นิ้วของข้ากำลังจะเหนี่ยวไกยิงฉมวกเหล็ก—
*พรึบ*
— เงา?
“ทุกคน วิ่ง!”
“เหวอออ!!!”
ข้ากับพรรคพวกต่างรีบวิ่งป่าราบเพื่อไปให้พ้นจากเงามืดที่กำลังขยายใหญ่มากขึ้นทุกขณะ
บนท้องฟ้าที่เจิดจ้า มีวัตถุหนึ่งกำลังปลิวมาทางพวกเรา
มันมีรูปร่างที่ยาวถึง 50 เมตร เต็มไปด้วยเกล็ดหนาสีน้ำเงินอมฟ้าหุ้มกาย
รูปร่างแบบนั้น— เจ้าลี่ของยายไม่ใช่เรอะ!?
*ตึ่ง!*
ร่างมังกรของเจ้าลี่กำลังไถลไปกับพื้นหญ้า จนผิวดินถูกขุดขึ้นมาให้กลายเป็นเนินสูง
เศษดินและความชื้นได้ปลิวกระจายไปในอากาศ กระเด็นกระดอนไปทั่วจนต้องรีบยกแขนขึ้นมาปัดป้องใบหน้า
*เพล๊าะ*
เกิดเสียงคล้ายมะเขือเทศแตกดังขึ้นมาเบา ๆ ในขณะที่ร่างของเจ้าลี่กำลังไถลผ่านหน้าไป
พอหรี่ตามองท่ามกลางม่านดินที่กำลังฟุ้งกระจาย ก็ไม่พบร่างของเจ้าชาติชั่วเอลเดอร์อีกต่อไป
ตรงหน้าของข้ามีเหลือเพียงแค่รอยเลือดสีดำ กับเศษเนื้อคลุกขี้ดิน ทิ้งเอาไว้อยู่บนพื้นเท่านั้น
“… ”
บทจะไปก็ไปได้ทันทีเลยนะชีวิตคนเราเนี่ย
*เคร๊ง!*
“อั๊ก!”
ในตอนนั้นเองที่มีอีกเงาหนึ่งตกลงมากระแทกใส่พื้น พร้อมกับเสียงกระทบของโลหะที่กำลังถูกฝั่งลงไปในดิน
เงานั้นมีผมสีม่วง ผิวเหี่ยวย่นสีเขียวอ่อน และเต็มไปด้วยรอยแผลพกช้ำที่ถูกอัด
“ยาย—”
*ฮูมมมมม!!*
“เหวอ!?!”
“ลมบ้าอะไรเนี่ย!? จะปลิวแล้ววว!”
“แง! น่ากลัวอ๊ะ!”
ข้า พรรคพวกของข้า มังกร รวมไปถึงยานกระทิงที่มีพวกเด็กจิ๋วนั่งรออยู่กับเจ้าเบอร์รี่ กำลังปลิวเป็นเศษใบไม้
ร่างกายและขาไม่อาจได้รับอิสระ ทำได้เพียงแค่ว่ายอากาศอย่างอับจนหนทางชั่วขณะ
“ทุกคนเกาะยานกระทิงเอาไว้!”
เวลานั้นเอง ที่มียานกระทิงลำหนึ่งบินไต่กระแสพายุเข้ามาหา
ข้ารีบคว้ายานลำนั้นเอาไว้ ก่อนที่จะปลิวไปกับกระสมมากไปกว่านี้
“แก— เบอร์รี่เรอะ? ”
ยานกระทิงลำนั้นถูกขับโดยเจ้าเบอร์รี่
มันหันมายกนิ้วให้กับข้า แล้วเริ่มหักคันบังคับ ตีวงโค้งไปกับกระแสลม
โชว์ลีลาการขับอันน่าทึ่ง วิ่งไต่ไปเป็นหนึ่งเดียวกับพายุอันบ้าคลั่ง แล้ววนรับพรรคพวก กับมังกร ให้เกาะตัวเป็นขบวนสะพานอยู่ที่ข้างคันรถซ้ายและขวา
สะ— สุดยอด!
คิดถูกจริง ๆ ที่สั่งให้มันนั่งรอบนยานเพื่อเอาไว้
*ฉึบ!*
“เหวอ!? กรงเล็บ!!”
