“เหวอ!?! ชุดเกราะ? พวกมันกำลังขยับครับหัวหน้า!! ”
“ข้าเห็นกับตาแล้ว! ก่อนอื่นพวกเอ็งตั้งสติกันก่อนสิวะ! ของพวกนี้คงเป็นแค่กลเด็กเล่นเท่านั้นหรอก! ”
บุรุษยักษาผมสีส้มเปลวเพลิงกล่าวอย่างองอาจ แล้ววิ่งตรงไปทางชุดเกราะอัศวินเหล็กที่กำลังส่งเสียงเสียดสีแสบแก้วหู
มือขวาอันใหญ่โตของเขาคว้าหมับเข้าที่ส่วนหมวกเกราะ แล้วออกแรงกระชากส่วนหัวออกมาเต็มแรง
” ดูนี่ซะ! ข้างในเกราะคงมีเครื่องกลติดตั้งอยู่เพื่อใช้เคลื่อนไหวพวกมันอย่างแน่นอน! ”
ทาฑิมใช้มือซ้ายจับส่วนลำตัว แหวกชุดเกราะให้ขาดครึ่ง เปิดเผยส่วนที่ปกปิดซ่อนอยู่ภายในออกมาให้เห็น
แต่ทว่า—
“เออ… หัวหน้าครับ ข้างในมันกลวงโบ๋เลยนะครับ? ”
“ฮืม? ”
ทาฑิมก้มหน้ามองสำรวจข้างในตัวชุดเกราะ
เขาเอามือล้วงเข้าไปดูทั้งส่วนแขน ขา รวมไปถึงภายในหมวกเกราะอย่างคาดหวังว่าจะพบเจอบางสิ่ง
แต่มือของเขาทำได้เพียงแต่คว้าอากาศที่ว่างเปล่า กับผิวโลหะของชุดเกราะที่ไม่มีเครื่องกลใด ๆ ซุกซ่อนเอาไว้
“กลวงโบ๋จริงด้วยแฮะ…”
ทาฑิมว่าเช่นนั้น
เขาหันไปมองที่ส่วนหมวกอัศวินที่ถืออยู่ในมือขวาอีกครั้ง
ส่วนหมวกอัศวินที่หยุดนิ่ง ฉับพลันตอบรับบุรุษยักษ์ด้วยการหมุนส่วนตา หันมาประจันกับดวงตาของเขา
*แกรก ๆ *
ส่วนหมวกขยับส่ายไปมาราวกับเป็นการกล่าวทักทาย
” ฮะ ฮะ ฮะ…”
บุรุษยักษาหัวเราะตอบรับการทักทายด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
เหงื่อกาฬจำนวนมากไหลหยดเป็นสายน้ำลงมาจากหน้าผากของเขา
ในเวลานั้นได้เกิดความเงียบสงัดขึ้นในห้องโถงบันไดแห่งนี้
ทุกสิ่งได้หยุดนิ่ง จนกระทั้ง—
“ผีของจริงนี่หว่า!?! เผ่นโว๊ยพวกเรา!!! ”
เสียงกรีดร้องของทาฑิมดังกังวาลก้อง
การวิ่งไล่จับภายในคฤหาสน์วิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว…
***
กลุ่มแขกผู้มาเยือนทั้ง 44 ชีวิต กำลังวิ่งอยู่บนระเบียงชั้นหนึ่งที่ทอดตัวยาวออกไป โดยมีอัศวินหุ่นเกราะเหล็กสองตัววิ่งไล่ตามมาจากข้างหลัง
