*เพล๊ง—*
เสียงทุบกระจกดังขึ้นอย่างเงียบเชียบภายในห้องสมุดของคฤหาสน์ทรงโบราณ
เศษแก้วหล่นกระจายไปทั่วพื้นไม้ที่ถูกตีเป็นชั้นลอยอยู่ภายในห้องขนาดใหญ่
แต่ทว่ากลับไม่มีใครในคฤาหสน์ สามารถได้ยินเสียงของผู้บุกรุกทั้งสี่ที่กำลังปีนผ่านหน้าต่างเข้ามาได้เลยแม้แต่คนเดียว
[ไม่รู้สึกถึงกับดักในห้องนี้ ไม่มีศัตรูด้วย ปลอดภัยค่ะ! (^_^) /]
สตรีผมสีฟ้าชูป้ายข้อความขึ้นสูง พอที่จะให้ผู้บุกรุกทั้งสี่คนมองเห็น
“แมรี่โกลว์ ฝากซ่อมกระจกที”
“ได้เลย~ ด้วยอำนาจบัญชาแห่งสวรรค์ ขอสั่งการรังสรรค์สร้าง จงดลบันดาลซ่อมกระจกบานนี้ด้วยเถิด~”
สตรีผมแดงกล่าวร่ายอาคมด้วยน้ำเสียงที่องอาจ ก่อนจะบินเข้าไปใกล้เศษกระจก
เธอใช้มือเล็ก ๆ ของเธอบรรจงหยิบเศษกระจกขึ้นมาวางเรียงบนบานที่แตก แล้วใช้พลังภูติหลอมเศษแก้วด้วยความร้อนสูง พร้อมกับสร้างแรงกดอากาศบีบอัดมวล ทำการเชื่อมด้วยแผ่นฟิลม์บาง ๆ อย่างรวดเร็ว
ถึงจะดูไม่เรียบร้อยเหมือนเดิมเพราะรูปลักษณ์งานฝีมือราวเด็กประถมของภูติน้อย แต่ถ้าหากไม่ได้มองในระยะใกล้ ก็คงไม่รู้ว่าเคยมีคนทำลายมันทิ้งไปแล้วครั้งหนึ่ง
“ทั้งการสร้างพื้นที่สูญญากาศเพื่อปิดกั้นเสียงกระจกแตก ทั้งการซ่อมกระจกเฉพาะหน้า ดูคุ้นชินกับมันมากเลยนะพวกเธอเนี่ย? ”
“แบบว่าพอดีพวกเราชอบย่องหนีออกจากโบสถ์ยามวิกาลกันบ่อยนะ”
“ถูกต้อง~”
พอได้ยินแบบนั้น บุรุษหนุ่มก็อดที่จะถอนหายใจยาวออกมาไม่ได้
เขามีคำถามมากมายที่อยากถามพวกสามสาวตรงหน้า
ทั้งเรื่องของแสงประหลาด
ทั้งเรื่องของความเป็นอมตะของพวกชาวบ้าน
แล้วยังลักษณะความคุ้นเคยที่ดูพวกเธอจะคุ้นชินกับสถานะการณ์แบบนี้เป็นอย่างดี
ตกลงสิ่งที่เขาได้เห็นและกำลังเผชิญหน้าอยู่ มันคืออะไรกันแน่?
