเพื่อเปิดบทสนทนาที่ดูจะยาวยืดนี้ต่อ
***
ในยุคสงคราม ณ เวลานั้น
ผู้ปกครองสูงสุดของเผ่าปีศาจมีเพียงคนเดียว
คือ ราชินีสีเงิน [แบนซี]
เธอทั้งสง่างาม แข็งแกร่ง แล้วยังบ้าคลั่ง
ไม่สนความพยายามในการกอบกู้สันติภาพของแต่ละเผ่า แล้วเริ่มดำเนินการก่อสงครามชนิดไม่สนใจสิ่งใด
แถมยังเก่งกาจระดับไม่มีเผ่าใด ๆ สามารถหยุดเธอเอาไว้ได้
ท่ามกลางความวุ่นวายของสงคราม ณ เวลานั้น ได้มีสตรีเผ่าปีศาจอีกคนลุกขึ้นมาต่อต้าน
เธอสังหารผู้นำปีศาจในเวลานั้นด้วยพลังที่เหนือกว่า
สยบผู้นำที่บ้าคลั่ง แล้วเข้าร่วมเป็นหนึ่งในบรรดาพันธมิตรระหว่างเผ่าพันธุ์กับดวงดาว
ซึ่งสตรีผู้นั้นยังคงมีชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน
ราชินีเผ่าปีศาจหรือในอีกฉายาอย่างเป็นทางการว่าราชินีแวมไพร์
[แวม แวม ชาร์สเซอร์]
***
“ประวัติศาสตร์มันว่าเช่นนั้น ช่างน่าเศร้านักที่ประวัติศาสตร์ไม่ได้พูดถึงเผ่ามนุษย์ดวงตาสีฟ้า ผมสีน้ำตาลทองอีกคน ที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้น ร่วมต่อสู้กับน้องสาวของเราในการฆ่าเราด้วย”
“ผมไม่ติดใจอะไรในเรื่องนั้นหรอกครับ”
ชายเผ่ามนุษย์ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ที่ผมติดใจคือเรื่องราวหลังจากนั้นมากกว่า เพราะหลังจบสงคราม เด็กสาวที่ชื่อแวม แวม ก็เริ่มขยับขยายเผ่าพันธุ์ตัวเอง พอรู้ตัวอีกที เธอก็มีอำนาจระดับขึ้นเป็นผู้ปกครองของทวีปแห่งหนึ่งได้แล้ว”
ราวกับ— ทุกเหตุการณ์ในสงครามครั้งนั้น มันถูกปูทางมาเพื่อให้เด็กสาวที่ว่าถูกมองเป็นฮีโร่
ปูพรมสีแดงเตรียมการเอาไว้ เพื่อให้เธอได้เป็นผู้นำทวีป—
“คุณรู้อะไรไหมครับ ในยุคสงครามตอนนั้น ไม่มีใครรู้กันเลยสักคนว่าพวกคุณเป็นพี่น้องกัน จนกระทั้งเธอคนนั้นพูดออกมาเองในยุคที่เธอมีอำนาจล้นพ้นแล้ว ราวกับว่ายังรักพี่สาวที่เป็นวายร้ายนะครับ”
“ยัยเด็กโง่นั่น… ก็ว่าอยู่ว่าทำไมประวัติศาสตร์ถึงถูกเขียนว่าพี่น้องฆ่ากันเพื่อยุติสงคราม… จะพูดเรื่องนี้ออกไปกันทำไมเล่า? ”
สตรีเผ่าปีศาจบ่นอุบกับตัวเอง
แต่ทว่าริมฝีปากของเธอกลับมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้า
” ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ทัศนคติคนยุคนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่มีใครจะมามัวระแวงเผ่าแวมไพร์อีกต่อไปแล้ว แถมทฤษฏีสมคบคิด ก็คือทฤษฎีวันยังค่ำ คนยุคนี้ไม่มีใครคิดจะเชื่อจริงจังหรอกครับ”
“นั่นสินะ ฮุ ฮุ ฮุ”
พวกเขากำลังหัวเราะร่วน
เป็นการหัวเราะของเพื่อนสนิทเก่าแก่เช่นนั้น
” ส่วนอีกเรื่องที่ผมยังสงสัยคือ… ทำไมคุณถึงรอดตายมาได้ครับ? ผมจำได้ว่า ผม– กับน้องสาวของคุณ เป็นผู้ที่ฆ่าคุณไปกับมือแล้วนี่ครับ? ”
” ก็เคยได้ตายจริงแล้วนะสิ”
สตรีปีศาจยิ้มให้กับใบหน้าที่กำลังชวนงุนงงของอีกฝ่าย
