***วันที่ 55 เกอเนรับส์ ปี 126 เวลา 38:00 น.***
ภายในห้องอาหารที่ตั้งอยู่บนยอดของต้นไม้ใหญ่ ตั้งอยู่แถบใจกลางเมืองหลวงของเผ่ามนุษย์นก
อาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านอาหารนั้น ถูกสร้างอย่างหรูหราในลักษณะสถาปัตยกรรมของรังนกที่บรรจงวางเรียงชิ้นส่วนโครงสร้างอย่างพิถีพิถัน
ถึงตัวอาคารจะสร้างจากกิ่งไม้ที่นำมาสุมอย่างดูน่ากลัว ไร้ซึ่งตะปูหรือปูนกาวเชื่อมยึดติด แต่มันกลับมั่นคงอย่างน่าเหลือเชื่อ
ทางเข้าของร้านถูกออกแบบอย่างหรูหรา ด้วยทางเดินจากภาคพื้นดินที่เป็นบันไดทอดตัวยาวลงไป กับทางเข้าที่ดูคล้ายกับท่าเทียบยาน สำหรับเผ่าที่บินได้มาร่อนบินลงจอด
มันเป็นทั้งอาคารรังนก เป็นหอคอยชมเมือง และเป็นสถานนี้เปิดรับจัดเก็บสินค้ายอด ซึ่งบริหารโดยหนึ่งในผู้ก่อตั้งคาร์นิวอย [แอมโฟเทอริกออกไซด์]
ทั้งที่ปกติอาคารหลังนี้จะถูกเปิดใช้งานและเต็มไปด้วยผู้คน แต่ทว่าวันนี้กลับดูบางตา เหลือเพียงแค่เผ่ามนุษย์นกสวมสูทสีดำ กลัดเข็มสีทองรูปกะทะทองแดง ยืนเรียงกันนิ่งราวกับเป็นรูปปั้นหินให้เห็นเท่านั้น
เผ่ามนุษย์นกที่ว่า กำลังยืนทอดตัวเป็นแถวเรียงตอนยาวคู่ขนานอยู่บนดาดฟ้าของอาคาร
เหนือขึ้นไปบนอากาศไม่ไกล มียานเหาะรูปทรงปลากระเบนจำนวนหนึ่งกำลังลอยลำลงมาจอดที่ปลายแถวต้อนรับ
เสียงอื้ออึงของเครื่องยนต์ที่ลงจอดได้ดังกระหึ่ม พร้อมกับที่สร้างกระแสลมแรงพัดปลิวว่อนกระจาย
หลังจากยานเหาะทั้งหมดได้นิ่งเงียบสนิท ผู้คนที่ติดมากับยานเหล่านั้นต่างเริ่มทยอยทอดขาเดินลงมา
[บาร์-ธา-ซ่าร์] ชายเผ่าปีศาจที่สวมหน้ากากสีขาว จนไม่มีใครรู้ใบหน้าจริงที่ซ่อนอยู่ข้างใต้
[ซิงเคไนต์] เผ่ามนุษย์สัตว์ – เสือ วีรบุรุษแห่งชาวประมงที่ก้าวเดินลงมาจากยานด้วยท่าที่อวดเบ่ง
[เดสตินี่ย์] เผ่ามนุษย์มด ชายร่างใหญ่ที่แสนชาญฉลาดด้านการเงินและการบริหาร ที่มักมาพร้อมกับบุรุษผู้คุ้มกันเผ่ามนุษย์ตัวเล็กอีกหนึ่งคน
“สวัสดีทุกคน! ไม่ได้มารวมตัวกันนานเลยทีเดียวครับ!”