ท่ามกลางพายุที่บ้าคลั่ง มีกรงเล็บหนึ่งกำลังแหวกม่านพายุเข้ามา
ข้ารู้สึกได้ถึงลมที่กรีดใบหน้า กับเสียงกรีดร้องที่หวีดแทงข้างสองใบหู
รู้สึกถึงแรงชักกระตุกรุนแรงของยานกระทิง ที่กำลังหักยานทิ้งตัวลงราวกับกำลังจะพุ่งชนโลก
กรงเล็บนั้นวิ่งผ่านเหนือยานของพวกเราระดับอีกเสี้ยวมิลลิเมตร ก็จะฉีกยานให้เป็นชิ้น ๆ
เกล็ดสีดำแบบนี้— ของมังกรทมิฬ!!!
*ฟูวม! *
“เฮ้ย!!”
ถึงจะหลบกรงเล็บพ้น แต่เพียงแค่แรงเหวี่ยงของมันก็สามารถทำให้พายุนั้นสลายหายไป
มวลอากาศที่เกิดจากการเหวียงกรงเล็บของมัน กำลังอัดให้ยานของพวกเรากลิ้งคว่ำตีลังกากลับ
*วิ้งงง—!*
ไม่อาจรับรู้ทิศทาง
สติเริ่มมัวเมา ได้ยินแค่เสียงลมก้องอยู่ภายในหัว
ลิ้นสัมผัสได้ถึงรสชาติของเลือดตัวเอง
“อั๊ก!”
พอรู้ตัวอีกที ก็พบว่าตัวเองกำลังนอนคลุกอยู่บนพื้นดินไปแล้ว
“อ๊า…”
รู้สึกว่าแขนกับขาจะหักไปอย่างละสองข้าง…
ไม่อาจมองเห็นแสงอาทิตย์
เพราะเบื้องหน้ามีมังกรทมิฬกำลังยืนบังแสงอาทิตย์เอาไว้
หูเริ่มได้ยินเสียงกลับมา
ได้ยินเสียงที่กำลังหายใจรวยรินของเจ้าลี่กับยายพรุน ที่กำลังเร่งสูดอากาศลงปอดเพื่อพยุงไฟชีวิตไม่ให้ดับ
ที่ข้างกายของยาย มีดาบดำแสนรักปักลงพื้นคานิ่งสนิทไม่เคลื่อนไหว
เป็นภาพ— ของความพ่ายแพ้ที่ข้าไม่อยากจะเห็น
ข้าเริ่มเข้าใจสถานการณ์แล้ว..
ยายพรุนกับเจ้าลี่… ไม่สามารถเอาชนะมังกรในตำนานได้…
*กรร*
เจ้ามังกรกำลังคำรามเบา ๆ ด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยแผลบาดลึก
มันเองก็ดูบาดเจ็บไม่แพ้ยายพรุนกับเจ้าลี่เช่นกัน
แต่แผลเหล่านั้นมันกำลังสมานตัวกลับอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ
ไอขี้โกง…
*ฮูมมมม!!*
มันคำรามอย่างบ้าคลั่ง
เสียงของมันสั่นสะท้านจนแทบทำให้แก้วหูแทบแตก
มันกำลังเริ่มสะสมความร้อนขึ้นที่ตรงรอบปาก
เกล็ดตามลำตัวเรืองแสงสีขาวอ่อนระบาย ราวกับเป็นส่งสัญญาณเตือน ว่าคราวนี้จะรุนแรงยิ่งกว่าเคย
“!!!”
ยายพรุนกับเจ้าลี่ดูไม่มีทีท่าว่าจะยืนไหว
คนอื่นเองก็กระจายตัวหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
แต่ที่ข้ารู้อย่าง คือสัญชาตญาณมันกำลังบอกข้า ว่าจะปล่อยให้มันพ่นไฟออกมาไม่ได้
เพราแค่เห็นปริมาณแสงสะสมที่มันกำลังรวบรวม ก็รู้แล้วว่ารอบนี้จะรุนแรงยิ่งกว่าครั้งที่ผ่าน ๆ มา
อาจถึงขั้นปลิวหายไปทั้งเมือง
ตาย
ตายแน่
ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ทุกคนได้ตายแน่!
“อึ๊ก…!”
ลุกขึ้น!
จงลุกขึ้นสิฑาทิม!
แกจะมายอมแพ้แบบนี้ไม่ได้!
“ฮึ่ม!!”
ที่นี่เหลือแค่แกคนเดียว!
ถ้าไม่ใช่แก แล้วใครจะเป็นคนไปหยุดมัน!
แกต้องทำมัน!
