“โอ๊วววว!!? หักยานหลบเร็ว!”
“ครับหัวหน้าฑาทิม!”
ยานกระทิงทั้งสี่ลำกำลังบินหักมุมทิ้งดิ่งลงสู่พื้นโลก เพื่อหลบมือของ [ผีเปรต] ที่กำลังยื่นมาคว้าพวกเขา
มืออันใหญ่โตที่เต็มไปด้วยผิวหนังเหี่ยวย่นอันน่าเกลียดของมัน ได้ส่งเสียงหวีดร้องที่น่าสยดสยองผ่านเหนือหัวของพวกเขา ทิ้งเปลวไฟวิญญาณสีขาวเอาไว้ที่เบื้องหลัง
“หัวหน้าครับ! อาวุธรังสียิงพวกมันไม่เข้าเลยครับ!”
“ไฟของเจ้าพวกมังกรก็ยิงไม่เข้าเหมือนกันครับ!”
“ไอเจ้าพวกนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับพวกปีศาจที่พวกเราเจอในคฤหาสน์ผีสิงที่ทวีปออโรร่าเลยครับหัวหน้า! ฆ่ายังไงก็ไม่ตาย แถมยังฟื้นชิ้นส่วนร่างกายตัวเองกลับมาได้อีกด้วย!”
“ตอนทวีปออโรร่าก็ดี ที่ทวีปแห่งความแห้งแล้งก็ดี ทำไมพวกเราถึงเจอผีบ่อยขนาดนี้กันฟะ!!”
เหล่ายักษ์บนยานกระทิงลำน้อยทั้งสี่ลำ ต่างเริ่มกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง
เมื่อรู้ตัวว่าอาวุธในมือที่มีนั้นมิใช่คู่ต่อกรของศัตรู ความหวั่นไหวที่เรียกว่าความขลาดจึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นมาในจิตใจ
แต่ไม่ใช่กับชายผู้นี้
“ไอพวกงี่เง่า! กับอีแค่ผีตัวสองตัวจะไปกลัวมันทำไมวะ! ถ้ามัวแต่หวาดกลัว แล้วจะเอาพลังที่ไหนไปช่วยคน!”
บุรุษยักษาฑาทิมได้เดินตรงไปที่หัวยานกระทิงอย่างอาจหาญ
แววตาของเขาไร้ซึ่งความกลัว แล้วใช้มือทั้งสองลูบหัวมังกรสุดรักของตัวเองเพื่อให้มันสงบลง
เขา– ได้หันหัวไปทางอสูรกายเปรตที่มีความสูงถึง 20 เมตร
บางตัวไล่คว้าจับชาวบ้านที่กำลังวิ่งหนีตายอยู่บนพื้น
บางตัวก็เล็งโจมตีมาทางพวกเขา
“หนูไซน์… พวกเธอรู้วิธีจัดการพวกนี้ใช่ไหม? ”
หากว่าอยากจะได้พลังเพื่อช่วยคนอื่น ต้องยอมรับความความไร้พลังของตัวเองก่อน
เขารู้ตัวดีว่าแค่พละกำลังของตัวเอง คงไม่มีวิธีจัดการปีศาจที่ไม่รู้จัก
แต่กับเด็กที่อยู่ใต้การดูแลของกลุ่มสามสาวนักบวชแห่งวิหารเทพทั้งสาม คงน่าจะรู้จักวิธีรับมืออยู่
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นละคะพี่ชาย? ”
“เพราะว่าหนูคือลูกศิษย์ของสามสาวที่รู้วิธีรับมือเจ้าพวกนี้ยังไงละ อีกอย่าง หนูไซน์ แววตาของเจ้าดูไม่มีความรู้สึกหวั่นเกรงของสัตว์ประหลาดพวกนี้แม้แต่น้อย เป็นแววตาเดียวกันกับของแม่สาวเทพธิดาพวกนั้นนะเลยละ”
“… ถูกต้องค่ะ หนูรู้วิธีรับมือพวกมันค่ะ”
“เอ๋!? พี่ไซน์สุดยอด! สอนนาดี้ทีสิ! นาดี้อยากไปบวกกับพวกมัน!!”
