***วันที่ 53 เกอเนรับส์ ปี 126 เวลา 10:00 น.***
ณ ท่าอากาศยานในเมืองหลวงของเผ่ามนุษย์นก
บนทวีปแห่งความโกลาหลที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
ท่ามกลางไอภูเขาไฟ กับหมู่เมฆสายฟ้าคำรามที่มาพร้อมกับมหาพายุที่ตีกระหน่ำอย่างบ้าระห่ำ
ในจุดที่สูงที่สุด บนยอดเขาแห่งหนึ่งตรงพื้นที่ใจกลางทวีป มีพื้นที่สงบซึ่งปราศจากสิ่งเหล่านั้นตั้งปรากฏอยู่
พื้นที่แห่งนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากคลื่นพายุร้าย
ตั้งอยู่ที่สูง แทงทะลุหมู่เมฆา พ้นเหนือกลุ่มควันพิษรบกวนจากภูเขาไฟ
หลุดเหนือผลกระทบจากภัยทั้งปวงของโลกเบื้องล่าง ไร้ซึ่งความกังวลต่ออันตรายใด ๆ
เพราะพื้นที่แห่งนั้นมิได้ตั้งอยู่บนพื้นที่ผิวดิน
มันไม่ใช่พื้นดิน แต่เป็น “ต้นไม้”
เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ลอยตัวอยู่เหนือหมู่เมฆาอันมีนามว่า [อาเวล ทรี]
ต้นไม้พวกนั้นช่างดูแปลกประหลาด
รูปร่างของมันมีขนาดใหญ่ จนอาจมองได้ว่าเป็นผืนทวีปขนาดยักษ์
มีลักษณะทรงรีแบนคล้ายลูกรักบี้ ที่หุ้มด้วยเปลือกไม้กับใบพืชหนา และมีรากไม้ห้องโยงยาวลงมาตามแรงโน้มถ่วง ทะลุเมฆขาวลงไปหยั่งพื้นโลกเบื้องล่าง
รากพวกนั้นถูกยึดโยงกับพื้นดินเหมือนกับเป็นแค่สมอเรือที่ปักหัวลงใต้ท้องมหาสมุทร
ไม่ได้ยึดติด ไม่ได้ผูกพันฝากชีวิตกับผืนดิน ทำเพียงแค่ทำให้ไม่ลอยบินไปไหนต่อไหน และอาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาไฟอันแปลกประหลาด ซึ่งมีสนามแม่เหล็กแรงสูงแผ่ออกมา
ตัวต้นไม้นั้นถูกหุ้มด้วยเปลือกหนา อันเกิดจากการรวมตัวของโพรงเปลือกแข็งที่บรรจุอัดแน่นไปด้วยเยื่อเซลล์ประหลาด ที่คอยส่งกระแสไฟฟ้าแรงสูงแลกเปลี่ยน จากโพรงหนึ่งไปสู่อีกโพรงหนึ่ง
ไฟฟ้าแรงสูงที่แลกเปลี่ยนระหว่างโพรงของมันนั้น นอกจากจะทำหน้าที่ในการถ่ายโอนพลังงานเพื่อเลี้ยงชีวิตแล้ว ยังคอยช่วยในการสร้างสนามแม่เหล็กอีกด้วย
เจ้าพืชประหลาดยักษ์ได้ใช้ประโยชน์จากสองสิ่ง ทั้งจากแรงสนามพลังงานจากตัวมันเอง และแรงสนามพลังงานจากภูเขา ในการทำให้ตัวของมันลอยสูงขึ้นเหนือพื้นดิน เพื่อหลีกหนีจากภัยธรรมชาติอันวุ่นวายเบื้องล่าง
เมื่อเวลาผ่านไป—
ใบไม้ที่โตบนยอดอ่อน ได้เติบโต ตาย และเน่าเปื่อยทับถม กลายเป็นพืนดินบนยอดต้นไม้ในเวลาต่อมา
ความตาย กลายเป็นเชื้อไฟให้กับชีวิตใหม่
ชีวิตเซล์ใหม่ถือกำเนิดบนเซลล์เก่าจากรุ่นสู่รุ่น
ถึงสภาพอากาศจะเบาบาง แต่ด้วยสภาพแวดล้อมกับการปรับตัวเฉพาะอันเกิดจากตัวของพืชประหลาด จึงทำให้มีความเหมาะสมแก่การอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต
จากเวลาที่หล่อหลอมกันนับหลายสิบปี ได้กลายเป็นแผ่นดินเหนือเมฆที่ปลอดภัยเพียงแห่งเดียว บนทวีปแห่งความโกลาหล
