***วันที่ 35 เกอเนริบส์ ปีประวัติศาสตร์ที่ 126***
เวลา 24:00 น. ทวีปป่าหิน-ร็อค ฟอร์เรส
เป็นเวลา 5 วัน นับตั้งแต่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์มังกรทมิฬกับสัตว์โลกวิญญาณบุกเมืองหลวงของเผ่ายักษา
เสียงตอกตะปู
เสียงคนงานที่ผิวกายเต็มไปด้วยเหงื่ออาบร่างกายจนเหนียวและเหม็นฉุน
เสียงสัตว์ลากเลื่อน
เสียงก่อสร้างและรื้อค้นซากยังคงดังต่อเนื่องไม่มีวันหยุด
“ตรงนี้มีคนถูกอาคารทับอยู่! ขอเบฮีมอธสักตัวสองตัวมาทางนี้หน่อย!”
“ทางฝั่งทิศตะวันออกต้องการดินจำนวนมากถมทำทาง ใครก็ได้ ช่วยไปจับอสูรงามาเพิ่มที เราต้องการแรงงานขนดิน!”
ถึงจะมีเทคโนโลยีก้าวล้ำ หรือสามารถจัดจ้างพึ่งพาเผ่าภูติหรือเผ่าคนแคระ ผู้มีความสามารถในการก่อสร้างอย่างน่าอัศจรรย์ แต่พวกเขากลับปฏิเสธความเมตตาจากเพื่อนบ้านแสนดีไป
เผ่ายักษาเลือกที่จะใช้สองมือของตัวเองในการฟื้นฟูบ้านเมือง
หากว่าสิ่งใด ๆ ล้วนได้มาแต่โดยง่าย แล้วจะมีคุณค่าทางจิตใจได้เยี่ยงไรกันเล่า?
เมืองหลวงของเผ่ายักษา พังพินาศสิ้นไม่เหลือแม้แต่ฝุ่นไปถึงสามในสี่
ประชากรล้มตายและสูญหายกว่า 70%
เป็นจำนวนมากเหลือคณานับจนเพียงแค่คิดถึง ก็รู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง
แม้แต่ที่นี่เองก็มีบรรยากาศเศร้าหมองไม่แพ้กัน
ณ สนามบินนานาชาติ ประจำทวีปป่าหิน ใจกลางกรุงเมืองหลวง
อาคารที่เคยครึกครื้นและเต็มไปด้วยเสียงของมังกรคำรามแข่งขันกับเครื่องยานยนต์ กลับช่างเงียบเหงาและสงบ
ถึงจะเต็มไปด้วยผู้คนต่างเผ่าจำนวนมากที่มารวมตัวเบียดเสียด แต่ทว่าคนเหล่านั้นกลับมุ่งหน้าแต่เพียงจะบินออกนอกทวีปกันแทบทั้งหมด
ไม่มีใครคิดที่จะพูดคุยถึงประสบการณ์อันน่าตื่นตาจากการท่องเที่ยว เพราะพวกเขารู้ดีว่ามิใช่เวลาที่ควรจะมาสนุกสนานบนความเศร้าของสหายเพื่อนร่วมโลก
“ขอขอบคุณทุกท่านที่มาเที่ยวทวีปป่าหินของพวกเราเผ่ายักษา! ขอให้ปลอดภัยในการเดินทางครับ!”