ได้มีเสียงหนึ่งที่ฟังดูแหบแห้งดังขึ้น ในระหว่างที่บุรุษผู้นำแห่งคาร์นิวอยทั้งสามคนเดินผ่านแถวตอนรับ
ชายคนนั้นมีลักษณะที่หัวล้าน ขนปีกตามตัวเกรียนสั้น ดวงตาโปนน่าเกลียด จนทำให้มีภาพลักษณ์โดยรวมคล้ายกับอีแร้ง
เมื่อดูจากการแต่งตัวที่พยายามอย่างสุดชีวิตในการสวมชุดสูท กับน้ำหอมที่อาบตัวจนมีกลิ่นฉุนจมูก จึงทำให้รับรู้ได้ ว่าเขาต้องพยายามอย่างมากแค่ไหน เพื่อให้รูปลักษณ์ที่อัปลักษณ์ในแบบฉบับของเผ่ามนุษย์นกของเขา ให้ออกมาดูดีในสายตาของคนอื่น
“ไม่ต้องทำเป็นพิธีมากหรอก [แอมโฟเทอริกออกไซด์] วันนี้เป็นประชุมด่วน ไม่ได้จัดเป็นงานดื่มกินเหมือนทุกครั้ง รีบพาไปที่ห้องประชุมกันได้แล้ว เพราะตอนนี้เหลือกันแค่ 4 คน พวกเราควรจะต้องรีบหาข้อสรุปรับมือกับศัตรูให้ด่วนที่สุด”
ชายเผ่าปีศาจสวมหน้ากาก บาร์-ธา-ซ่าร์ พูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยแต่ให้ความรู้สึกที่หนักแน่น
พร้อมกันนั้น ความรู้สึกเศร้า หวาดกลัว กับความเครียด ก็เริ่มโถมโจมตีกลุ่มของพวกเขา
ผู้ก่อตั้งคาร์นิวอยในปัจจุบัน เหลือผู้รอดชีวิตอยู่เพียงแค่ 4 คนเท่านั้น…
ราวกับว่าการกระทำที่เคยสั่งสังหารเพื่อสนองการกินเนื้ออันวิปลาสของพวกตน กำลังย้อนกลับมาเล่นงานพวกเขาในรูปแบบของสิ่งที่เรียกว่า [บาปกรรม]
“ใช่! อย่างที่ บาร์-ธา-ซ่าร์ พูด! ต้องรีบเตรียมการรับมือ… ต้องแก้แค้นไอพวกตำรวจสากลพวกนั้น!”
แต่พวกเขาไม่เชื่อเรื่องบาปกรรมหรือพระเจ้า
เพราะถ้าปฏิหารย์ พระเจ้า หรือแม้แต่สิ่งลี้ลับมีจริง แล้วใยพวกเขาถึงยังไม่ตาย ทั้งที่ทำความชั่วมาตั้งมากมายถึงขนาดนี้?
การล่าเนื้อคนเพื่อกิน มันต่างจากการออกล่าสัตว์ของสัตว์ป่าอย่างไร?
คนที่ตาย มันก็แค่อ่อนแอเกินกว่าจะจัดการกับผู้ที่ถูกล่า มันก็เท่านั้น
พวกเขาเชื่อในความเป็นจริง เชื่อในกฏธรรมชาติ เชื่อมั่นในความแข็งแกร่ง!
“พวกเราแข็งแกร่ง ไม่น่ามีศัตรูที่ไหนเอาชนะพวกเราได้!”
ชายหน้าเสือพูด
“คนที่เป็นสายต่อสู้อย่างคุณ [ซิงเคไนต์] กับคุณ [แอมโฟเทอริกออกไซด์] อาจจะพูดได้ แต่ที่เหลือเป็นสายมันสมองนะครับ เพราะแบบนั้นผมเลยต้องมีคุณออนคอยอยู่ข้างกายตลอดเวลา แล้วถ้าไม่ลืม แม้แต่คุณ [ลาฟาเซีย] กับคุณ [เอลเดอร์เบอร์รี่] ต่างก็เป็นสายต่อสู้ด้วยกันทั้งคู่ พวกเขายังไม่รอดเลยนะครับ”
แต่ชายเผ่ามนุษย์มดคัดค้านอย่างเยือกเย็น
“จริงอยู่ว่ายัย [ลาฟาเซีย] ถูกฆ่าตาย แต่ไม่ใช่ว่าเจ้า [เอลเดอร์เบอร์รี่] ดันโชคร้ายตายไปเองหรอกหรือยังไง? ”