“เดียวช่วยสอนแคนนี่รับมือด้วยนะคะ แคนนี่ยังไม่อยากตายที่นี่ค่ะ”
“แง! เค้ากลัว! พี่ไซน์! บะ– บะ— บอกวิธีรับมือให้โอบีเดี้ยนคนนี้ด้วย!”
นักบวชฝึกหัดไซน์รู้วิธีรับมือ
ช่างโชคดีนัก
เขาไม่รู้ว่านี่คือโชคชะตาหรืออย่างไร กับการที่เขาได้เจอกับเด็กกลุ่มนี้
บางทีอาจจะเป็นฝีมือของเทพเจ้าทั้งสามผู้สร้างโลก ที่นึกสนุกอยากเห็นพวกเขาดิ้นรนต่อสู้ เลยส่งนักบวชฝึกหัดพวกนี้มาให้กับเขากระมั้ง?
“ต้องทำยังไง? ”
“งั้นหนูขออนุญาตเข้าถึงระบบเล็งอาวุธของพวกพี่ ๆ ทุกคน เพื่อทำตำแหน่งมาร์กจุดที่ต้องยิงให้นะคะ”
ไซน์คือนักบวชฝึกหัดที่ได้รับการจับสัมผัสวิญญาณมาแล้ว
การจะทำร้ายวิญญาณที่มีร่างกายเป็นก้อนพลังงานนั้น ต้องใช้พลังงานจำนวนมากเข้าสลายร่างกายของมัน
ถ้าเล็งโจมตีอย่างไม่รู้จุดศูนย์รวมพลังงาน ก็เปรียบได้เหมือนกับเอาก้อนหินที่โยนลงบ่อน้ำจนกว่าจะเต็ม เพื่อให้ภาชนะของพลังงานล้นออกมาจากอ่าง
แต่ถ้ารู้จุดตาย จะสามารถทำลายภาชนะนั้นได้ด้วยการปาหินเพียงก้อนเดียวเท่านั้น
เมื่อภาชนะแตกแล้ว ของเหลวย่อมที่จะไม่สามารถคงรูปได้อีกต่อไป
“จัดการได้เลย”
ว่าแล้วบุรุษผมสีส้มเปลวเพลิงก็หยิบฉมวกระเบิดขนาด 4 เมตร ขึ้นมาตั้งเล็งบนบ่า แล้วมองตรงไปที่ผีเปรตที่กำลังเล็งเป้ามาทางพวกเขา
ผีร้ายที่มีปากเท่ารูเข็ม และมีมือใหญ่เกินขนาดสัดส่วนร่างกายตัวนี้ มันใช้ชีวิตมาได้อย่างไรกัน?
มันสามารถเอาอาหารผ่านช่องปากเล็ก ๆ เพื่อเติมเต็มท้องของมันได้ยังไง?
แต่นั่น— ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะต้องมากังวลใจในเวลานี้ซักหน่อย
“เล็งไปตามที่มาร์กได้เลยค่ะพี่ชาย!”
กล้องเล็งที่ฉายภาพขึ้นบนจออากาศของปืน กำลังมีเป้าแสงกำหนดส่วนยิงขึ้นมาซ้อนกับภาพของเปรตยักษ์อันน่าเกลียด
ตำแหน่งของมัน คือส่วนหน้าผากอันใหญ่โต
*เปรี๊ยง!*
“เฮ้ย? ”
แต่ทว่าก่อนที่เขาจะได้ทันเหนี่ยวไกยิงปืน กลับมีคนลั่นไกโจมตีออกไปก่อน
ที่ด้านข้างของเขา มีเด็กสาวตัวน้อยสามคนกำลังหันหน้ามามองฑาทิมด้วยดวงตาใสแป๊วแบบลูกแมวน้อย
คนสองคนจับฐานปืนเพื่อให้เป้าเล็งนิ่ง
ส่วนคนสุดท้ายเป็นคนเหนี่ยวไกยิงฉมวกออกไป
“ทุกคน เกาะยานเอาไว้!”