“ต้องขออภัยด้วยค่ะ ที่พวกเราสามารถหามาได้เพียงแค่นี้… พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกท่านจะมีความสุขตลอดการมาเที่ยวในประเทศของพวกเรานะคะ”
ชายหญิงหน้าตาดีสวมชุดตัวเนียบกำลังยิ้มร่ารับแขกที่หน้าประตูหักครึ่งของสนามบิน
พวกเขาใช้ไม้มาตีปิดเสริมความแข็งแรงชั่วคราวพอให้ดูเป็นรูปร่าง แล้วดึงบานประตูที่เคยติดประทับออก จนกลายเป็นซุ้มทางเข้าอาคารอันแปลกตา
รอยยิ้มที่ไม่เข้าสถานการณ์ของเผ่ายักษาผู้มาต้อนรับ ทำให้เหล่านักท่องเที่ยวล้วนแล้วแต่รู้สึกแปลกใจ
พวกเขาถือดอกไม้หน้าตาประหลาดที่มีแกนทรงกลม และมีกลีบใบปลายแหลมคล้ายเขาคู่ของเผ่ายักษ์ งอกออกมาจากแกนทรงกลมนั้น
ดอกไม้พวกนั้นมีหลากสี แตกต่าง และให้ความรู้สึกถึงความมั่นคง
มันคือดอกไม้ [ยักษา] เป็นดอกไม้รูปร่างที่ดูคล้ายส่วนหัวของเผ่ายักษ์ และขึ้นได้เฉพาะตามเขตภูเขาสูง อันเป็นเอกลักษณ์ของทวีปป่าหิน
“พวกคุณ—”
““หวังว่าพวกท่านจะกลับมาเที่ยวอีกครั้งครับ / ค่ะ!””
พอเห็นรอยยิ้มนั้นแล้ว ผู้ชายเผ่ามนุษย์ที่มีผมสีน้ำตาลอ่อน กับบุรุษเผ่ามดที่ยืนอยู่ข้างเขา ก็ถึงกับพูดไม่ออก แล้วรับดอกไม้นั้นมาด้วยรอยยิ้ม
ถึงจะทุกข์
ถึงจะเศร้าหมอง
แต่พวกเขายังคงสร้างรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าเพื่อรับแขกผู้มาเยือน
พวกเขา เผ่ายักษา ยังคงยิ้มได้—
ผู้เหลือรอดยังคงต้องก้าวเดินหน้าต่อ
เราจักสร้างมันขึ้นมาใหม่
ความดับสูญมิใช่จุดจบ หากแต่เป็นสัญญาณของการจุติสิ่งใหม่ขึ้นมาทดแทน
เก็บซากศพของผู้เคราะห์ร้าย ล้างซากอารยะเก่า แล้วสรรค์สร้างเมืองขึ้นมาใหม่
เผ่ายักษา ไม่ว่าจะยุคสมัยใด ๆ พวกเขายังคงมีจิตใจกล้าแกร่งดั่งเช่นรูปลักษณ์ที่สะท้อนออกมาให้เห็น
จิตวิญญาณแห่งยักษาจะไม่มีวันเสื่อมสลาย
เป็นเช่นนี้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และตลอดไป—
***
“จบไปอีกเรื่อง~ ที่เหลือก็แค่รอเวลาเท่านั้น”
“ถ้าเจ้ายักษ์หื่นมันรู้ว่าพวกเราสามคนคือเทพเจ้าที่มอบพลังให้ เพื่อหวังใช้เป็นเหยื่อ มันจะทำหน้ายังไงกันเนี่ย? ”
เรากับสหายกำลังยิ้มหัวเราะอย่างชั่วร้ายอยู่ในยานโลมาของตัวเองที่จอดอยู่ในสนามบินพัง ๆ ของเมือง
ที่ข้างนอกไม่ไกลออกไป กำลังเต็มไปด้วยผู้คน
พวกสิ่งมีชีวิตเดินดินพวกนั้นล้วนแต่แย่งยื้อขึ้นเครื่องบินกลับพระเทศ เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่สนามบินได้กลับมาเปิดทำการ
พอมองดูแล้วก็ชวนให้รู้สึกน่าสงสาร
พวกยากจนที่ไม่มีปัญญาซื้อยานเป็นของตัวเอง ช่างน่าสงสารเสียจริงจริ๊ง~
[แล้ว– หลังจากนี้จะทำอะไรกันต่อดีคะ? ≧︿≦]
สหายลาพิสเขียนป้ายถามเราพร้อมกับวาดรูปใบหน้า [≧︿≦] อยู่บนบอร์ดสีขาว
อ่าว… ทำไมถึงเขียนหน้างอนแบบนั้นกันละคุณเธอ~
อย่าบอกนะว่ากำลังงอน เพราะเราไม่ยอมให้เธอออกไปสู้ตอนศึกมังกรทมิฬ?