ไม่มีแผ่นดินแห่งใด ที่จะเหมาะกับเจ้าแห่งท้องฟ้าอย่างเผ่ามนุษย์นก เท่ากับที่นี่อีกแล้ว
บนยอดต้นไม้ [อาเวล ทรี] จึงกลายเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงเผ่ามนุษย์นกอันมีนามว่า [อีฟวินเดอร์]
***
“ขอทำเรื่องซ่อมยานด้วยค่ะ…”
“รับทราบครับ ทางเราจะรีบจัดการให้ครับ ส่วนที่ต้องซ่อมเบื้องต้นมี ผนังห้องเก็บยานเล็ก— ทำสีใหม่— แล้วก็มีส่วนขาจอดยานที่ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดเพราะถูกไฟหลอม— ราคารวม 40 ล้าน ยูนิต ครับ”
ฉัน— กำลังยืนอยู่บนเมืองที่ตั้งอยู่บนพืชประหลาดที่ว่านั่น
สาเหตุที่ต้องมาลงจอดในเมือง เป็นเพราะสัตว์เลี้ยงของคนที่ชื่อเปอร์ไซต์ดันฟักตัวออกมา แล้วพ่นไฟไปทั่วด้วยความร่าเริง จนทำส่วนท้องของยานพังพินาศ
อนึ่ง ปัจจุบันเจ้าตัวกับสัตว์เลี้ยงของเธอที่ทำยานพัง เห็นบอกว่าจะออกไปหาค่าซ่อมยานให้ แล้วก็หายตัววับไปเลย…
ไม่ต้องฉลาดมากก็รู้ได้ทันทีว่าหนีไปแล้ว
“สะ— สี่สิบล้าน? กะ— เก็บที่เธอคนนี้ได้เลยค่ะ…”
“เออ… คุณเอโซคะ? ”
นักบวชสีเหลือง หรือก็คือคุณเอโซ กำลังยื่นปีกมาทางฉันเพื่อโบ้ยภาระค่าใช้จ่ายมาทางนี้
จริงอยู่ว่าฉันเคยบอกจะเป็นอาเสียเลี้ยงข้าว แต่ใช่ว่าจะมีเงินเยอะขนาดเอามาใช้จ่ายทีละ 40 ล้านยูนิตนะคะ…
เงินทั้งตัวรวมกับมรดกของคุณพ่อคุณแม่ มีอยู่แค่ 15 ล้านยูนิตเองค่ะ…
“งะ— งั้นขอลงเป็นผ่อนจ่าย กับใช้เครดิตไปก่อนค่ะ…”
“… ครับ”
คุณช่างซ่อมยานเผ่ามนุษย์นกเค้นตามองบนไปที่คุณนักบวชเหลืองด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย ก่อนจะเซ็นสัญญาซ่อมยานให้เธออย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหรนัก
หลังจากที่เซ็นสัญญาพร้อมส่งยานให้ซ่อมเสร็จ เธอก็รีบเดินนำพวกเราออกมาจากท่าอากาศยานในทันที
เป้าหมายถัดไปที่เธอกำลังมุ่งหน้าไป คือสถานที่อันมีชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งปรากฏให้เห็นอยู่ทุกทวีป
[สำนักงานจัดหางาน] นั่นเอง
คุณนักบวชผมสีเหลืองเดินตรงไปที่เคาเตอร์ แล้วเริ่มถามหางานในทันที
“ของานยาก ๆ ที่ได้เงินเยอะ ๆ ที”
“มีครับ แต่ว่างานประเภทนั้น ระดับมันออกจะอันตราย— โอ๊ว? พวกคุณคือนักบวชชื่อดังที่ปราบอีกายักษ์ไม่ใช่หรือครับ! ถ้าเป็นแบบนี้เอางานยาก ๆ ให้คงไม่น่าจะมีปัญหาสินะครับ!”
ตอนแรกพนักงานเผ่ามนุษย์นกตรงนั้นยังมีท่าทีลังเลต่อคำของานของนักบวชสีเหลือง
แต่พอเขานึกออกว่าคนตรงหน้าคือใคร ท่าทีเหล่านั้นได้ฉับพลันเปลี่ยนไปในทันที
“เบื่อแล้วอะ”
“พี่สาว ไปวิ่งเล่นกันเถอะ!”
“อยากเล่นค่ะ—”
“แง! อย่าทิ้งหนูเอาไว้ตรงนี้คนเดียวจิ!”