ในมือของมันถือง้าวรังสีเล่มโตชูอย่างโดดเด่นน่ากลัว ท่ามกลางแสงไฟและแสงแสงเทียนที่ประดับเรียงรายริมทาง
“หน่อย! อย่าคิดนะว่าจะยอมให้ไล่อยู่ฝ่ายเดียว! ข้าขอวิงวอนต่อสายลม—”
“แมรี่โกลว์ หยุดจูนิเบียวเสียเวลาพล่ามบ้าพล่ามบอได้แล้ว!! ”
เทพไร้แขนตะโกนเตือนเทพไร้ขาด้วยความโกรธ
“—ก็ได้… ”
สตรีเผ่าภูติบ่นอุบกับตัวเอง แล้วบินสูงเลียบเพดาน
เธอลดความเร็วในการบิน จนไปอยู่ตำแหน่งหลังสุดของกลุ่ม แล้วกางปีกภูติสีแดงออกสองข้าง
เธอเริ่มแผ่ไอรังสีออกมาจากปีก ควบคุมมวลอะตอมในที่ว่าง เพิ่มความหนาแน่น แล้วบีบอัดยิงออกไปเป็นกระสุนอากาศ
*เคร๊ง! *
กระสุนอากาศที่ยิงออกไป ทำให้อัศวินเกราะเหล็กแตกกระจายเป็นชิ้น ๆ
เกิดเสียงโลหะกระทบกำแพงและพื้นหินดังไปทั่วทางเดิน
แต่มันไม่ตาย
ซากเกราะเหล็กพวกนั้น มันกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนพื้น
ส่วนมือกับแขนเริ่มคลำหาร่างกายบนที่ว่าง
มือของมันกำลังควานหาชิ้นส่วนต่าง ๆ ของมัน เพื่อต่อประกอบร่างกายให้กลับคืนสู่สภาพเดิม
“จังหวะนี้แหละ วิ่ง!! ”
“ไม่บอกก็วิ่งอยู่แล้ว! ”
เหล่าแขกต่างเริ่มออกตัววิ่งต่อโดยไม่รอดูอัศวินเหล็กที่กำลังประกอบร่างกายขึ้นมาใหม่
พวกเขาวิ่งไปบนทางเดินที่ทอดตัวยาวออกไปเป็นเส้นตรง
แสงสว่างจากไฟถนอกอาคารส่องแสงลอดผ่านกระจกคริสตัลที่ประดับทางซ้าย
ประตูไม้ฝั่งขวา ส่งกลิ่นหอมลอยตลบอบอวลทั่วทางเดิน
พวกเขาวิ่งไปบนทางเดินที่มีบรรยากาศชวนวังเวงราวหนึ่งนาที
หนึ่งนาที— ที่ทิวทัศน์ยังคงเป็นทางเดินตรงที่มืดมัวไม่เปลี่ยนแปลง
สองนาที— ที่หน้าต่างทางซ้ายมือยังคงเป็นหน้าต่างคริสตัลไม่เปลี่ยนแปลง
สามนาที— ที่พวกเขาก็ยังคงเดินเป็นเส้นตรง
ไม่มีหักเลี้ยว ไม่มีทางแยก ไม่มีประตูสำหรับเปิดผ่านสู่พื้นที่ไหม
ราวกับว่ากำลังวิ่งอยู่บนทางเดินอันไร้ที่สิ้นสุด
[นี่ ทุกคน ทำไมถึงวิ่งวนอยู่ที่เดิมกันละคะ o_O?]