เธอนำนิ้วที่เรียวยาวมาลูบลงบนริมฝีปากของอีกฝ่าย ว่าอย่าพึ่งได้ยิงคำถามอะไรออกมาเพิ่ม
” เจ้า— เชื่อเรื่องเทพเจ้าทั้งสามผู้สร้างโลกไหม? ”
” กระผมไม่เชื่อในเทพเจ้าเท่าไหรครับ แต่เชื่อเรื่องโลกหลังความตายนะครับ”
” เราผู้นี้ก็ไม่เชื่อ จนกระทั้งวันที่ได้ตายไป”
เธอยิ้ม
แต่คราวนี้เป็นรอยยิ้มที่ดูเคียดแค้น
“เจ้าเคยคิดไหม ว่าทำไมจักรวาลที่กว้างใหญ่ ดวงดาวนับล้าน กลับมีรูหนอนปรากฏเพื่อเชื่อมแต่ละเผ่า มารวมที่ดาวดวงนี้เพียงดวงเดียวกันได้เล่า? ”
” เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติยังไงละครับ”
” ใช่ [ปรากฏการณ์ธรรมชาติ] ที่บังเอิญอย่างน่าตกใจเสียด้วย”
เหตุบังเอิญไม่มีในโลก
ทุกอย่างล้วนแต่เกิดจากการกระทำของตัวตนที่มีอยู่จริง
” โลกนี้มีเทพเจ้า และตัวเราได้เจอกับพวกมันมา ณ โลกหลังความตายมาแล้ว”
***
สตรีปีศาจเริ่มเล่าเรื่อง—
เมื่อ 101 ปีก่อน
หลังสิ้นสงคราม วิญญาณของเธอได้ตายลง ณ ใจกลางสนามรบ
เธอจงใจใช้ตัวเองให้เป็นอาชญากรรม เจ้าแห่งวายร้าย เพื่อปลุกปั้นสร้างฮีโร่ขึ้นมาในใจของทุกเผ่าพันธุ์
ศัตรูของศัตรูย่อมคือมิตรแท้
ความเสียสละของเธอเป็นสิ่งที่น่าประชดประชัน เพราะความตายจากหลายชีวิตในสงคราม ได้กลายเป็นรากฐานแห่งสันติภาพในเวลาต่อมา
เรื่องราว เหมือนควรจะจบเพียงแค่นั้น—
“ขอกินวิญญาณเข้าไปละนะ”
“ขอบคุณที่ดิ้นรน เต้นรำ สร้างเวทีสงครามแสนสนุกขึ้นมาให้พวกเราได้รับชม”
วิญญาณของเธอไม่อาจได้ไปเกิดใหม่
เธอได้รู้ความจริงของเบื้องลึกของโลก
รู้ว่าโลกใบนี้ไม่ได้รับอิสระ
รู้ว่าเทพเจ้าจงใจสร้างโลกนี้ให้โหดร้าย เพื่อรับชมการดิ้นรนของสิ่งมีชีวิตเป็นความบันเทิง
รู้ว่าเทพเจ้าจงใจสร้างเส้นทางเชื้อเชิญให้หลายเผ่าพันธุ์มาพบเจอ แล้วจุดชนวนสร้างสงคราม
“ปลายทางของของเล่น คือการถูกเทพเจ้าผู้สร้างโลกกลืนกิน เก็บกักขังเอาไว้เป็นเพียงแค่สิ่งของเท่านั้น”
สตรีปีศาจเล่าต่อไป โดยไม่สนใจสีหน้าของฝ่ายชาย ที่กำลังย่นคิ้วเข้าหากันอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“รู้อะไรไหม? หลังจากที่ตายไป วิญญาณจะถูกหลุดไปอีกมิติที่เหนือกว่า ที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตที่พวกเราเชื่อว่าเป็น [เทพเจ้า] พวกมันทั้งจับพวกเราเป็นของเล่น จับขังไว้ในคริสตัลอันมืดมิด ไม่ได้ผุด ไม่ได้เกิด เวลาหยุดนิ่ง เป็นได้เพียงแค่สิ่งของ ของพวกมัน!”
เธอกำหมัด!
กำ— แล้วคลายออกในเวลาต่อมา
” จนกระทั้งวันแห่งโชคชะตาได้มาถึง”
วันนั้น– ได้เกิดแผ่นดินไหว
กรงคริสตัลที่กักขังเธอได้แตกพังทลาย จากภัยธรรมชาติในแดนคนตาย
” เราได้รับอิสระ รวมไปถึงวิญญาณร่วมชะตากรรมอีกหลายคน และนั่น คือสาเหตุที่เราหาทางกลับมาจุติ เกิดใหม่ได้อีกครั้งบนโลกใบนี้ พร้อมกับพรรคพวกที่เคียดแค้นเทพเจ้า!”