จงรีดอะดรีนาลีนให้หลั่งไหล
จนเค้นพลังกล้ามที่ภาคภูมิใจออกมาใช้
ถ้าร่างกายไม่คิดจะตอบสนอง ก็จงใช้จิตวิญญาณแห่งเผ่ายักษา สั่งการร่างกายโง่ ๆ ของเจ้าให้มันขยับ!
“โอ๊วววว!”
แต่ทว่าร่างกายของเขากลับไม่ยอมขยับ
โลกแห่งความเป็นจริงมันช่างโหดร้าย
หากกระดูกขาหักละเอียดไปแล้ว แค่แรงใจมันจะไปทำให้กลับมายืนได้อย่างไรกันเล่า?
สิ่งที่จะทำเช่นนั้นได้ คงมีแต่ตัวตนที่อยู่เหนือสามัญสำนึกอย่างระดับเทพเจ้าเท่านั้น
ใช่— คงมีแค่เทพเจ้า ที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้—
“ (เปลวไฟแห่งวิญญาณดูเจิดจ้าไม่เลว) ”
… เสียงใคร?
ข้ากำลังได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นมาภายในหัวสมอง
“ (เสียงของเทพเจ้าทั้งสามผู้สร้างโลกใบนี้ยังไงเล่า—) ”
ทะ— เทพ?
นี่ข้ากำลังจิตหลอนประสาทไปแล้วหรือยังไงกัน?
“ (พวกเรา เทพเจ้าทั้งสาม ได้เห็นความพยายามของเจ้า จึงรู้สึกสงสาร ตั้งใจจะมอบ [พรแห่งเทพ] ให้กับเจ้า) ”
“ (แต่หากเจ้ายอมรับพลังนี้ ความลำบากจะมาเยือนเจ้าในภายภาคหน้า ยังจะยอมรับมันอีกหรือไม่?) ”
อะไรกันละนี่?
ถึงจะไม่รู้ว่าเสียงนั้นเป็นของจริงหรือประสาทหลอน แต่เวลาแบบนี้ จะอะไร ข้าก็รับมันทั้งหมดนั่นแหละ
“รับ”
ข้าตอบแบบไม่จำเป็นต้องคิดมากอีก
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่ข้าจะได้สู้ต่อไป
เพื่อปกป้องทุกคนที่ข้ารัก!
“ (เยี่ยม! งั้นจงใช้มันเพื่อปกป้องเมืองของพวกเจ้าในนามของ [เทพทั้งสาม] เสีย!) ”
***
บุรุษฑาทิมไม่รู้ว่าทำมันได้ยังไง หรือเกิดอะไรขึ้น
เขากำลังลุกขึ้นยืน
ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของร่างกาย แล้วเริ่มวิ่งทะยานออกไป
อ้าปากคำรามกู่ก้องจนเส้นเลือดปูดโปน
ดวงตาสีทองเปล่งประกายแสงสว่าง ราวกับมีเปลวไฟลุกโชติช่วงอยู่ภายใน
ผมสีส้มเพลิงที่ยาวเริ่มลู่แผ่ขยายไปตามแรงลม จนดูเหมือนกับภาพของยักษ์ที่ลุกเป็นไฟ
มือสองข้างพุ่งคว้าดาบดำแห่งตระกูลผู้กล้า
ไม่สนผลกระทบย้อนกลับที่จะเกิดขึ้น แล้วเร่งพลังงานรังสีของดาลในระดับสูงสุด จนความร้อนและอำนาจรังสีอาบทั่วร่างกายตัวเอง
“โอ๊ววววว!!! ”
ร่างของฑาทิมกำลังลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟสีฟ้า
ผมสีส้มจักกลายเป็นสีเงิน
บาดแผลทั่วร่างกายจักลุกเป็นไฟพวยพุ่ง หากแต่มิได้ทำร้าย แล้วสมานปิดแผล สร้างเนื้อเยื่อใหม่หุ้มกาย
เข่าคู่บนหัวอันเป็นเอกลัษณ์ของเผ่ายักษา ผุดงอกขยายใหญ่ขึ้น พร้อมกับลุกเป็นเปลวไฟ
แขนและขาถูกหุ้มไปด้วยไฟจนดูคล้ายปีก พาร่างให้เขาโบยบินทะยาน
ตวัดดาบแสงในมือ วิ่งตัดทแยงมุม 60 องศา กับพื้นโลกา เฉือนคอของมังกรทมิฬจนเกล็ดสีดำหลุดกระจาย
“ได้สติกลับมาเดียวนี้นะเจ้าดำ! ลูกถีบ~ [เปอร์ไซต์] !!”