“หมายความว่ายังไง? ยัยตาบอด? นี่พวกเราวิ่งตรงมาตลอดเลยนะเฟ้ย! แล้วมันจะวนกลับมาที่เดิมได้ยังไง?!? ”
บุรุษยักษ์ส่งคำประท้วงใส่สตรีผมสีฟ้าที่ชูป้ายคำถามขึ้นมา
“เออ… ผมก็ไม่อยากจะขัดหรอกนะ ว่าแต่จำนวนของพวกเรา… ดูน้อยลงหรือเปล่าครับ? ”
“คราวนี้อะไรอีก? หมายความว่ายังไงฟะเจ้าหน้าอ่อน!? คนหายไปอย่างงั้นเรอะ? ไหน! เจ้าพวกง่าวทั้งหลาย นับจำนวนซิ! ”
” ครับ! หนึ่ง”
” สอง”
” สาม– สี่”
” สิบสี่ – – – สิบห้า! ”
*กึก—*
เสียงนับคนของเหล่ายักษ์ได้จบลงที่เลขสิบห้า
หากรวมสามสาวกับหนึ่งบุรุษมนุษย์ และตัวเขาเอง จะได้ว่ามีคนเหลือเพียงสิบเก้าคน
เหลือสิบเก้าคนจากสี่สิบสี่คน…
” หะ— หายไปไหนกันวะไอพวกบ้านั่น!?! ”
ทาฑิมถึงกับเหงื่อกาฬไหลออกมาเป็นสาย
นี่มันเกิดบ้าอะไรกันขึ้น…
“ใครมันจะยอมทิ้งลูกน้องเอาไว้ข้างหลังกันวะ! ข้าจะวิ่งกลับไปตามพวกมันเอง! ”
“หยุดก่อนเลยเจ้ายักษ์โง่! ”
“อย่ามาห้าม! แล้วอย่าคิดว่าแค่มีหน้าตาน่ารัก จะทำให้พูด—”
” หุบปากแล้วถ่างหูฟังเสียงก่อนสิยะ! ”
เทพไร้แขนคำรามเสียงดังกระหึ่ม จนกลบเสียงของบุรุษเผ่ายักษ์เสียสิ้น
ถึงฝ่ายตรงข้ามจะมีร่างกายเล็กมากกว่าครึ่ง แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด ในเวลานั้นเขาถึงกลับมองเห็นสตรีเผ่ามนุษย์นกตรงหน้า มีขนาดร่างกายใหญ่ยิ่งกว่าขุนเขา
เป็นความรู้สึกที่กดดัน ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับตัวตนอันยิ่งใหญ่ ที่เขาไม่อาจหาญกล้าไปขัดแย้งได้
“ครับ…”
ทาฑิมเงียบเสียงตัวเองด้วยอารมณ์ที่ขุ่นเคือง
พวกเขากำลังเงียบเสียง
หยุดนิ่งอยู่บนเส้นทางเดินที่มืดสลัวไม่เคลื่อนไหว แล้วเงียหูทั้งสองข้างรับฟังสิ่งแวดล้อม
*แก~*
แล้วพวกเขาก็ได้ยิน
*แกร๊ก~*
ได้ยินเสียงของเครื่องกลบางอย่างที่กำลังดังมาจากพื้นทางเดิน จากตรงตำแหน่งที่พวกเขากำลังยืนอยู่
“ที่ทางเดินมีลูกเล่นซ่อนอยู่!? ”
“มิน่าละ ถึงได้เดินวนอยู่กับที่แบบนี้”
“จะเอายังไงต่อดีเอโซ? ”
สตรีภูติถามสตรีนกด้วยรอยยิ้มที่ซุกซน
“ถามมาได้ ก็รู้คำตอบอยู่แล้วไม่ใช่หรอกหรือเธอนะ? ”
หากว่าทางเดินมีเครื่องกลที่ทำให้เดินหลงทางแล้วละก็ เราควรทำยังไงดี?