โถ่ โถ่ โถ่~
“ดีละ งั้นเป้าหมายถัดไป พวกเราจะสะกดรอยตามเจ้าฑาทิม เพราะเล่นใหญ่ขนาดนี้ไปแล้ว ยังไงศัตรูมันต้องมาปรากฏตัวต่อหน้ามันอย่างแน่—”
อย่างแน่นอน
กำลังจะพูดแบบนั้น แต่กลับต้องหยุดคำพูดของตัวเองไปก่อน
เพราะว่าดันมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังบุกรุกยานของพวกเราอยู่
แถมไอลักษณะของจิตสัมผัสแบบนี้มัน— คุณป้าเทเรซ่ากับพวกเด็กแสบไซน์?
ทำไมป้ามาอยู่ที่นี่?
แล้วทำไมถึงมากับยัยมนุษย์นกติดบัค [เปอร์ไซต์] กับมังกรของเธอกันละ?
นี่ไปทำอีท่าไหนถึงมากับป้าได้เนี่ย?
แถมยัยนกนั่นยังมาหาพวกเราด้วยสภาพอารมณ์ที่กำลังหงุดหงิดได้ที่อีกต่างหาก!
ถ้าจะโกรธ ก็ไปคนที่ฆ่ามังกรอย่างเจ้าฑาทิมไปสิยะ ไม่ใช่มาลงที่พวกเรา!
ไอการจับกลุ่มที่น่าประหลาดนี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไงกันเนี่ย!!?
รู้สึกได้ถึงเรื่องปวดหัวที่จะตามมาเลยวุ้ย!
เราหันไปมองสหายแมรี่กับลาพิส
แมรี่เริ่มทำตัวเลิกลั่นอย่างกระวนกระวายใจ
ส่วนยัยลาพิสนั้น กำลังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน…
หน่อย.. ยัยลาพิส! น่าจะรู้ตัวก่อนพวกเราแล้วแท้ ๆ แต่ทำไมถึงเก็บเงียบเอาไว้กันเนี่ย!?
*ตึก*
ป้าเทเรซ่ากับพวกตัวป่วนกำลังเดินเข้ามาใกล้ห้องสะพานเดินเรือที่พวกเรากำลังนั่งเล่นกันอยู่
*ตึก*
สัมผัสวิญญาณบอกว่าพวกเธอเข้ามาใกล้มากขึ้น จนเริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าเดิน
*กึก*
พวกป้ามาหยุดอยู่หน้าประตูห้องแล้ว…
“สวัสดี~ ยานลำนี้สวยไม่เลวเลยนี่? ”
ป้าเล่นเปิดประตูเข้ามาแบบไม่ขออนุญาตจากฝั่งพวกเราเลย
ส่วนยัยนกติดบัก มันเล่นถือวิสาสะอุ้มไข่สีดำเข้ามาวางภายในห้อง
ดวงตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยรอยน้ำตา เหมือนกับคนที่พึ่งร้องไห้ข้ามวันข้ามคืนมา
โชคดีที่ดูท่าความโกรธซึ่งกำลังพวยพุ่งผ่านออกมาจากคลื่นวิญญาณ จะไม่ได้มุ่งตรงมาที่พวกเรา
“พอดีว่าป้าคิดถึงพวกเธอ ม้าก~ มาก~ ทั้งหนูไซต์ก็ดี นาดี้ โอบีเดี้ยน แคนนี่ก็ดี~ แล้วยังพวกเธอที่เป็นผู้ใหญ่กว่าด้วย~”
“แหม่~ พวกเธอทุกคนนี่ ช่างเป็นเหล่าลูกรักของยายแก่เทเรซ่าที่มี [นิสัย] น่าร้าก~~ กันเสียจริง ๆ เลยน้า~”
“นี่ถ้าไม่ได้ลาพิสแอบส่งเมล์มาบอกที่อยู่ของทุกคน กับไม่ได้คุณน้องนกสุดน่ารักที่บังเอิญไปเจอแถว ๆ สนามบินมาช่วยแหกประตูยานบุกเข้ามา แม้แต่ป้าเองก็คงไม่คิดว่าจะได้เจอพวกเธอเร็วขนาดนี้หรอกน้า~”
“รู้สึกว่าจะ— ประมาณ 30 วันได้แล้วมั้ง? ”
ถ้าให้ถูกคือ 32 วันต่างหาก
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ดูท่าว่าป้าแกจะกำลังโกรธมาก
โกรธจนพูดจาสุภาพและยืดยาวกับพวกเราจนรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาได้
“ว่าไงจ๊ะเหล่าลูก ๆ ที่น่าร้าก~ ของป้าเทเรซ่า~ รบกวนช่วยเปิดประตูให้ป้าทีจะได้ไหมจ๊ะ ❤”
ยัยลาพิส…
แค่ห้ามไม่ให้ต่อสู้นี่ ถึงกับต้องเล่นงานกลับแบบนี้เลยอย่างงั้นเรอะ?