*กรรร!*
ในเวลาเดียวกัน ได้มีสตรีเผ่ามนุษย์นกกับมังกรแปลกหน้าอีกหนึ่งตัว ที่ไม่รู้ว่ามาจากถิ่นใด พุ่งเข้าถีบซ้ำจนมังกรทมิฬปลิวกระเด็น
ภาพที่มังกรร่างยักษ์กำลังปลิวกระเด็นไม่ใช่ภาพหลอน เพราะชาวเมืองเผ่ายักษาต่างกำลังได้เห็นภาพแบบเดียวกันทุกคน
เงาดำได้ถูกปัดเป่าจางหาย
มังกรทมิฬกำลังกลิ้งล้มคว่ำหลายสิบตลบ
แสงอาทิตย์จักส่องทะลุหมู่เมฆาที่ถูกคลื่นดาบแหวกออก
แสงนั้นวิ่งกระทบลงบนร่างของหนึ่งบุรุษยักษา ผู้ลุกท่วมด้วยเปลวไฟสีเงิน
ที่ด้านข้างสองฝั่ง มีหนึ่งสตรี ผู้มีปีกสีแดงสลับขาวงดงามน่ารักดุจเทพธิดากับมังกรเกล็ดสีน้ำตาล บินขนาบคู่อยู่เคียงข้างยักษาตนนั้น
ราวกับเป็นภาพของ— การจุติของเทพเจ้าสวรรค์ก็มิปาน
***ณ ยาน ปลาโลมา ที่กำลังเปิดโหมดอำพรางตัวตนซ่อนอยู่ในป่าภูเขาหินที่ห่างจากเมืองออกไปไม่ไกล***
“… เอโซ นี่พวกเราเล่นใหญ่เกินไปหน่อยหรือเปล่าเนี่ย? การใช้เวทมนตร์ของเทพเจ้าเพื่ออัพพลังให้กับสิ่งมีชีวิตของโลกคนเป็น มันผิดกฏสวรรค์ไม่ใช่หรือ? ”
“เอาน่า~ พวกเราไม่ได้ทำผิดกฏอะไรสักหน่อย~ มันก็มีบางกรณีที่เป็นข้อยกเว้นอย่าง [มีการทำสัญญา] อะไรแบบนี้ไง~ เจ้าฆาทิมมันก็ตอบเองนี่ว่า [ยินดีรับ] ทั้งที่เราพูดเตือนแล้วว่าจะมีความลำบากรออยู่ในหลังจากนี้~”
“พูดง่าย ๆ คือเตรียมคำแถเอาไว้สำหรับการเจอหน้าท่านยมในคราวหน้าเอาไว้แล้วสิเนี่ย? ”
“ไม่ชอบวิธีแบบนี้หรือแมรี่? ”
“เปล่า! ชอบสิ! สมกับที่เป็นเอโซของพวกเรา!!”
เรากำลังพูดกับสหายผมแดงด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
ดูเหมือนว่างานนี้จะไม่จำเป็นต้องให้พวกเราออกโรงเอง
ความจริงตอนแรกก็คิดอยู่ว่าต้องรีบจัดการทุบหัวเจ้ามังกรบ้านั่นให้สลบคาที่ หรือไม่ก็ฆ่าทิ้ง แล้วจับมาแงะปากเพื่อเอาเศษกล่องวิญญาณที่มันกินเข้าไปมาสืบหาเป็นแบะแส
แต่ระหว่างทางที่บินไล่ตามมันมา จนกระทั้งมาเห็นเจ้าฑาทิมกำลังต่อสู้กับมัน เราก็เริ่มคิดบางอย่างขึ้นมาได้
แทนที่จะมาเสียเวลาผ่าท้องเพื่อหากล่องที่ไม่รู้ว่าถูกย่อยไปหมดแล้วหรือยัง สู้สร้างเหยื่อล่อตัวร้ายขึ้นมาเองจะไม่ดีกว่าหรือ?
หลังจากนี้ จะเป็นข้อสมมติฐานของเราเองทั้งหมด
ถ้าให้ดูจากความวุ่นวายทั้งหมดที่ผ่านมา เราพอจะเริ่มรู้สึกถึงความจริงบางอย่าง
ว่าตัวการที่มาป่วนโลกของเรานั้น ดูมีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างความปั่นป่วนเฉพาะกับดาวที่พวกเราสร้างขึ้นมาหรือเปล่า?