“ (แต่จะให้ถามออกไปตอนนี้ คงยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมหรอกมั้ง) ”
เพราะดูแล้วพวกเธอคงไม่ยอมตอบคำถามของเขามาตรง ๆ …
ออน-เอ็ซท คิดเช่นนั้น แล้วหันไปมองดูสภาพของห้องที่พวกเขาเสียมารยาทบุกรุกเข้ามา
มันคือห้องสมุด
เป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มีด้วยกันถึงสองชั้น
พื้นและระเบียงชั้นลอยถูกสร้างจากไม้เนื้อแข็งที่มีสีดำ ลงเงาจนมันเป็นผิวกระจก เข้าคู่กับผนังปูนหยาบที่ปิดล้อมพื้นที่ห้องทรงหกเหลี่ยม
ตามเพดานมีเครื่องปรับอากาศ ส่งเสียงทำงานอย่างเงียบเชียบ ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นอย่างเหมาะสมแก่การเก็บรักษา
ห่างจากริมหน้าต่างในระยะแสงส่องไม่ถึง มีตู้หนังสือซึ่งอัดแน่นไปเนื้อหาชวนง่วง จัดเรียงวางอย่างเป็นระเบียบจนชวนให้รู้สึกตาลาย
“เป็นห้องที่รู้สึกได้ ว่าถ้าจะมีข้อมูลสักอย่าง คงต้องใช้เวลาเปิดหาเป็นเดือนแน่”
เขาบ่นกับตัวเองไประหว่างที่กวาดสายตา
แค่เห็นจำนวนหนังสือ ก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว…
” ไม่จำเป็นต้องค้นทุกตู้หรอก”
ตำรวจหนุ่มหันไปมองตามเสียงที่ดังขึ้น
ภายในดวงตาของเขา กำลังสะท้อนภาพของสตรีร่างบางที่มีขนนกสีเหลืองหุ้มกาย
เธอคนนั้นเดินตรงไปที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่
โต๊ะตัวนั้นตั้งอยู่ตรงมุมด้านในสุดของห้อง
มันเต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์ กับเครื่องเก็บข้อมูลขนาดสูงสี่เมตรวางตั้งสุมกองเอาไว้
ในตอนแรก ตำรวจหนุ่มนึกว่าสุภาพสตรีสีเหลืองคงจะค้นหาข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์
แต่ทว่าเธอคนนั้นกลับก้มหายไปที่ใต้โต๊ะไม้ตัวหรู
เกิดเสียงเสียดสีระหว่างผิวไม้ที่ถูกดึง ก่อนจะตามด้วยเสียงพลิกกองกระดาษที่เพียงแค่ฟัง ก็ทำให้นึกถึงโต๊ะทำงานอันน่าเบื่อหน่าย
“มีจริง ๆ ด้วย บันทึกไดอารี่ของวีรบุรุษ [เอซ] ”
“โชคดีเกินไปไหมนั่น!?! ”
“แล้วไม่ดีหรอกเรอะ? นี่ยังคิดเลยว่าถ้าหาของที่ว่าไม่เจอ ฉันจะตัดใจ แล้วลองหาแผนการอื่นปราบศัตรูแทน ใครมันจะบ้ามาเสียเวลาค้นข้อมูลที่กองเท่าภูเขากันยะ? ถ้ามัวแต่ชักช้า เดียวชีวิตที่ควรจะช่วยได้ ก็พลานจะช่วยไม่ได้กันพอดีสิ”
“นั่นมันก็จริงอยู่ครับ… เดียวนะ? นี่พวกเธอเป็นห่วงชีวิตของยักษ์พวกนั้นด้วยหรือครับ? ”
” เสียมารยาท! ถึงจะเห็นพวกเราทำเป็นเย็นชาใส่ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับใจร้ายทิ้งคนที่ร่วมเดินทางกันมาได้ลงคอหรอกนะ”
