บทที่ 8 เทพผู้ชิงชังเผ่ามนุษย์นก
ตอนที่ 147 ทวีปแห่งความสับสน
***วันที่ 53 เกอเนรับส์ ปี 126 เวลา 5:00 น.***
ทวีปแห่งความสับสน
มันคือทวีปที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่เกาะเทียม
เป็นดินแดดที่มีภูมิศาสตร์เป็นหุบเขาสูง
แผ่นดินจำนวนมากของทวีปถูกจมอยู่ใต้ผืนทะเล บางส่วนลึก บางส่วนตื้น จนทำให้ดูคล้ายกับเป็นแผ่นจิ๊กซอว์ที่ถูกจับแยกส่วน
นอกจากเอกลักษณ์ที่ดูคล้ายกับแผ่นจิ๊กซอว์ผืนใหญ่แล้ว มันยังเต็มไปด้วยภูเขาไฟจำนวนมาก
หากเงียหูฟัง จะได้ยินเสียงระเบิดปะทุของลาวาแทบจะไม่เว้นวัน
สัตว์บินย้ายถิ่น
เปลวไฟปะทุดอกเห็ดพุ่งขึ้นเหนือผืนฟ้า
แผ่นดินสะเทือน คลื่นสึนามิพัดกลบชายฝั่ง จมทุกสิ่งลงสู่ใต้บาดาล
ด้วยสภาพของแผ่นดินที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายอย่างสุดขั้วในแต่ละภูมิภาคส่วน จึงทำให้มีสภาพอากาศที่แปรปรวน และไม่อาจจะมีเผ่าใดหาญกล้าพอจะมาตั้งรกรากสร้างเมืองอยู่ในทวีปแห่งนี้
นอกจาก—
เผ่าผู้ยึดถือตัวตนว่าเป็นผู้ปกครองผืนนภา
เผ่าผู้นับถือเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าเป็นเทพสูงสุด
เผ่าผู้มีความภาคภูมิใจในความมีอิสระของตัวเอง
[เผ่ามนุษย์นก]
ทวีปแห่งความสับสน คือดินแดนใต้การปกครองของเผ่ามนุษย์นกของโลกใบนี้
***
จากการขับยานไล่ตามติดของลาพิส เลยทำให้พาพวกเรามาถึงทวีปแห่งความสับสนอย่างไม่คาดฝัน
ทวีป— ที่มีสหายคนหนึ่งไม่อยากจะมาเยือนมากที่สุดอันดับหนึ่ง
“ลักพาตัวมาที่ไหนไม่มา ทำไมต้องเป็นที่นี่…”
“ทวีปแห่งความสับสนไม่ดียังไงหรือเอโซ? ”
“ไอทวีปที่ปกครองด้วยเผ่ามนุษย์นกนะ ไม่มีทางมีดีได้หรอกแมรี่”
สหายรักเอโซบอกกับฉันด้วยน้ำเสียงเหมือนตอนกำลังดื่มชารสหวานที่แสนเกลียดลงคอ
เคยได้ยินมาบ้างว่ามีอดีตที่ไม่ค่อยจะดีต่อเผ่าตัวเอง ในสมัยที่เคยมีชีวิต
แต่ไม่คิดว่าจะเกลียดหนักขนาดนี้
ถ้าพูดถึงปมอดีตของพวกเราสามคนอย่างสั้น
ของลาพิสเห็นว่าเป็นการดิ้นรนต่อสู้
เนื่องจากเผ่ามนุษย์สัตว์เป็นเผ่าที่ว่าด้วยความแข็งแกร่งทางกาย เลยโดนดูถูกว่าไร้ประสิทธิภาพเพราะร่างกายที่พิการของเธอ
ของฉันเป็นเพราะมีขาที่พิการ เดินไม่ได้ สุดท้ายเลยเอาแต่หมกเก็บตัวเป็นหนอนหนังสือ กับฝึกวิชาภูติจนมีเพื่อนน้อย…
ส่วนยัยสหายไก่เหลือง เห็นว่าถูกทางบ้านกับฝูงของตัวเองทิ้งให้หิวตายในบ้าน เพราะมองว่าบินไม่ได้ ไร้ประโยชน์ เป็นที่น่าอับอายของสังคม
“…”
เออ… มาคิดดูอีกที ยัยนี่น่าจะมีอดีตมืดมนที่สุดจากบรรดาพวกเราสามคนเลยแฮะ
แบบนี้ต้องจูนิเบียวเพื่อเรียกเสียงฮา!