ในเวลาเดียวกัน พวกเด็กซนก็ถือโอกาสวิ่งหนีออกจากอาคารไป
ความจริงจะปล่อยไปแบบนั้นเลยก็ได้ แต่เป็นเพราะถูกวานให้ดูแลเด็กในระหว่างที่พวกนักบวชไปทำธุระที่หน้าแผนกเสาะหางาน เลยต้องลำบากฉันวิ่งตามเด็กพวกนั้นออกไปข้างนอก
“หยุด!”
“แง! ถูกพี่สาวแมวจับแล้ว! นาดี้ แคนนี่ พี่ไซต์! ช่วยหนูด้วย~!!”
“โอบีเดี้ยนถูกจับแล้ว ทำยังไงดี!”
“หนีกันเถอะ~”
“แน่จริงก็มาจับให้ได้ซิ~”
พวกเด็กแฝดผมขาวกำลังวิ่งกระจายไปคนละทิศละทาง
นี่ไม่ได้มาเพื่อเล่นไล่จับกันนะยะ!
*โครม!*
ระหว่างที่บ่นในใจ ก็พลาดสะดุดพื้นหัวทิ่ม
เพราะเมืองนี้ถูกสร้างอยู่บนต้นไม้ที่ลอยได้ แถมเผ่ามนุษย์นกยังชอบบินในการเดินทางหลัก แนวคิดในการทำถนนคนเดินให้เรียบร้อยจึงไม่มีอยู่ในหัวของพวกเขา
พอมองออกไปในระดับสายตาที่กำลังแนบจูบพื้น จะเห็นรอยนูนต่ำตามผิวธรรมชาติของเปลือกไม้ กับซากดินที่เกิดจากการเน่าเปื่อยของเศษใบไม้กระจายไปทั่วเมือง
…ทำไม?
ถึงมาลงเอยแบบนี้?
ทำไมฉันถึงต้องมาวิ่งวุ่นดูแลเด็กในสถานที่แบบนี้!
ช่วงนี้รู้สึกว่าไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนการสักอย่าง
เริ่มตั้งแต่ลอบสังหารพลาด
เกือบตายเพราะระเบิดสังหารที่ถูกหลอกขายโดยพ่อค้าตลาดมืดที่เหมือนตัวอีกา
ถูกเพื่อนสมัยเด็กเห็นใบหน้าจริง
แล้วล่าสุด— ยัยลาฟาเซีย ที่ดันไปตายแบบไม่คาดคิด!
เรื่องของเรื่องคือฉันพึ่งจะมาเห็นข่าวการตายอย่างลึกลับของยัยลาฟาเซียเมื่อกี้นี้ ตอนที่อยู่ในสนามบิน
ได้ยินจากการประกาศข่าวของสนามบินเนี่ยแหละ!
[ลาฟาเซียได้ตายไปตั้งแต่วันที่ 51 เกอเนรับส์ ปี 126 ในช่วงเวลาเช้าตรู่]
เป็นเพราะฉันมัวแต่คิดหาวิธียืมมือกลุ่มนักบวชสาวมาสังหารศัตรูของฉัน เลยทำให้พลาดในเรื่องที่ไม่ควรพลาดอย่างการตามข่าวสารของโลก
“…”
พอเป้าหมายที่ต้องการแก้แค้นไม่มีอีก ตอนนี้เลยรู้สึกเบาโหวง ว่างเปล่า เหมือนกับขาดจุดหมายบางอย่างไป
แบบนี้ไอที่ฉันพยายามจงใจเค้นน้ำตาร้องโวยวายทำเป็นเสียใจ ไม่ลงกลอนประตูในตอนเช้ามืดของวันนี้ เพื่อให้พวกเธอรู้เรื่องปัญหาและความแค้นของฉัน มันก็ทำเสียเปล่ากันหมดพอดี
—เรา สามารถสร้างแรงจูงใจให้คนอื่นลงมือสังหารแทนเราได้หรือไหม?