นกน้อยผมทองตอบเขาเช่นนั้น
” (ใจดีกว่าที่คิดแฮะ เป็นพวกปากพูดไม่ตรงกับใจอย่างงั้นหรอกเรอะแม่นกน้อยคนนี้?) ”
ดูเหมือนคุณค่าความเป็นคนของแม่นกน้อยสีทองในสายตาของตำรวจหนุ่ม จะเพิ่มสูงขึ้นมากทีเดียว
“มัวยืนบื้ออยู่ได้ ไม่อยากรู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับคฤหาสน์หลังนี้? ”
“อ๊ะ? ครับ! ”
ผู้บุกรุกทั้งสี่คนกำลังเข้ามายืนล้อมวงรอบโต๊ะไม้ตัวใหญ่
กลิ่นของกระดาษที่อายุยาวนานกว่า 80 ปี กำลังส่งกลิ่นไม่พึ่งประสงค์โชยออกมาจากกระดาษแผ่นบางที่พลิกเปิด จนพวกเขาต้องย่นจมูกลง
ด้วยอายุของเครื่องใช้ จึงไม่แปลกที่มันจะส่งกลิ่นชวนให้อยากเบือนหน้าหนีขนาดนี้…
พวกเขาเริ่มกางบันทึกเล่มหนาอย่างระมัดระวัง ราวกับระแวงว่าหน้ากระดาษจะขาดออกมา
เปิดผ่านหน้าแรกที่ถูกเขียนด้วยลายมือสุดแสนจะอ่านยาก
เปิดผ่านหน้าที่สอง ที่บันทึกเนื้อหาแผนผังตระกูลที่ดูไม่มีข้อมูลสำคัญอะไร
เปิดผ่านหน้าที่สาม ไปจนถึงหน้าที่หนึ่งร้อย ที่บันทึกแต่เรื่องไร้สาระตั้งแต่จำความได้ จนถึงเข้าเรียน
แล้วพวกเขาก็ได้มาหยุดลงตรงหน้าที่สามร้อย
หน้าที่มีตัวคั่นระบุเอาไว้ว่า
[บันทึกงานวิจัยวิญญาณของเอซ]
***ณ ปีประวัติศาสตร์ที่ 23
ณ ช่วงเวลาที่ลูกทั้งสองของวีรบุรุษกับวีรสตรีสงครามเผ่ามนุษย์ ยังไม่ได้ถูกเรียกขาน ว่าเป็นวีรสตรีกับวีรบุรุษผู้บุกเบิกดินแดน
ณ ช่วงเวลาที่โลกใบนี้ ยังพึ่งมีการบันทึกหน้าประวัติศาสตร์โลกได้เพียง 23 ปี
ณ ช่วงเวลาที่โลกใบนี้พึ่งถูกค้นพบเพียงแค่สองทวีป
บนเนินเขาแห่งหนึ่งของทวีปเทวภูมิ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามนุษย์สัตว์
“พี่เอซ ตอนนี้พวกเราเรียนจบแล้ว จะเอายังไงกับชีวิตต่อดีคะ? ”
“นั่นสินะ—”
สองพี่น้องผู้สืบสายเลือดของวีรบุรุษกับวีรสตรีเผ่ามนุษย์ กำลังยืนคุยกัน ท่ามกลางสายลมทะเลที่พัดเข้าหาเนินทุ่งหญ้าสีน้ำตาล
“แล้วเธอละน้องรัก? ไม่คิดไปกับพวก [ลิลลี่] กับพวก [พรุน] หรือยังไง? เห็นสนิทกันดีเลยไม่ใช่หรอกเรอะ? ”
“เคยคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน แต่คิดอีกที คิดว่าคงปล่อยพี่ชายไปคนเดียวไม่ได้หรอก”
บุรุษที่ถูกเรียกว่าพี่ชาย คือชายที่มีผิวสีคล้ำอมน้ำตาล ใบหน้าเข้ม ดวงตาคมสีดำ
เขามีนามว่า [เอซ] ชายผู้ที่จะกลายเป็นผู้บุกเบิกทวีปออโรร่า แล้วกลายเป็นวีรบุรุษรุ่นที่สองของเผ่ามนุษย์ในอนาคตอันใกล้
“แต่ทางที่พี่เลือกมันอันตรายมากเลยนะ”