ทำกันได้นะ!
***ณ กระท่อมน้อยของตระกูลผู้สืบสายเลือดผู้กล้าเผ่ายักษา***
ข้า ยักษาฑาทิม กำลังเดินอยู่ในเขตของตระกุลที่แสนชิงชัง
แต่ในวันนี้ กลับไม่มีสายตาของใครในตระกูลที่มองข้าเหมือนกับแต่ก่อน
ไม่มีสายตาดูถูก
ไม่มีคำพูดเหยียดหยาม
แทนที่จะบอกว่าพวกเขาไม่ดูถูกข้า คือต้องบอกว่าพวกเขากำลังกลัวข้าอยู่มากกว่า
หลังจากที่ข้าฆ่าไอเจ้ามังกรบ้านั่นได้ ข้าก็สลบไปสามวันสามคืนติด
พอตื่นขึ้นมา ก็พบว่ารู้สึกปวดกล้ามเนื้อไปทั่วทั้งร่างกาย
พละกำลังเองก็หดหาย แถมยังรู้สึกว่าน้ำหนักตัวมันเบาโหว่งแปลก ๆ
แถมความสามารถพิเศษอย่างไอการมีเกราะไฟหุ้มตัวเอง บินได้ เมื่อตอนนั้น ยังหายไปเอาเสียดื้อ ๆ
ราวกับว่าความสามารถในช่วงเวลานั้นคือความฝัน
แต่มันไม่ใช่ความฝัน เพราะมีคนได้เก็บภาพเอาไว้ตลอดการต่อสู้
มันคือความเป็นจริง
เนื่องจากข้าไม่อาจตอบคำถามให้กับทุกคนได้ว่าทำไมความสามารถเหนือสามัญสำนึกถึงหายไป ข้าเลยเล่าถึง “เสียง” ที่ข้าได้ยินมา ณ เวลานั้นให้พวกนักข่าวฟัง
เล่าออกไปว่า “ข้าได้ยินเสียงของเทพเจ้าทั้งสาม”
“ผู้ที่ให้พรกับข้า คือเทพเจ้าทั้งสามผู้สร้างโลกใบนี้”
ผลลัพธ์— แน่นอนว่ามีทั้งพวกที่เชื่อกับหาว่าข้าประสาทหลอนไปเอง
แต่ก็นั่นละ เพราะมันอธิบายไม่ได้ถึงที่มาของความแข็งแกร่ง ชาวเมืองส่วนใหญ่เลยกลายเป็นเริ่มรู้สึกหวาดกลัวข้าขึ้นมาแทน
ไม่แปลกที่จะรู้สึกกลัวพลังที่ไม่รู้ที่มาที่ไป แถมสมัยก่อนพวกชาวเมืองก็ยังเคยดูถูกข้าเอาไว้มากเสียด้วย
คงกลัวจะถูกข้าแก้แค้นนั่นแหละ
“ฮึม!”