“โอ๊วเย่!”
“มาโอ๊วยง โอ๊วเย่อะไรของเธอกันยะ? ถ้าว่างมาก ฝากไปดูพวกเด็ก ๆ ทีสิ ว่านอนกันเรียบร้อยดีอยู่หรือเปล่า? เพราะรู้สึกอย่างกับว่ากำลังแอบตื่นกันอยู่เลย”
“โอ๊ว… เย่…” (เสียงอ่อย)
ยัยไก่เหลืองนี่ไม่ยอมรับมุขกันเลยแฮะ
ฉันรีบเดินออกจากห้องสะพานเดินเรือที่เต็มไปด้วยผู้คน แล้วเดินตรงไปทางห้องนอนของเด็กที่ตั้งอยู่ชั้นสอง
อนึ่ง ถ้าให้พูดถึงแผนผังของตัวยานอย่างง่าย คงเป็นแบบนี้
-ใต้ถุนยาน- ห้องเครื่องยนต์ ห้องเก็บของย่อย ห้องเก็บของหลัก โกดังเก็บยานเหาะขนาดเล็กเพื่อการขนส่งและสำรวจที่กว้างพอเก็บได้สี่คัน (ปัจจุบันถูกแบ่งพื้นที่ครึ่งหนึ่งเป็นรังมังกรไปแล้ว…)
-ชั้นหนึ่ง- ห้องผลึกพลังงานภูติที่ใช้สร้างบาเรีย รวมไปถึงเป็นระบบป้องกันตัวของยานด้วยพลังงานเวทมนตร์ ห้องคนรับใช้ ห้องครัว ห้องกินข้าว ห้องโถงรับแขก
-ชั้นสอง- มีห้องนอนแยกสามห้อง ทำงานอีกสาม ห้องนอนรับแขกอีกห้า (ถูกใช้เป็นห้องนอนเด็กสามคน กับห้องนอนแขกไม่ได้รับเชิญ เปอร์ไซต์ กับ โรโยตี้ อีกสองคน)
-ชั้นสาม- ห้องออกกำลังกายหนึ่งห้อง มีสระว่ายน้ำระบบไร้แรงโน้มถ่วง แล้วก็ห้องชมวิว
-หัวเรือ- สะพานเดินเรือ
-ดาดฟ้าเรือ-
จะเรียงชั้นได้ประมาณนี้~
ใหญ่โตไม่เลว~
พอพูดถึงแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกสองคนแล้ว ฉันก็เริ่มมานั่งคิด
เปอร์ไซต์นะน่ารัก ดังนั้นฉันจึงยินดีที่จะรับมาขึ้นยาน ผิดกับเอโซที่อยากไล่ออกไปให้พ้น ๆ ตัวซะ
ส่วนโรโยตี้นี่— พูดตามตรงว่ารู้สึกชอบพอสมควร เพราะเป็นแมวน้อยที่น่ารักเช่นกัน
คือจะว่ายังไงดี เพราะสหายไก่เหลืองบอกว่าให้เก็บเอาไว้เป็นกระเป๋าเงินให้ถลุงเล่น แต่ฉันกลับรู้สึกว่าพวกเราควรปฏิบัติกับเธอให้ดีกว่านี้หน่อย
อย่างขนาดเมื่อสองวันก่อนที่ยัยนี่แอบขึ้นยานมาด้วยสภาพที่เลือดท่วมตัว แทนที่ยัยไก่จะรีบรักษา เธอกลับเอาแต่ระวังว่าเธอจะมาลูกเล่นอะไรเสียนี่
เหมือนในสายตาของยัยไก่เหลือง จะเห็นยัยนี่เป็นแค่ถุงเงินจริง ๆ นั่นแหละ
แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ
เพราะเมื่อเป็นเพื่อน จะได้สกินชิบแมวน้อยน่ารักได้อย่างไม่ผิดกฏหมาย—
“คิดอะไรน่าเกลียดอยู่หรือคะแม่รี่? ทำหน้าตาอย่างกับตาลุงแก่ ๆ เลยค่ะ”
“ใช่— เหวอ!? โผล่มาจากไหนของเธอกันเนี่ยเปอร์ไซต์!? ผมตกใจนะ!”