“เพราะแบบนั้น พี่ถึงต้องมีคนคอยระวังหลังให้ยังไงละคะ ตั้งใจจะออกไปบุกเบิกทวีปใหม่พร้อมกับทำวิจัยบ้า ๆ ของพี่ไปพร้อมกัน ไม่มีทางทำคนเดียวได้อยู่แล้วค่ะ”
คนที่ถูกเรียกว่าพี่ชายหันกลับมามองน้องสาวของตัวเองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
เขากำลังรู้สึกแปลกใจที่น้องสาวของตัวเอง เลือกจะมาเดินเส้นทางเดียวกับกับเขา
ภาพของสตรีผมสีดำ ใบหน้าคม ดวงตาอ่อนหวานแลดูอ่อนโยน ที่กำลังสะท้อนอยู่ในดวงตาของเอซ คือภาพของสตรีที่มีนามว่า [ดิวซ์]
[ดิวซ์] สตรีที่จะกลายเป็นผู้บุกเบิกทวีปออโรร่า แล้วกลายเป็นวีรสตรีรุ่นที่สองของเผ่ามนุษย์ในอนาคตอันใกล้
“งานวิจัยบ้า ๆ อย่างงั้นเรอะ? นั่นนะคือความฝันของพี่เลยนะ”
“งานวิจัยบ้า ๆ ค่ะ เพื่อที่จะศึกษาความเป็นไปได้ของการมีตัวตนของ [วิญญาณ] ถึงกับทำเรื่องขออนุญาตจากรัฐบาลถือครองหุ่นกระป๋องเอาเองเออเอง จนกลายเป็นภาระที่ทำให้พี่ต้องแบกหนี้สินมหาศาล มากจนเกินกำลังพี่ในการดูแล แล้วทำให้พี่ต้องจำใจมาทำงานบุกเบิกที่มีค่าตอบแทนสูงแลกกับความอันตรายของงาน ถ้าไม่ให้เรียกว่างานวิจัยบ้า ๆ แล้วจะให้เรียกว่าอะไรดีกันละคะพี่? ”
“ว่าใครกันยะ! ”
ในตอนนั้นเองที่มีเสียงเล็กแหลมสูงดังแทรกบทสนทนาอย่างเป็นกันเองระหว่างสองพี่น้อง
สองพี่น้องต่างหันไปมองต้นเสียงเล็กแหลมสูงที่น่ารักน่าชัง
ที่ด้านหลังของพวกเขา มีมนุษย์สัตว์ทั้งหมดห้าคนกำลังยืนรออย่างสุภาพ
พวกเธอล้วนต่างมีรูปโฉมงดงาม และสวมชุดเมดสีดำไม่ต่างกัน
ที่แตกต่าง มีเพียงแค่สายพันธุ์ย่อยของเผ่ามนุษย์สัตว์เท่านั้น
คนหนึ่งเป็นเผ่ากระต่าย ผมสีเงิน ดวงตาสีเงิน
คนหนึ่งเป็นเผ่าแรคคูณ ผมสีคราม ดวงตาสีแดง
คนหนึ่งเป็นเผ่าหมี ผมสีคราม ดวงตาสีแดง
คนหนึ่งเป็นเผ่าเสือ ผมสีคราม ดวงตาสีแดง
คนหนึ่งเป็นเผ่าหนู ผมสีเงิน ดวงตาสีเงิน
เมดสาวทั้งห้าคนนั้นมีรูปโฉมที่งดงามมาก ราวกับไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติสร้าง แต่เป็นสิ่งที่เหมือนถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจ
ทว่ารูปโฉมที่งดงามนั้นกลับมัวหมองด้วยใบหน้าที่เย็นฉา ประหนึ่งดุจเป็นน้ำแข็งที่ไร้ก้นบ่อ
“มาว่าเป็นหุ่นกระป๋องกันได้ยังไงยะ! เอซ! นายนะรู้จักสั่งสอนน้องสาวตัวดีให้มีมารยาทมากกว่านี้ทีเถอะ! ”
มีเพียงแค่เผ่ามนุษย์หนูเพียงคนเดียว ที่ดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าใครในกลุ่มของสาวงามกลุ่มนี้
“ฮะ ฮะ ฮะ [กรีด] วีนแตกอีกแล้วเห็นไหม? ”