“ผมว่ากรณีของเคสคุณเอลเดอร์เบอร์รี่ ไม่น่าจะใช่การตายอย่างบังเอิญหรอกนะครับ เขาคนนั้นเป็นนักสู้ แต่เป็นพวกขี้ขลาดสุด ๆ ถ้ารู้ว่ามีอันตราย มีหรือชายคนนั้นจะเอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่เสี่ยงตาย ถ้าหากว่าไม่ใช่มีเหตุบังเอิญที่ทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวหนีไปได้นะครับ จริงไหมคุณ แอมโฟเทอริกออกไซด์? ”
“เจ้ามด นี่แกกำลังจะบอกว่าไอยักษ์โง่นั่นมันถูกพวกตำรวจสากลทำให้สลบ แล้วปล่อยทิ้งเอาไว้กลางเมือง เพื่อให้โดนพวกสัตว์ร้ายฆ่า ตามข่าวที่ออกมาอย่างงั้นเรอะ? ”
“ผมแค่คาดเดานะครับ”
ชายสองคนกำลังยืนถกกันถึงความเป็นไปได้ของความตายของสหายเผ่ายักษ์
“ให้ตายสิ… ถ้าไม่คิดที่จะเข้าไปข้างในอาคาร งั้นยืนประชุมกันตรงนี้เลยแล้วกันนะครับทุกท่าน? ”
เมื่อเห็นว่าสหายตัวเองกำลังเปิดประเด็นกันอย่างไหลลื่น บาร์-ธา-ซ่าร์ จึงถอนหายใจ แล้วเลิกความคิดที่จะไปหาที่นั่งแสนสบาย ที่กำลังรอพวกเขาอยู่ข้างในอาคารตรงหน้า
เขาหันหน้ากลับไปหาพรรคพวก แล้วดีดนิ้วให้สัญญาณบางอย่าง
ในตอนนั้นเอง ที่ลูกน้องเผ่าปีศาจของเขาสี่คน ได้แบกโลงศพไม้ลงมาจากยาน
“สิ่งที่พวกท่านกำลังสงสัยว่าความตายของพวกเรานั้นเกิดขึ้นจากฝีมือของใคร กระผมได้สั่งให้สายลับ อีกาดำ ไปสืบมาให้แล้วครับ”
บาร์-ธา-ซ่าร์ พูดด้วยเสียงอันดังที่มากพอจะกลบเสียงของสหายอีกสามคน
เขาเรียกความสนใจจากสหายที่เหลือ แล้วชี้ไปที่โลงศพไม้ซึ่งนำมาวางเอาไว้ในระยะสายตา
“โลงศพนี้ คือสิ่งที่อีกาดำไปพบเจอตรงฐานลับของ [คาร์] ที่ทวีปออโรร่า อย่างที่ทุกคนทราบกันครับ ว่าสุดท้ายสิ่งที่ทุกคนคิดว่า คาร์ ได้ตายไปแล้วนั้น— ใช่เขาตายจริงครับ แถมยังตายด้วยฝีมือของคนอีกด้วยครับ”
สิ่งที่เผยข้างในนั้น คือศพที่อยู่ในสภาพแห้งราวกับเป็นมัมมี่
เป็นศพ— ที่ตายมาได้หลายเดือนแล้ว
“ที่ผมนำศพของเขามาที่นี่ ก็เพราะอยากให้ทุกคนได้เห็นรอยแผลนี้ มันเป็นรอยแผลที่เกิดจากของมีคม แต่ดูหยาบ— แถมยังมีเศษขนนกสีเหลืองติดหล่นอยู่เล็กน้อยด้วยครับ”
“ขนนก? ”
“ใช่ครับ ซึ่งบางทีอาจจะเป็นของคนร้าย— นอกจากนี้ ทุกคนยังจำเหตุการณ์ความวุ่นวายในงานเลี้ยงบนเรือสำราญของคุณ [ซิงเคไนต์] ได้ไหมครับ? ตอนนั้นเหมือนจะเกิดจากนักบวชหญิงผมสีฟ้าใช่ไหมครับ? ”
“ใช่! ข้านะไม่มีวันลืมใบหน้าของนังนั่นอย่างแน่นอน! ยัยนั่นต้องเป็นคนเดียวกับที่เป็นข่าว นักบวช [ลาพิส] คนนั้นนั่นแหละ!”