เสียงของสตรีผู้ปลอมเป็นชายได้ดังขึ้น
[เบอร์รี่] ยักษาผู้อ่อนแอที่วาดฝันอยากแข็งแกร่งอย่างผู้ชาย
เธอ… หรือเขา ได้วิ่งเข้าไปแย่งคันบังคับของคนขับที่แสนจะห่วยแตกและน่ารำคาญ หักยานกระทิงเปลี่ยนทิศอย่างกะทันหัน
เปิดระเบิดทรัสเตอร์เพื่อเร่งความเร็ว แล้วนำยานกระทิงทั้งสี่ที่ผูกติดกัน ให้บินลอดผ่านฝ่ามือที่กำลังตบลงมา
เสียงลมหวีดร้องอันแสนน่ากลัว ได้กรีดเสียดแทงบาดแก้วหู วิ่งผ่านเหนือหัวของพวกเขาไป
*บรึ้ม!*
เสียงระเบิดขนาดเล็กได้ดังขึ้นไล่หลังตามมา
ฉมวกระเบิดสีเงินที่เด็กน้อยทั้งสามคนยิงออกไปนั้น พุ่งตรงเข้าเป้าตรงใจกลางหน้าผากของเปรตยักษ์
ท่อนเหล็กกล้าที่ปะทะเริ่มถูกบี้จนหักแล้วแตกตามแรงที่บีบอัดชน จุดปะทุระเบิดเป็นพลุไฟ แยกหัวของเป้าหมายเป็นสี่ส่วนไปพร้อมกับตัวมันเอง
ไม่มีเลือดกระจาย หากแต่เป็นเศษแสงอนุภาคสีขาวที่กระจายตัวออกมา
มันกระจายตัวออก แตกกระจายไปในอากาศราวกับเป็นก้อนน้ำแข็งที่ถูกทำให้เดือดเป็นไอในพริบตา
เพียงไม่ถึง 10 วินาที ร่างกายอันใหญ่โตของมันจักเลือนหายไปสิ้น ทิ้งเอาไว้เพียงแต่รอยเท้าหลุมลึกที่จมลงไปในดินเบื้องล่าง
“ได้ผล! ฮะ ฮะ ฮะ! เจ้าหนูพวกนี้ยิงแม่นไม่เลวนี่! ส่วนเบอร์รี่เองก็ขับยานเก่งเช่นกัน ขับเก่งแบบนี้ทำไมถึงเก็บเงียบไม่บอกข้าก่อนฟะ? ดีละ! แก! ไออดีตคนที่ขับยาน แกนะมาช่วยเด็กพวกนี้เปลี่ยนหัวฉมวกเลย! ส่วนคนขับยานกระทิงนำลำแรกให้เป็นเจ้าเบอร์รี่ไป! แล้วก็เจ้าพวกบ้า! จงยิงเป้าตามที่หนูไซน์บอกซะ! พวกเรา หน่วยยักษาฑาทิมจะเป็นคนส่งไอพวกสัตว์สวะกลับบ้านเกิดของมันกัน!”
“ครับหัวหน้าฑาทิม!”
“โอ๊ววววว!”
ยานทั้งสี่เริ่มบินเรียงเป็นขบวนฝูงกระทิง
ส่งเสียงคำรามดังกระหึ่มกู่ก้องด้วยเครื่องยนต์ที่ดัดแปลงอย่างจงใจเพื่อดึงดูดความสนใจ
“เสียงนี้ หรือว่าความช่วยเหลือยมาแล้ว!”
“ไม่ใช่… ยานกระทิงเปิดประทุนที่แต่งอย่างไร้รสนิยมแบบนั้น… มันของไอพวกนักเลงหัวไม้ต่างหาก… ไอพวกบ้าฑาทิมนั่น… เวลาแบบนี้ยังจะมามีอารมณ์บิดเครื่องซิ่งป่วนเมืองอีกเรอะ!”
เหล่าชาวเมืองที่เห็นยานกระทิงทั้งสี่ลำ ต่างเริ่มกนด่าด้วยความเจ็บปวด
พวกเขานึกว่าความช่วยเหลือได้ถูกส่งมาถึง แต่กลับเป็นบุรุษที่พวกเขาอยากจะเห็นเป็นคนสุดท้ายในชีวิตมาปรากฏตัวแทนเสียได้
ปฏิหารย์นั้น มันไม่มีอยู่จริง…
“อะไรของไอพวกชาวเมืองวะ…”
ฑาทิมกำลังรู้สึกหงุดหงิด
เข้าไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ภาพของชาวเมืองที่หมดไฟสู้มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
นี่หรือ คือตัวตนที่แท้จริงของพวกคนที่เอาแต่ดูถูกเขาตลอดมา?