หนึ่ง หาทางแก้กับดักเครื่องกล
สอง วิ่งย้อนศรกลับทางเดิม
สาม กระจายกำลังออกสำรวจ เพื่อหาทางปิดเครื่องกล
หรือสี่—
“ลาพิส เปิดเส้นทางให้ที”
พังผนังทางเดินแม่มไปเลย
[รับทราบ ^_<\]
สตรีผมสีฟ้าเริ่มเคลื่อนไหวทันทีที่ได้รับคำสั่ง
เธอย่อตัวต่ำ
ตั้งสมาธิไปที่ฝ่าเท้าของตัวเอง
กำหนดลมหายใจเข้าออก แล้วผ่อนคลายร่างกายในส่วนที่ไม่จำเป็นต้องใช้งาน
ใช้สัมผัสที่หกจับมิติที่ว่าง มองหาจุดเปราะบางของผนังที่อยู่รอบตัว
มองหาจุดอ่อน แล้วกระโดดหมุนตัวตีลังกาแตะใส่ด้วยพลังทั้งหมดที่มี
*เปรี๊ยง! *
ผนัง— ได้พังทลายลง
ภายในผนังปูน มีเครื่องจักรกลซึ่งประกอบด้วยฟันเฟืองจำนวนมากบรรจุอยู่ข้างใน
สิ่งนั้นมันกำลังหมุนตัว บิดให้ทางเดินที่เข้าใจว่าเป็นเส้นตรง ค่อย ๆ หมุนอย่างช้า ๆ เพื่อเชื่อมกับเส้นทางใหม่
เชื่อมต่อ— จนทำให้ระเบียงทางเดินนี้กลายเป็นทางเดินหักโค้ง วนเป็นวงกลมขนาดยักษ์
เป็นทางเดินกลที่คอยหลอกลวง เพื่อให้พวกเราเดินวนเวียนอยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งจุดจบที่แท้จริง
*เปรี๊ยง!! *
“คราวนี้อะไรอีกวะ!?! ”
ราวกับรับรู้ว่าความลับได้ถูกเปิดเผย
พริบตานั้น อัศวินเกราะเหล็กสองตัวที่เคยถูกแยกส่วน ได้กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาอีกครั้งที่ด้านหลังของกลุ่ม
ในคราวนี้ พวกมันมาพร้อมกับค้อนยักษ์ขนาดสามเมตร
เป็นค้อนเหล็กยักษ์ที่เต็มไปด้วยรอยเลือดแห้งกรังฝั่งติดจนแน่น
“เจ้านี่อีกแล้วเรอะ!? ”
บุรุษหนุ่มเผ่ามนุษย์กัดฟันบนกับล่าง แล้วเพ่งสายตามองไปที่อัศวินเกราะเหล็ก
พรรคพวกของเขาทำท่าจะวิ่งหนีต่อ
แต่มนุษย์หนุ่มไม่ได้คิดแบบนั้น
ทำไม… พวกเราถึงไม่ลองสู้ดูก่อน?
เขากำลังคิดเช่นนั้น
ชายหนุ่มยังคงจดจำคำพูดของสตรีทั้งสามคนได้
[ให้โจมตีไปที่เส้นใยแสงสว่าง]
เขา [เพ่ง] พร้อมกับจับปืนรังสีกระบอกเล็กด้วยมือทั้งสองข้าง
[เล็ง] โดยไม่สนใจค้อนศึกที่กำลังง้างสูงเตรียมทุบลงมาบนร่างกายของเขา
[มอง] — มองจนกระทั้งเขามองเห็น
เห็นเส้นใยบาง ๆ คล้ายเส้นเอ็น ที่กำลังโยงใยแผ่ขยายออกมาจากส่วนหน้าอกขวาของชุดเกราะตรงหน้า
“ตรงนั้น! ”
เขาเหนี่ยวไกยิงรังสีแสงออกไป
รังสีความร้อนเข้มข้นที่ยิงออกไปนั้น ได้วิ่งแผดเผาอากาศ หลอมละลายเกราะเหล็กให้เหลวดั่งเป็นเนยเหลว แล้ววิ่งทะลุใส่จุดรวมแสงที่ว่านั้นไป
*กึก*
อัศวินเกราะเหล็กตัวที่ถูกยิงทรุดกายลงแนบพื้น