คำตอบคือ [ทำได้]
สร้างความเกลียดชัง
สร้างจุดร่วมของอารมณ์
สร้างความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัย
มันมีหลายวิธีในเชิงจิตวิทยา ที่จะหลอกคนอื่นให้เดินตามเกมส์ที่เราต้องการ
ในช่วงเวลาสามวันที่ผ่านมา ฉันได้ลองเจาะลึกไปในอุปนิสัยของนักบวชสามสาวดูแล้ว
นักบวชสีเหลือง เอโซ เป็นคนที่น่าจะหลอกยากสุด
ถึงจะเป็นคนที่ตาโตเพราะแค่เห็นเงิน แต่เธอไม่ใช่คนโง่ที่จะไว้ใจใครง่าย ๆ เลย
เกราะด้านจิตใจของเธอคนนี้หนามาก
นักบวชสีฟ้า ลาพิส
จากหลายวันที่ได้ตีสนิท พบว่าเป็นคนที่เงียบมาก ไม่แสดงอารมณ์ จนเดาไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่
แต่ที่รู้อย่างหนึ่ง คือเธอเป็นพวกประเภท “เพื่อนว่าอะไร ฉันว่าตาม”
ถ้าสามารถเคลื่อนไหวนักบวชได้สักคน นักบวชสีฟ้าก็จะสามารถเคลื่อนไหวนักบวชสีฟ้าได้
นักบวชสีแดง แมรี่
ฉันพบว่าเธอเป็นพวกที่ชอบอะไรน่ารัก ๆ และรักเด็กเป็นพิเศษจนเข้าขั้นดูเป็นภัยต่อสังคม
แถมยังเป็นพวกหัวอ่อนอย่างน่าเหลือเชื่อ หลอกง่ายแบบสุด ๆ
ฉันเลยเล็งเธอเป็นเป้าหมายแรกที่ตั้งใจจะสร้างอารมณ์ร่วม
เริ่มจากตีสนิทด้วยเงิน แล้วค่อย ๆ กระเทาะเปลือกด้านจิตใจไปทีละนิด ก่อนจะสร้างอารมณ์ร่วมแห่งความแค้นไปกับเธอ
แต่— นั่นละ เพราะเป้าหมายดันตายไปแล้ว ตอนนี้เลยเคว้ง ว่างเปล่า…
ไม่สิ— ยังพอจะเหลืออีกหนึ่งเป้าหมายให้ฆ่า คือเจ้าออนที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงยังไม่แจ้งความจับฉันในข้อฆ่าพยายามลอบฆ่าคน
สงสัยว่ามันคงไม่มีหลักฐานมากพอจะมาเอาความผิดฉันกระมั้ง?
แต่ยังไงต้องฆ่าทิ้ง เพื่อความปลอดภัยของฉันเอง
“เฮ้อ… ช่วยไม่ได้ คงต้องเอาความแค้นทั้งหมดไปลงที่เจ้าออนแล้วละ”
***ในเวลาเดียวกัน***
“ฮัดชิ่ว!”
ทำไมอยู่ ๆ ถึงจามออกมาได้เนี่ย?
ผม นายตำรวจออน กำลังบ่นกับตัวเองในระหว่างที่นั่งยานเหาะเพื่อมุ่งหน้าไปทวีปแห่งความโกลาหล กับเจ้านายเดสตินีย์
ทำไมถึงต้องไปที่ทวีปแห่งความโกลาหลอย่างงั้นนะหรือ?
“ [บาร์-ธา-ซ่าร์] เรียกตัวผู้นำเผ่าปีศาจ ผู้นำเผ่ามนุษย์นก และผู้นำเผ่ามนุษย์สัตว์จัดประชุมใหญ่ แต่มาจัดที่ทวีปแห่งความโกลาหลเนี่ยนะ? ตลกชะมัด แถมยังมีประชุมกลุ่มผู้นำอย่างเร่งด่วนโดยมี [แอมโฟเทอริกออกไซด์] เป็นเจ้าภาพอีก? ทำไมไม่นัดที่ทวีปคริสตัล? หรือเป็นเพราะ [บาร์-ธา-ซ่าร์] เห็นว่าตัวเองมีตารางงานต้องมาทำที่ทวีปนี้ในฐานะฉากหน้าของตัวเองเองพอดีอย่างงั้นหรือ? [บาร์-ธา-ซ่าร์] นี่คิดจะเอาสะดวกตัวเองเกินไปหรือเปล่า? มาทำตัวแบบนี้ เดียวก็ได้เป็นจุดสนใจให้พวกตำรวจสากลสงสัยกันพอดี ยิ่งมีเคสการตายอย่างลึกลับของ ลาฟาเซีย ด้วย”
ผมได้ยินคุณเดสตินีย์บ่นกับตัวเองเสียงดังในระหว่างที่เขากำลังนั่งอ่านเมล์ซ้ำ จากมือถือของตัวเองตรงที่นั่งที่ติดกัน