“เธอคนนี้ก็วีนได้กับทุกเรื่องนั่นละพี่”
สองพี่น้องหันไปมองกรีดอีกครั้ง แล้วหัวเราะให้กับปฏิกิริยาตอบสนองของเธอ
โดยเฉพาะกับตัวคนพี่ชาย ที่สายตาของเขาเวลามองไปหากรีดนั้น จะแลดูมีความอ่อนโยนมากขึ้นเป็นพิเศษยิ่งกว่าใคร
เอซเดินเข้าไปขยี้หัวของกรีดจนผมยุ่งไม่เป็นทรง
ทว่าทั้งที่ถูกขยี้จนเส้นผมที่อุสานั่งหวีนานนับครึ่งชั่วโมงพังไม่เป็นท่า เธอกลับไม่แสดงท่าทีรังเกียจหรือโกรธออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
กลับกันแล้ว ใบหน้าของเธอยังดูมีความสุข ที่ได้ถูกทำเหมือนเป็นเด็กมากกว่าเสียอีก
“…แต่ที่น้องสาวนายพูดมันถูกต้องอยู่นะ นายไม่จำเป็นต้องเสี่ยงตายเพื่อที่จะหาทางคืนสภาพอัตตาให้กับพี่น้องของฉันหรอก มันน่าจะมีวิธีอื่นอยู่ไม่ใช่หรือ? ”
“ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้น ผมที่ได้พูดออกไปแล้วว่าจะหาทางช่วยพี่น้องของเธอ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ผมก็ต้องหาทางช่วยให้ได้ อีกอย่าง การสำรวจทวีปใหม่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลยสักนิด ออกจะรู้สึกสนุกเสียด้วยซ้ำ”
“… พูดจริงนะ? ”
เอซไม่ตอบกรีดในทันที
เขานำมือข้างขวาเสยผมสีเงินของเธอ
ใช้นิ้วทั้งห้าเลื่อนไปตามเส้นผม ลงมาหยุดตรงที่แก้มสีชมพูอ่อน แล้วใช้นิ้วชี้ของเขาเสยเส้นผมของเธอขึ้นมา เพื่อเปิดให้ดวงตาซ้ายของเธอสามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“พูดจริงสิ”
ก่อนจะหยอดคำหวานออกไปเช่นนั้น
*** [บันทึกไดอารี่ของเอซ] ***
ปีประวัติศาสตร์ที่ 20
ผม [เอซ] ลูกชายของ [เอรีส] กับ [แอร์บาส์ร]
ปีนี้คือปีที่ผมได้พบกับเรื่องราวอันน่าตื่นเต้น เท่าที่เคยได้รับมาในชีวิต
ทวีปบ้านเกิดของผมคือทวีป [คริสตัล] ทวีปที่มีความเชื่อกันว่าเป็นทวีปแรกเกิดของทุกชีวิตบนดาวดวงนี้
เป็นปีที่พวกเราได้ค้นพบทวีปใหม่ [เทวภูมิ] หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า [ดรีมแลนด์]
ที่ทวีปแห่งนี้พวกเราได้พบกับอารยะโบราณ กับเผ่าพันธุ์ใหม่ที่มีชื่อเรียกตัวเองว่า [เผ่ามนุษย์สัตว์]
การพบเจอกันของสองทวีป ทำให้พวกเราได้รู้ ว่าโลกที่ตัวเองเคยรู้จักมันคับแคบเพียงใด
ที่ทวีป [เทวภูมิ] มีความเชื่อกับวิถีชีวิตแตกต่างกับพวกเราราวฟ้ากับเหว
พวกเขานับถือเทพเจ้า [โนอาร์] และบูชาซากโบราณที่ตัวเองไม่เข้าใจว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า