“เหววอออ!? ”
ข้าลองเพ่งสายตาขู่ไปที่ญาติไม่คุ้นหน้าคนหนึ่ง
เขาถึงกับตะโกนกรีดร้อง แล้วหันหลังวิ่งหนีหายไปในสวนมังกรเลย
ขี้ขลาดชะมัด…
ข้าเดินต่อไปตามทางเดินในสวนที่พังไปเกือบครึ่ง จนกระทั้งมาถึงกระท่อมของยายที่ตั้งอยู่มุมในสุด
คงต้องบอกว่าโชคดีมาก ที่มันไม่มีส่วนไหนบุบสลายหรือเสียหายจากการต่อสู้อันบ้าคลั่งในครั้งนี้แม้แต่น้อย
“ยาย ข้ามาแล้ว อาการของยายกับเจ้าลี่เป็นยังไง— เฮ้ย!!”
ยายกับเจ้าลี่กำลังเล่นมวยปล้ำกันอยู่
เออ ข้าพูดไม่ผิด พวกยายกำลังเล่นมวยปล้ำกันอยู่ตรงทะเลสาบข้าง ๆ กระท่อมนี้เลย
เล่นในสภาพที่มีผ้าพันแผลทั้งตัวเนี่ยแหละ
ให้ตายเถอะ ถึกเป็นบ้า
“ยายพรุน เจ้าลี่! ดูแข็งแรงดีนี่!”
“มาเยี่ยมยายอย่างงั้นหรือเจ้าโง่! ฮะ ฮะ ฮะ! มาสิ! มาเล่นมวยปล้ำกับพวกยายกัน!”
“เดียวก่อนสิยาย ข้าไม่ได้มาเพื่อ— เหวอ! อย่ามาจับทุ่มกันแบบไม่บอกกล่าวกันก่อนแบบนี้สิยาย!!”
สุดท้ายเลยถูกจับเล่นมวยปล้ำแบบไม่คาดฝันไป…
พวกเราเล่นกันจนเวลาล่วงเลยมาถึงกลางวัน
พระอาทิตย์ได้สาดแสงลงมาพร้อมกับสายลมเย็นอันสดชื่นของฤดูใบไม้ผลิ
ช่างสงบสุข
ช่างมีความสุข
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าก่อนหน้านี้จะมีเหตุการณ์วุ่นวายระดับเกือบล่มสลายไปทั้งเมืองเกิดขึ้น…
“ฑาทิม…”
“มีอะไรหรือยาย? ”
“เจ้า— คิดจะทำอะไรต่อไปหรือ? ”
“คงออกเดินทาง หาภารกิจค่าตอบแทนงาม ๆ กับพรรคพวกนะยาย”
“เป็นเป้าหมายที่ไม่เลวนะ ฮะ ฮะ ฮะ”
ยายพรุนหัวเราะด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข แล้วหันมามองที่ข้าด้วยดวงตาของคนเป็นแม่
“ฑาทิม ยายขอบคุณเจ้ามาก ที่ช่วยปกป้องเจ้าลี่เอาไว้”
“ไม่เท่าไหร— เดียวสิ… นี่ยายรู้!? ”
“ก็ไม่รู้ทั้งหมดหรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ในคืนนั้นที่ทุกคนในบ้านออกมาร่วมงานเลี้ยงข้างนอก ยายบังเอิญเห็นเจ้ากับพรรคพวกบินซ่อนอยู่ใต้เงาของแสงจันทร์ ยายเลยรู้สึกสงสัยแล้วแอบหนีออกจากงาน ตามรอยพวกเจ้ามาอีกที ยายคิดว่าการที่เจ้าลักพาตัวลี่ของยายหนีไป คงต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่าง เพราะหลังจากนั้นเจ้าหลานโง่ เอลเดอร์ เบอร์รี่ ก็ดูมีความสุขจนออกนอกหน้ามาก ช่างเป็นหลานที่โง่เสียจริง”
ทั้งที่เห็นข้าขโมยมังกรของยายไปต่อหน้า แต่กลับเชื่อใจข้า แล้วไม่เข้ามาห้าม
ยาย…
การที่มีใครสักคนเชื่อใจเราอย่างสุดหัวใจนี่มันช่างดีจริง ๆ …
มันดีมากเลยละ…
“ในเมื่อเจ้าคิดจะออกเดินทางต่อ งั้นรอบนี้จงเอาดาบของยายติดตัวไปด้วยซะ”
“เอะ? แต่ว่าดาบเล่มนั้นมัน—”
“เอาไปเถอะ ถึงจะเป็นดาบที่ยายได้รับมาจากพ่อบานากับแม่แครอทที่เป็นผู้กล้าโดยตรง แต่ถ้าไม่มีคนใช้งานมัน มันคงน่าสงสารแย่ ให้มันอยู่ในมือเจ้านั่นแหละดีแล้ว”
ให้คนอย่างข้าใช้ดาบเล่มนั้นมันจะดีหรือ?