ใช่— เพราะการตายอย่างปัจจุบันทันด่วนของ ลาฟาเซีย แบบไม่คาดคิด เลยทำให้พวกผู้นำองค์กรคาร์นิวอยต้องรีบจัดประชุมด่วน
เหมือนว่าเป็นการหารือรับมือ เพราะต้องสงสัยว่าการฆาตรกรรมในครั้งนี้ คือฝีมือของตำรวจสากลที่เริ่มจะเล่นบทโหด
แต่ผมว่า มันไม่น่าใช่ฝีมือของตำรวจสากลหรอก…
“แต่น่าสงสัยชะมัด ตอนที่ [คาร์] หายตัวไป ตอนนั้นข้าเรียกร้องให้สืบหาเหตุแทบตาย แต่กลับไม่มีใครคิดเคลื่อนไหว แล้วทำไมครั้งนี้ถึง— บาร์-ธา-ซ่าร์ เขาคิดอะไรกันอยู่นะ? ”
จากน้ำเสียงที่เขาพูด ทำให้ผมพอจะเดาได้ว่าความจริงคนกลุ่มนี้ไม่ได้รักกันดีเท่าไหรนัก
เพราะถ้ารักกันดีจริง ตอนที่ผู้นำเผ่ามนุษย์ตาย จะต้องมีเรียกรวมตัวเพื่อรับมือกันไปแล้ว
เป็นกลุ่มที่คบกันเพราะผลประโยชน์จริง ๆ นั่นแหละ
จะยกเว้นก็คุณเดสตินีย์ ที่ดูจะรักพวกพ้องจากใจจริง
คน ๆ นี้… ไม่น่ามีจิตวิปลาสในการบริโภคเลยให้ตายสิ
ไม่งั้นเขาจะเป็นคนดีคนหนึ่งเลยละ
“.. ขอตัวสักครู่นะครับ”
“อะ–? ขอโทษที่กระผมบ่นเสียงดังไปนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับคุณเดสตินีย์”
ผมลุกขึ้นจากโซนที่นั่ง แล้วเดินไปตามทางเดินของยานเหาะที่กว้างขวางพอจะให้วิ่งเล่นได้
ปลายทางที่มุ่งหน้าไป คือส่วนของพื้นที่โถงชมวิว
ข้างนอก ยังคงมองเห็นเพียงแต่มหาสมุทรอันกว้างใหญ่
ยังคงอีกนานกว่าจะถึงทวีปแห่งความโกลาหล
ระหว่างที่ตัวเองชมวิวก็เริ่มคิด
ตั้งแต่เริ่มทำงานเป็นตำรวจ ได้เกิดเรื่องมากมายจริง ๆ
เจอผีหมอก
เจอผีเข้าสิงตัวเอง
เจอผีแห่งคำสาปแช่ง…
ชีวิตที่เจอแต่ผี… เออ… ซวยชิบ…
มาคิดเรื่องดี ๆ บ้างดีกว่า
เรื่องดี ๆ เร็ว ๆ นี้ก็คือการที่ได้เจอพี่สาวของเบอร์รี่
ถือว่าเป็นคนสวยมากเลยทีเดียว
แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย
ทั้งที่อยากจะพูดขอบคุณที่ช่วยรักษาบาดแผลให้แท้ ๆ
“… เกือบลืม เราต้องส่งข่าวให้หัวหน้า [โน-เนม] ด้วย”
ผมยังไม่ได้ส่งข่าว กับรายละเอียดถึงเหตุผลที่ไปทวีปแห่งความโกลาหลให้หัวหน้า
เพราะพึ่งจะมีโอกาสขอตัวหนีมาพักเนียน ๆ ก็ตอนนี้เอง
“ถึงหัวหน้า—โอ๊ย!”
“อุ๊ก! ขอโทษค่ะพี่ชาย!”
ในตอนนั้นเองที่มีเด็กมนุษย์สัตว์กึ่งไซบอร์กวิ่งมาชนขา
“เห็นไหม บอกแล้วว่าอย่าวิ่ง! ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่เด็กของข้าน้อย—”
พร้อมกับตามมาด้วยเสียงที่คุ้นหู
พอหันหน้าไปตามเสียงนั้น—
“เอ๊? คุณ ออน-เอ็ซท? ”
“คุณ ทัวร์มาลีเนต ควอตซ์ หรือครับ? ”
—ได้พบกับคนที่ไม่คาดคิดเข้าให้เสียนี่
[ทัวร์มาลีเนต ควอตซ์] มนุษย์สัตว์-กระต่าย ขนสีดำปลายขาว ที่เคยออกเดินทางร่วมกันอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกันอีกในที่แบบนี้
โลกนี้มันช่างกลมดียิ่งนัก
MANGA DISCUSSION