นี่หรือ คือสภาพของเผ่ายักษาผู้ทรงเกียรติ์และโอ้อวดว่าเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุด?
ช่างน่าขันนัก!
“ทำไมข้าถึงได้ยอมให้ตัวเองรู้สึกทุกข์เพราะคนพวกนี้ในตลอดเวลาที่ผ่านมากันได้นะ? ”
ฑาทิมพูดกับตัวเอง แล้วเริ่มใช้ฉมวกยักษ์ของตัวเองเล็งไปที่เป้าหมาย
สั่งให้ฝูงกระทิงวิ่งแทรกเข้าไปใจกลางเมืองที่วอดวายไปด้วยเปลวเพลิงสีขาวด้วยความเร็วสูง
แล้วลั่นไกยองออกไป
*พรึบ!*
ทีแรกพวกชาวเมืองต่างคิดว่าไอพวกนักเลงกลุ่มนี้มันบ้าไปแล้วเช่นนั้นหรือ?
ขนาดกองทัพยังทำอะไรมันไม่ได้
แล้วกับอีแค่ฉมวกโง่ ๆ ของหน่วยสำรวจจะเอาอะไรไปปราบพวกมันได้กันเล่า?
แต่พวกเขาคิดผิด
ฉมวก— ที่ดูไร้พิษสง
ฉมวกที่ถูกยิงออกไปเพียง 8 นัด จากยานกระทิงทั้ง 4 ลำ
และเปลวไฟของมังกรสี่ตัว ที่อดีตเคยถูกทอดทิ้งจากฝูงเพราะมองว่าเป็นมังกรแคระแกรนที่อ่อนแอ
*ฮูมมมมม!!*
เพียงแค่หนึ่งนัด กลับสามารถล้มผีเปรตตัวใหญ่ที่สูงราวขุนเขาให้สลายกลายเป็นละอองแสงได้ในพริบตา
แปดนัดกับเปลวไฟอีกสี่ รวมทั้งสิ้นสิบสองตัว
*ฟูววว!*
ไม่เพียงแค่ฆ่าสัตว์ประหลาดที่กำลังโจมตีเมือง แต่ยังสามารถเอายานบินฝ่ากลางวงเปลวไฟสีขาว แล้วใช้แรงลมจากตัวยานที่วิ่งผ่าน ปัดเปาเปลวไฟที่ลุกท่วมถนนให้มอดหายไปในพริบตา
เส้นทางหนีออกจากเมืองได้ถูกเปิดออก
“เฮ้ย!? ”
“ศัตรู— หายไปแล้ว? ”
“แถมยังช่วยสร้างเส้นทางหนีให้พวกเราอีก!”
“ขะ— ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม? ”
ชาวเมืองต่างรู้สึกสับสน
แต่บุรุษผมเปลวเพลิงสีส้มไม่คิดจะหยุดเพียงแค่กำจัดผีเปรตเพียง 12 ตัว
เขาคำรามด้วยปอดอันแข็งแกร่ง ใช้พลังเสียงคำรามเรียกหาผู้คนให้จับจ้องมาทางเขา
“ไอพวกระยำ! นี่พวกแกหันหลังให้ศัตรูโดยไม่คิดปกป้อง เด็ก หรือคนแก่อย่างงั้นหรือวะ!”
เขายิง และสังหารศัตรู
“นี่หรือคือเผ่ายักษาผู้ทรงเกียรติ! พวกแกยังมีจิตวิญญาณของเผ่ายักษ์ไหลอยู่ในกายกันหรือเปล่า!”