“ใช่ครับ นั่นแหละคือจุดเชื่อมโยง— ผลจากการตรวจ DNA กระผมพบว่าขนสีเหลืองนี้เป็นของนักบวชผมสีเหลืองที่ชื่อ เอโซ ซึ่งเป็นเพื่อนกับนักบวชผมสีฟ้า [ลาพิส] ทีนี้ลองมานึกดูให้ดีนะครับ ทุกครั้งที่เกิดเรื่องวุ่นวายเกี่ยวกับองค์กรของเรา ไม่ว่าจะที่ทวีปออโรร่า ทวีปแห่งความแห้งแล้ง เมืองหลวงของเผ่ายักษ์ หรืออย่างแม้แต่จากเหตุการล่าสุดที่หมู่เกาะเทียม กระผมได้สืบพบว่า— ต้องมีพวกเธอกลุ่มนี้เข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ก็นำตัวเองไปอยู่ที่ทวีปแห่งนั้นอย่างบังเอิญเสียทุกครั้งครับ”
“พอพูดแบบนี้… จริงด้วยแฮะ”
“ทุกท่านไม่ใช่คนโง่ เรื่องบังเอิญไม่มีทางเกิดขึ้นซ้ำ ดังนั้น กระผมจึงอยากบอกว่า— ใช่แล้วครับ ผมกำลังคิดว่าตัวการที่จ้องเล่นงานองค์กรของเราในระดับลงมือฆ่า ไม่ใช่ตำรวจสากล แต่เป็นพวกเธอ นักบวชทั้งสามอย่างแน่นอนครับ”
ในเวลานั้นได้เกิดความเครียดแผ่กระจายไปทั่วกลุ่มผู้นำ
เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ต่างรู้ดีถึงความเก่งกาจของนักบวชที่เคยเป็นข่าวกลุ่มนั้นเป็นอย่างดี
พวกเขาได้เห็นความเก่งกาจของสามนักบวชแห่งวิหารเทพ ผ่านทางสำนักข่าวมากับตาของตัวเองแล้ว
ยิ่งโดยเฉพาะกับ ซิงเคไนต์ ที่เคยปะทะกับนักบวชผมสีฟ้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“ไม่ต้องกลัวกันขนาดนั้นก็ได้ครับ ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน แต่ทุกคนย่อมมีจุดอ่อนกันทั้งนั้นครับ”
“จุดอ่อน? ”
“ใช่ครับ”
บาร์-ธา-ซ่าร์ นำรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า
รูปถ่ายใบนั้นคือภาพของนักบวชหญิงชรา
“เทเรซ่า อมร่า เธอคนนี้คือคนที่เปรียบได้ดั่งเป็นพ่อแม่ของพวกเธอ”
ชายเผ่าปีศาจกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชวนขนหัวลุก
แม้แต่พวกเดียวกันที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ยังถึงกับขนลุกตั้งชันอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เป็นน้ำเสียงที่ไม่ใช่แค่เจือปนด้วยความรู้สึกด้านลบ แต่ยังเจือไปด้วยความรู้สึก [เคียดแค้น]
“มาใช้จุดนี้เป็นวิธีเล่นงานกลับนักบวชสามสาวกันเถอะครับ”
เขาพูดตบท้ายด้วยรอยยิ้มที่อยู่ใต้หน้ากาก
“แต่— จะให้โจมตีไปทั้งแบบนี้ โดยที่หลักฐานไม่แน่นพอ กระผมก็ว่าเสี่ยงไป เพราะตำแหน่งทางสังคมของคุณยักบวชเทเรซ่านั้นสูงมาก ดังนั้น ผมเลยอยากแนะนำ ว่าให้ใช้แผนที่สองจะดีกว่าครับ”
“แผนที่สอง? ”
“ใช่ครับ”
บาร์-ธา-ซ่าร์ กล่าว แล้วนำก้อนคริสตัล 7 สี ทรงกลมขนาดเท่าฝ่ามืออกมาให้ทุกคนดู
“นี่คือวัตถุที่ผมบังเอิญไปได้มาจากตลาดมืด เห็นว่าเป็นวัตถุอันตรายที่สามารถฆ่าได้แม้แต่สัตว์ระดับไคจูครับ”
“จะให้ใช้สิ่งนี้ฆ่ายัยพวกนั้นอย่างงั้นหรือ? ”
“ใช่ครับ และงานนี้ทุกคนต้องให้ความร่วมมือด้วย โดยเฉพาะกับคุณ แอมโฟเทอริกออกไซด์ ที่จะเป็นหัวใจหลักของแผนการพวกเราครับ”
บาร์-ธา-ซ่าร์ กำลังยิ้ม
“รบกวนคุณ แอมโฟเทอริกออกไซด์ วานเข้าร่วมแข่งงานประลอง [จ้าวเวหา] พร้อมกับพกเจ้าลูกคริสตัล 7 สี นี้ให้ทีจะได้ไหมครับ? ”
MANGA DISCUSSION