ในเวลานั้น ผม [เอซ] กับน้องสาว [ดิวซ์] ได้โชคดีมีโอกาสไปเยือนทวีปค้นพบใหม่ ในฐานะนักเรียนโควต้าแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างทวีป
มีหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในทวีปนั้น
มันเป็นช่วงชีวิตที่น่าจดจำ
ได้ออกผจญภัย
ได้พบเจอกับเพื่อนใหม่
รวมไปถึง—
ได้พบเจอกับคนรักที่ไม่ใช่สิ่ฃมีลีวิต
*** [บันทึกรายชื่อหุ่นยนต์โบราณ เพื่อนำมาศึกษาในโครงการ งานวิจัยวิญญาณของเอซ] ***
ปีประวัติศาสตร์ที่ 23
[กลัทโทนี่ย์] หุ่นยนต์สาวรับใช้ โมเดลเผ่ากระต่าย มีผมสีเงิน ดวงตาสีเงิน
อายุ : คาดว่ามากกว่า 1,000 ปี
สถานะ : โดนล้างข้อมูลหน่วยความจำ จากเหตุการณ์สงครามปลดแอกเผ่ามนุษย์สัตว์ในปีประวัติศาสตร์ที่ 20
[เอนวี่] หุ่นยนต์สาวรับใช้ โมเดลเผ่าแรคคูณ ดวงตาแดง ผมสีคราม
อายุ : คาดว่ามากกว่า 1,000 ปี
สถานะ : โดนล้างข้อมูลหน่วยความจำ จากเหตุการณ์สงครามปลดแอกเผ่ามนุษย์สัตว์ในปีประวัติศาสตร์ที่ 20
[ราธ] หุ่นยนต์สาวรับใช้ โมเดลเผ่าหมี ผมสีคราม ดวงตาแดง
อายุ : คาดว่ามากกว่า 1,000 ปี
สถานะ : โดนล้างข้อมูลหน่วยความจำ จากเหตุการณ์สงครามปลดแอกเผ่ามนุษย์สัตว์ในปีประวัติศาสตร์ที่ 20
[ลัซ] หุ่นยนต์สาวรับใช้ โมเดลเผ่าเสือ ผมสีคราม ดวงตาแดง
อายุ : คาดว่ามากกว่า 1,000 ปี
สถานะ : โดนทำลาย จากเหตุการณ์สงครามปลดแอกเผ่ามนุษย์สัตว์ในปีประวัติศาสตร์ที่ 20
[กรีด] หุ่นยนต์สาวรับใช้ โมเดลเผ่าหนู ผมสีเงิน ดวงตาสีเงิน
อายุ : คาดว่ามากกว่า 1,000 ปี แต่อายุสมองอาจมีไม่ถึง 15 ปี
สถานะ : รอดชีวิตจากเหตุการณ์สงครามปลดแอกเผ่ามนุษย์สัตว์ในปีประวัติศาสตร์ที่ 20
เป็นตัวอย่างสำคัญสำหรับโครงการวิจัย
สถานะพิเศษ : เธอคือคนรักของผม
***บันทึกปิดท้ายหน้า***
มนุษย์กับหุ่นยนต์สามารถแต่งกันได้หรือเปล่า?
ต่อให้พวกเราสองคนยอมรับ แต่คนรอบข้างคงไม่มีทางยอมรับ
ยิ่งทางรัฐบาลมีท่าทีปฏิบัติต่อพวกเธอเป็นแค่เครื่องมือล้ำค่า เพราะเป็นหุ่นยนต์ที่ขุดพบจากโบราณสถาน ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงที่การแต่งงานของพวกเราจะถูกขัดขวางโดยพวกผู้ใหญ่
ดังนั้นงานวิจัยวิญญาณของผมจึงมีความจำเป็น
มันไม่ใช่เพียงแค่เพื่อหาทางคืนสภาพอัตตาให้กับพี่น้องหุ่นยนต์ของพวกเธอ
ถ้าหากว่าผมสามารถพิสูจน์ได้ว่า [วิญญาณ] นั้นมีจริงและสามารถจับต้องได้
ถ้าหากว่าผมสามารถพิสูจน์ได้ว่า [หุ่นยนต์] สามารถมี [วิญญาณ] ได้
ผม… จะสามารถเพิ่มสถานภาพให้กับเธอ
ผม… จะสามารถแต่งงานกับเธอได้อย่างชอบธรรม—
MANGA DISCUSSION