เธอพูดมันออกมาหมด
“ข้าฝึกพวกมันให้กลายเป็นวิญญานแค้น!”
“ทั้งแอบเข้าฝันเผ่าปีศาจตนหนึ่ง ที่มีความปรารถนาผิดเพี้ยนต่อน้องสาวข้า! แล้วหลอกมัน ชี้นำมันให้สร้างองค์กรแห่งความวิปริต [คาร์นิวอย] ขึ้นมา!”
” ทั้งปลอมตัวเป็นนักสำรวจใกล้ชิดคนมีแวว ฝึกฝีมือมัน— แล้วทรยศ เพื่อสร้างนักฆ่าผู้โดดเดี่ยวมาใช้งานให้กับองค์กร! ”
” สร้างเวทีอันเหมาะสม ที่จะก่อความวุ่นวายในเชิงมิติ สร้างโลกที่เอื้อต่อการเกิดภัยพิบัติทางวิญญาณ!”
” ทั้งหมด — ก็เพื่อดึงเทพเจ้า ให้ลงมาเดินดินบนเวทีเดียวกับพวกเรา!”
สตรีเผ่าปีศาจพูดออกมาหมดสิ้นซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง
เธอพูดมันออกมา ราวกับเป็นการระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจมานาน
พูด– และเล่าขาน เพื่อให้ใครสักคนได้ฟังมันเอาไว้
“…”
“อะไร? ทำหน้างี่เง่าแบบนั้นออกมา แปลว่าไม่เชื่อที่เล่าให้ฟังสินะ?
“คือมันออกจะเชื่อยาก… ”
ชายเผ่ามนุษย์พูดด้วยสีหน้าอมขำแห้ง
แต่ถึงจะพูดออกไปเช่นนั้น
“… แต่ผมกลับรู้สึกว่าคำพูดของคุณ มันมีน้ำหนักสูง ว่าเป็นความจริง— โลกหลังความตาย— เทพเจ้า— อย่างงั้นสินะครับ? ”
คราวนี้เป็นชายเผ่ามนุษย์ที่เริ่มเอยปากพูด
“รู้ไหมว่าความจริงผมเป็น”
“เป็นหัวหน้าสูงสุดของตำรวจสากล พอจะเดาได้อยู่แล้วละ ก็เราจงใจปล่อยข้อมูลออกไปเอง ดังนั้นคนที่นั่งอยู่ในโบสถ์เวลานี้ แล้วเข้ามาหยุดเราเอาไว้ มันคงเป็นใครคนอื่นไม่ได้หรอก”
“.. ใช่ครับ ผมมาดักที่นี่ วันนี้ ก็เพราะเดาว่าอาจมีตัวการใหญ่ยิ่งกว่า บาร์-ธา-ซ่าร์ อยู่อีก แต่แค่นึกไม่ถึงว่าคน คนนั้นจะเป็นคุณ รู้ไหมว่าตอนแรกที่เห็นคุณโผล่ออกมา ผมถึงกับต้องตบหน้าตัวเองหลายครั้ง ว่าไม่ได้ฝันไปนะครับ”
” ฮึ— แล้วแกจะเอายังไง? จะจับไหม? ”
” เออ… ไม่ละครับ ผมยังไม่อยากตาย”
ชายเผ่ามนุษย์ว่าเช่นนั้น พร้อมกับยกสองมือขึ้นมาเหนือหัวตัวเอง
” นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงเชื่อว่าสิ่งที่คุณพูดออกมาคือความจริง ต้องขอบคุณชีวิตที่อยู่มานานเพราะร่างกายที่สร้างดัดแปลงมานี้ เลยทำให้พอจะมีเซ้นส์แหลมคมพอสมควรนะครับ”
เขาพูด แล้วชำเลืองสายตามองไปทางสตรีปีศาจ
“บอกตามตรง ด้วยศักดิ์ศรีของตำรวจสากล ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตเดินดินเหมือน ๆ กัน ผมคงสู้จนตัวตายเพื่อปกป้องคนบริสุทธิ์ แต่กับคุณ… ที่แผ่ไอบรรยากาศแปลก ๆ ออกมา แถมยัง—”
ในนัยตาสีฟ้าของชายผู้พูด มีเงากำลังสะท้อนอยู่ในดวงตา
มันคือเงาของสตรีปีศาจ
เงา— ที่กำลังต่อสู้กับชายคนหนึ่งอยู่
MANGA DISCUSSION