“เพราะเบื่อ เลยคิดว่าจะตามไปเล่นกับพวกเด็ก ๆ ด้วยคะ”
คนที่กำลังคุยกับฉันอยู่คือนกน้อยที่มีขนสีแดงสลับขาวสุดน่ารัก ตัวตนที่มีอายุมากกว่า 100 ปี เพราะถูกเผ่าพันธุ์พิเศษดัดแปลงวิศวกรรม DNA ภายในร่างกาย
เปอร์ไซต์ นกติดบัคประจำโลกไดมอนของพวกเรา
ใครอยากรู้วีรเวรของเธอคนนี้ ให้ไปหาอ่านตามในนิยายภาคแรกที่มีชื่อว่า “ยุคแห่งสงคราม (Age of war) ” กันเอาเองนะ~
“ที่กำลังจะไปกันตอนนี้ ไม่ใช่เพื่อไปเล่นนะ แต่ไปดูว่าพวกเขากำลังแอบตื่นอยู่หรือเปล่าต่างหาก”
เพราะตอนนี้ท้องฟ้ายังมืดอยู่เลย
มันคือเวลานอนสำหรับเด็กน้อย~
ถ้านอนอยู่ จะได้ไปแอบจิ้มแก้มนุ่ม ๆ น่ารัก ๆ ของเด็ก ๆ ให้สาแกใจด้วย~
“บูว~ น่าเบื่องะ~ งั้นหนูไปดูไข่มังกรกับเจ้าออกไซด์ที่ห้องเก็บยานข้างล่างแล้วกัน~”
เปลี่ยนอารมณ์ง่ายจริง!
ฉันไม่สนใจคุณนกติดบัค แล้วบินต่อไปที่ห้องนอนของพวกเด็ก ๆ
บนพรมทางเดินที่ทอดยาวออกไป ฉันเริ่มจงใจที่จะบินส่งเสียงดังด้วยคลื่นเสียง เพื่อให้พวกเด็ก ๆ รู้ว่ามีคนกำลังมาเยือน
“เด็ก ๆ พวกเด็ก ๆ นอนกันอยู่หรือเปล่า? ”
*ตึ่งตัง ¬!*
*โครม!-*
*เคร๊ง— พรึบ!*
ไม่ต้องเปิดประตูก็รู้ว่าตื่นกันอยู่…
ฉันเปิดประตูแง้มเข้าไปเบา ๆ แล้วส่องดูภายในห้องที่มืดมิด
ในห้องเล็ก ๆ ของห้องรับแขกที่ควรมีเด็กนอนแยกห้องคนละห้อง กลับมีผ้าคลุมโปงผืนใหญ่คลุมเป็นก้อนกลมอยู่บนเตียง
ก้อนกลมที่ว่านั้น ดูยังไง้~ ยังไงก็ใหญ่เกินขนาดที่จะเป็นของเด็กตัวคนเดียว
ในจุดที่ห่างออกไปไม่ไกล มีคอมเปิดสวิตไฟทิ้งเอาไว้ด้วย…
ต่อให้หน้าจอมันอยู่ไกลสุดขอบห้องจนเล็กจิ๋ว แต่สำหรับฉันแล้ว มันเห็นชัดเจนจนเหมือนกับเอามาวางตรงหน้าเลยละ
ถึงจะเห็นปิดตาเอาไว้ข้างหนึ่ง แต่ฉันตาดีนะเออ
บนหน้าจอของคอม มีข้อความส่งเมล์ถูกเปิดค้างทิ้งเอาไว้ พร้อมกับชื่อที่อยู่ผู้ส่งว่า ถึงพี่สาวยักษา [เบอร์รี่] รบกวนตอบกลับด้วยค่ะ พวกหนูเป็นห่วง—
“… ผมจะทำเป็นไม่เห็น แต่เวลาแบบนี้ควรจะนอนซะนะ จะได้โตขึ้นมาเป็นสาวน้อยเวทมนตร์สุดสวยแบบพวกพี่สาวยังไงละ!”