ทั้งที่จักรวาลมีดาวเป็นล้าน ๆ ดวง ให้ป่วนเล่น แต่กลับเลือกที่จะป่วนโลกเพียงใบเดียว มันดูโง่มาก
เพราะมันมีโอกาสสูงที่จะถูกใครสักคนจับได้
อย่างพวกเราเอง ในตอนที่จะจัดเวทีสงคราม ยังถึงกับต้องสร้างดาวขึ้นมาใหม่ เพื่อเลี่ยงสายตาของท่านยมเลยนะ
แถมยังถูกจับได้อีก…
ดังนั้น การที่ผู้ก่อการยังคงยึดติดกับโลกใบนี้ ถ้าไม่ใช่พวกบ้า ก็คงจะเป็นพวกที่มีความยึดติดบางอย่างกับโลกใบนี้
แต่นี่เป็นโลกเกิดใหม่ที่พวกเราสามคนเป็นคนสร้างเองกับมือ แล้วใครเล่าจะมายึดติดกับมันได้?
ถ้าไม่ใช่เป็นพวกที่เคยถูกพวกเรากลั่นแกล้งมาก่อน…
ใช่แล้ว ตอนนี้เรากำลังคาดเดาว่าศัตรูที่แท้จริง อาจเป็นพวกที่มีความแค้นกับพวกเรา สามเทพสุดสวยแห่งแดนนรก
พอคิดได้แบบนั้น เลยคิดว่าจะใช้เจ้าฑาทิมให้เป็นหมากใช้แล้วทิ้งของพวกเราไป
มอบพลังให้กับมัน ด้วยการใช้ช่องโหว่ของกฏเทพเจ้า
ให้มันโชว์ลีลาปราบศัตรูในนามของเทพเจ้าทั้งสาม เพื่อเป็นการส่งสารไปถึงอีกฝ่ายรับรู้ถึงตัวตนของพวกเรา
ถ้าศัตรูเป็นพวกที่มีความแค้นกับพวกเราจริง อย่างน้อยก็ควรต้องมาหาเจ้าฑาทิมในสักวันอย่างแน่นอน!
“ว่ายังไงละแผนนี้! แจ่มไปเลยใช่ไหมละ!”
[มันก็แจ่มอยู่หรอกค่ะ แต่… ฉันว่า… พวกเรามอบพลังให้มากเกินไปหรือเปล่าคะ ทำไมถึงไม่ให้ฉันเป็นเหยื่อละคะ ทั้งที่น่าจะเป็นการต่อสู้ที่น่าสนุกที่สุดเท่าที่อาจจะได้สัมผัสแท้ ๆ ค่ะ!o_o?]
ลาพิสกำลังชี้นิ้วไปที่ทิศของเมืองด้วยสีหน้าที่เดาได้ยากว่ากำลังรู้สึกตามอย่างที่เขียนบนป้ายจริงหรือไม่
ตรงปลายนิ้วของเธอ คือภาพของเส้นแสงจากคลื่นดาบ ที่กำลังฟันท้องฟ้าจนแยกออกเป็นสองส่วน
มิติบนท้องฟ้ากำลังถูกฟันขาดเป็นรอบที่สอง
มันเป็นการทดลองฟันดาบด้วยฝีมือของเจ้าโง่สมองกล้าม ที่พวกเราพึ่งจะใช้วิชาเวทมนตร์เทพเจ้าเสริมกำลังให้กับมันไป
เสริมกล้ามเนื้อด้วยการผ่าตัดเวทมนตร์ และวิศกรรมเซลล์ร่างกาย
สร้างชุดเกราะไฟแห่งทวยเทพ หุ้มร่างกาย เพื่อให้มันบินได้
แอบดัดแปลงดาบควายที่มันใช้ ให้กลายเป็นอาวุธระดับแดนสวรรค์ เพื่อให้สามารถตัดเกล็ดหนา ๆ ที่ถูกหุ้มด้วยอณูพลังงานวิญญาณได้
แล้วยังอีกสารพัดที่คิด ทั้งสารเคมีกระตุ้น ฮอร์โมนกระตุ้น รวมไปถึงยัดไวรัสแปลกปลอมที่ช่วยเสริมสร้างการรักษาเข้าไปในร่างกายของมัน
พูดง่าย ๆ คือพวกเราได้เปลี่ยนให้มันมีร่างกายเป็นแบบเดียวกับเทพเจ้าที่จุติลงมาบนโลกเลยแหละ
“…”
เออ… ลาพิสพูดถูก
ดูท่าว่าครั้งนี้จะทำเกินเลยขอบเขตไปจริง ๆ ด้วยแฮะ
MANGA DISCUSSION