“ไม่ต้องมาตงมาแต่ ยายนำมันส่งไปทางบริษัทขนของเรียบร้อยแล้ว ป่านนี้คงไปถึงที่โรงแรมพร้อมพังของเจ้าแล้วละ”
นี่ยาย… ปกติไอของแบบนี้มันต้องส่งมอบมือถึงมือไม่ใช่เรอะ!
ข้ายิ้มหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วโค้งตัวอำลายายพรุนอีกครั้ง
ตอนนี้ยายกับเจ้าลี่แข็งแรงดีแล้ว
ไม่มีอะไรที่ข้าต้องเป็นห่วงอีก
มันได้เวลาที่ข้าจะต้องเดินทางต่อ
“งั้นขาขอตัวก่อนนะยายพรุน!”
“เออ! อย่าลืมส่งเมล์มาบ้างละ!”
***
วีรสตรีพรุนไม่เคยบอกใคร
เธอไม่เคยบอกใคร ว่าตราประจำตระกูลนั้นหาได้มีอยู่จริง
ผู้กล้าเผ่ายักษาในอดีต หรือพ่อแม่ของเธอนั้น เป็นพวกสมองทึบและนิสัยหยาบกระด้างเกินกว่าจะมาสั่งช่างฝีมือจัดทำตราประจำตระกูล
ตราผู้นำตระกูลผู้กล้าอะไรนั้น มันไม่เคยมีอยู่จริง
ผู้กล้าเผ่ายักษ์นั้นมีลูกมากมาย
เขาให้ความรักเท่าเทียมกันทุกคน
ในสายตาของเขา ทุกคนที่สืบสายเลือดล้วนแต่มีความเท่าเทียม
ยามเมื่อเขาสิ้นอายุขัย
ณ เวลานั้น ลูกหลานล้วนต่างยอมรับในฝีมือของพรุน
พวกเขายกพรุนให้เป็นผู้เก่งกาจที่สุดของรุ่น
พวกเขายอมรับใน [จิตวิญญาณแห่งยักษา] ที่พรุนมี
เข้าใจมังกร กล้าหาญ แข็งแกร่ง และอ่อนโยน รวมไปถึงปกป้องผู้อ่อนแอ
ยามเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านมาสามกึ่งรุ่นที่สี่ ผู้คนกลับลืมเลือนถึงความหมาย
การยอมรับถึงจิตวิญญาณแห่งยักษาต่างหาก คือสิ่งที่ทำให้พรุนได้เป็นผู้นำตระกูลจากรุ่นสู่รุ่น
ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับสิ่งของ เงินตรา อำนาจ หรือตราประทับใด ๆ
หากแต่เป็นเพียงแค่การได้รับการยอมรับจากทุกคน—
“ฑาทิม ยายมันแก่เกินแกงแล้ว ขอฝากจิตวิญญาณของยายเอาไว้ที่เจ้า จงกวัดแกว่งดาบเล่มนั้นต่อไปแทนยายด้วย—”
วีรสตรีพรุนพูดกับตัวเองเช่นนั้น
MANGA DISCUSSION