ฉันสั่งสอนพวกเด็ก ๆ หนึ่งครั้งด้วยคำคมเด็ด ๆ แล้วเดินออกมาจากห้อง
“หึม~ ฮืม~~”
ว่างเลยทีนี้…
เอาจริงฉันควรอยู่ที่สะพานเดินเรือเพื่อเตรียมรับมือกับดักทางเวทมนตร์วิญญาณ ที่ศัตรูอาจกางทิ้งเอาไว้ในระหว่างที่พวกเราสะกดรอยตามผู้ลักพาตัวฑาทิม
แต่เป็นเพราะว่าไม่มีวี่แววของกับดักวางเอาไว้เลย จึงทำให้ฉันว่างมาก
“…จะว่าไป เมื่อสองวันก่อน ตอนที่เกิดเรื่องวุ่นวายก่อนเจ้าฑาทิมจะถูกลักพาตัว เหมือนจะจับสัมผัสวิญญาณของเจ้าหนุ่มพ่อบ้านออนได้ก่อนบินออกมาอยู่ด้วยแฮะ”
ตำรวจหนุ่มสุดซื่อ ออน-เอ็ซท ชายที่เหมาะจะเป็นพ่อบ้านมากกว่าเป็นตำรวจ
งานรับใช้ไม่มีที่ติ ฝีมือทำอาหารเข้าขั้นระดับสุดยอด
เคยคิดว่าถ้ามันตายไป อยากจะเก็บวิญญาณของมันมาเป็นทาส— พ่อบ้านรับใช้ของพวกเราสามคนอยู่
จากที่ฟังสหายลาพิสเล่ามา เห็นว่าบาดเจ็บหนัก แต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต
ป่านนี้เจ้านั่นจะเป็นยังไงแล้วบ้างน้า~
*กึก*
ฉันกำลังบินมาหยุดลงตรงห้องของโรโยตี้
ดูเหมือนว่าปีกของฉันจะพามาที่ห้องของแม่แมวน้อยสีฟ้าโดยไม่ทันรู้ตัว
“…”
ประตูไม่ได้ล็อคด้วยงะ?
ทำไมถึงไม่ล็อคงะ?
ทำแบบนี้เหมือนจะบอกว่าให้เชิญเข้าไปเลยนะ?
ปกติเราไม่ควรบุกรุกห้องของใคร
แต่ขอโทษที ที่ฉันมันไม่ใช่คนปกติทั่วไปที่ว่านั่น
“ขอบุกรุกนะค้า (ลากเสียงดัดจริต) ~”
ฉันเปิดประตูเข้าไปข้างในห้องของโรโยตี้
แล้วฉันก็ได้เห็น
เห็น— ภาพของแมวน้อยสีฟ้าที่กำลังร้องไห้…
“ฮึก… ฮือ…”
เธอคนนั้นกำลังร้องไห้
ตรงหน้าของเธอ มีภาพที่ดูน่าจะเป็นพ่อแม่ของเธอวางตั้งเอาไว้
เธอร่ำไห้ไม่หยุด โดยไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัวว่าฉันกำลังยืนอยู่ตรงนี้
“ทำไม! ฮืออ…. คุณพ่อ… คุณแม่… ทำไมถึงถูกพวกคาร์นิวอย… ฆ่า… ทำไม!”
เธอกรีดร้องเสียงเบา ๆ ด้วยความแค้น
“…”
ฉันรีบบินออกมาเงียบ ๆ พร้อมกับปิดประตูอย่างระวังไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว
พอตรวจสอบจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังคงร้องไห้ต่อไป ฉันก็เริ่มบินหนีออกห่างจากห้องนั้น แล้วตรงกลับไปที่ห้องสะพานเดินเรือแทน
ฉันไม่อาจสลัดภาพน้ำตาของสาวน้อยออกไปจากหัวได้ ในระหว่างที่กำลังบินกลับไป
คาร์นิวอย.. ฆ่า…พ่อแม่ของเธอ?
รู้สึกว่าปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ได้
แต่ถ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกยัยสหายไก่เหลือง คงจบลงที่ว่า “ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา” ชัว
ถึงจะไม่ใช่เรื่องของพวกเรา แต่ต้องยอมรับว่าฉันนั้นแพ้น้ำตาของสาวน้อย
ความน่ารักคือความเที่ยงธรรมและความถูกต้อง
ถึงฉันจะเป็นเทพที่เลวและเอาแต่ใจ และก็ยังมีคุณธรรมที่อยากปกป้องสิ่งน่ารัก
“ดีละ ตัดสินใจแล้ว!”
อาจจะผิดต่อสหายไก่เหลืองไปสักหน่อย
แต่ระหว่างที่ไล่ตามเจ้าฑาทิม ฉันว่าเดียวจะเจียดเวลาไปช่วยแก้ปัญหาของโรโยตี้สักหน่อยดีกว่า~
*บรึ้ม!*
ในตอนนั้นเองที่เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากส่วนล่างของยาน
“เจ้าดำ— ลูกของเจ้าดำกับเจ้าหนูออกไซต์เกิดมาแล้ว!”
พร้อมกับมีเสียงตะโกนของคุณนกติดบัคที่ดังลั่นอย่างตื่นตระหนกไปทั่วยานตามมาเช่นนั้น
MANGA DISCUSSION