ค้อนศึกในมือหล่นกระแทกพื้นจนเกิดเป็นหลุมลึก กดทับลงบนพรมสีแดง
เขาไม่รู้ว่าฆ่ามันได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยก็น่าจะพอสามารถถ่วงเวลามันได้อยู่
“เปลื่องพลังงานอาวุธเปล่าน่า— แต่ก็ดี นายเก่งมากเจ้าพ่อบ้านหนุ่ม… ลาพิส ใช้โอกาสนี้เจาะผนังต่อเลย! ”
สตรีผมสีฟ้ารีบพุ่งตัวกระหน่ำลูกแตะไปบนกำแพงที่ถูกเจาะออก
ทำลายเครื่องกลที่กีดขวาง เจาะทะลุจนเป็นรูกว้างไปถึงอีกฟากฝั่งของห้องเครื่องกล
“ห้องอาหาร? ”
“อย่างน้อยใหญ่ระเบียงตรงนี้แล้วกัน หรือแกอยากถูกขังอยู่บนทางเดินแคบ ๆ นี้กับอัศวินผีสองตัวอย่างงั้นเรอะ? ”
“เออ… งั้นขอข้าตามไปด้วย! ”
เหล่ายักษ์รีบวิ่งตามกลุ่มสามสาวเข้าไปในรูปบนกำแพง
มุดลอดผ่านห้องเครื่องจักรกลที่ถูกถล่มพัง เข้าไปสู่ภายในห้องโถงที่เปิดกว้าง
” พวกแกเองก็รีบตามมา—”
ทาฑิมหยุดชะงักในตอนที่กำลังหันหลังกลับไปเรียกเหล่าลูกน้อง
ที่ข้างหลังของกลุ่มพวกเขา มีบางสิ่งกำลังม้วนตัวยกสูงขึ้นมาจากพื้น
มันไม่ใช่อัศวินเกราะเหล็ก
หากแต่เป็นพรมสีแดงสลักลายทอง ที่ปูอยู่บนพื้นทางเดินที่พวกเขากำลังยืนกันอยู่เมื่อกี้
เจ้าสิ่งนั้นมันยกตัวเองสูงขึ้น แล้วแผ่ตัวเองออกกว้างเหมือนแม่เบี้ยของงูเห่า
ใช้จังหวะที่สายตาของทุกคนมองไปตรงรูบนกำแพง เข้าตะครุบเหยื่อผู้โชคร้ายที่ยืนอยู่แถวหลังสุด
*สวบ*
มันใช้ร่างกายที่เป็นผืนพรมขนาดใหญ่ บีดรัดร่างของเหยื่อที่กำลังดีดดิ้นหาอิสระภาพให้นิ่งสลบ แล้วสูบกลืนหายเข้าไปในใต้พรมสีแดง
ทาฑิม กำลังยืนมองดูลูกน้องเผ่ายักษ์คนสุดท้ายของตัวเองถูกพรมกลืนกินหายไปต่อหน้าต่อตาของตัวเองพอดี
ตอนนี้เขาได้คำตอบแล้ว ว่าลูกน้องจำนวนมากที่หายไปอย่างลึกลับ ได้หายไปด้วยวิธรการใด—
“ไอพรมสารเลว!!! ”
ทาฑิมคำรามด้วยความโกรธ
เขาเลือดขึ้นหน้าแล้วกระโจนกลับเข้าไปในพื้นที่ระเบียง
ใช้มืออันใหญ่โตจับร่างกายของมนุษย์หนุ่มที่ยังอยู่ในห้องเครื่องกล โยนเขาให้ลอยผ่านรูกว้างบนกำแพง
ก่อนจะใช้มืออีกข้างออกแรงดึงฟันเฟืองของเครื่องกลที่ติดตั้งรายรอบในห้อง ให้มันพังถล่มลงมาปิดเส้นทางเดินเพียงหนึ่งเดียวที่มี
“พวกเจ้าล่วงหน้าไปก่อนเลย ข้าจะอยู่เล่นกับไอผีบ้าพวกนี้เอง! จะให้มันสำนึก ว่าถ้ามายุ่งกับลูกน้องของข้าแล้วจะต้องพบกับสิ่งใด!! ”
ว่าแล้วภาพของบุรุษเผ่ายักษ์ผู้องอาจก็จมหายไปในอีกฟากของกำแพงไป—
MANGA DISCUSSION