เวลานั้นเองที่พวกสัตว์วิญญาณเริ่มรับรู้อันตรายถึงตัวตนของกลุ่มฑาทิม
เจ้าวัตถุเหล็กสี่ลำนั้น มันรู้วิธีฆ่าพวกเรา
เหล่าสัตว์วิญญาณมีปีกผู้บาปหนาเริ่มบินรวมกลุ่มเป็นฝูงขนาดใหญ่
พวกมันบินล้อมต่อตัวรวมร่าง เปลี่ยนรูปกายวิญญาณให้เป็นหนอนขนาดใหญ่ เลื้อยเป็นงวงพายุขาวที่ยาวครึ่งค่อนเมือง
พวกมันชูคอสูงค้ำฟ้า แล้วใช้ส่วนที่ดูคล้ายปากเปิดกว้าง หมายจะกลืนกินพวกฑาทิมเข้าไปทั้งเป็น
“จงดูข้า! ข้าที่ถูกพวกเอ็งรังเกียจ! จะต่อสู้ และไม่คิดหนี!”
บุรุษยักษาฑาทิมตะโกนด้วยเสียงอันดังกึกก้องสั่นสะท้าน
ณ ช่วงเวลานั้น เสียงของเขาได้แย่งชิงความคิดและสายตา บังคับให้ชาวเมืองต้องหยุดเท้าที่กำลังวิ่ง แล้วหันกลับไปมองเจ้าอสูรวิญญาณหนอนที่กำลังอ้าปากหมายจะขย้ำทั้งเมืองลงไป
*พุบ*
กลุ่มยานกระทิงทั้งสี่ได้ถูกหนอนวิญญาณสีขาวกลืนกินเข้าไปทั้งเป็น
ไม่สิ…
ต้องบอกว่าพวกเขาจงใจบินเข้าไปเองมากกว่า
*—ปุ*
เกิดแสง
ภายในลำตัวของมันกำลังเกิดแสงสว่างสีเงิน สลับกับแสงสีแดงของเปลวไฟ
*—ปุ ปุ ปุ!*
แสงนั้นถูกยิงลากผ่านตามแนวเส้นชีพจรวิญญาณที่ไม่มีใครสามารถมองเห็น
วิ่งลากตัดตามลำตัวของหนอนยักษ์จากภายใน วาดเป็นเส้นลวดลายอักขระที่ดูคล้ายกับภาพของเส้นประสาทนับร้อยที่ร้อยเรียง
เส้นประสาทที่เชื่อมต่อเป็นตาข่ายนับร้อย กำลังปริแตกออก
มิอาจทนทานรับพลังงานที่ถูกเสริมเติมแต่ง
มิอาจคงรูปกายวิญญาณบนโลกของคนเป็นที่เต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต
*บรึ้มมม!*
หนอนยักษ์ขาวถูกระเบิดออกมาจากภายใน
เศษซากวิญญาณนับร้อยได้แตกสลายกลายเป็นละอองธาตุ
ร่วงหล่นโปรยปราย ตกกระทบลงบนหัวไหลของเหล่ายักษาที่ยืนบนยานเหล็กกระทิงที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า
ละอองแสงที่กระทบ ได้ถูกเน้นจนเห็นเป็นเส้นกรอบร่าง จนแม้แต่คนที่สายตาไม่ดีก็ยังสามารถมองเห็นร่างของกลุ่มวีรบุรุษผู้ฆ่าสัตว์วิญญาณได้อย่างชัดเจน
พวกเขามีด้วยกัน 41 คน เด็ก 3 คน และมังกรอีก 4 ตัว
ผู้นำของพวกเขาเป็นชายผู้มีผมสีส้มเปลวเพลิงยาว ผิวกายสีเลือดหมู ใบหน้าคมงดงามเฉกเช่นสตรี แต่มีดวงตาสีทองหยาบกระด้างดั่งบุรุษผู้ป่าเถื่อน
ไม่มีใครในเมือง ที่ไม่รู้จักชายผู้มีนิสัยเสียผู้นี้
“ไซน์! ส่งข้อมูลจุดอ่อนของศัตรูขึ้นจอประกาศของเมืองที่ยังทำงานได้เลย!”
“รับทราบค่ะ!”
เวลานั้นเองที่จอภาพฉายของเมืองเริ่มทำงาน
เหล่าโดรนฉายภาพต่างเริ่มฉายแสงไปที่อากาศ แล้วซ้อนเป็นจอเล็งขนาดยักษ์ พร้อมมีวงเป้าเล็งที่ชี้ระบุตำแหน่งจุดตายของศัตรู
พวกชาวเมืองต่างกำลังสับสนกับสิ่งที่ชายตรงหน้ากำลังชี้นำพวกเขา
จอฉายภาพของเมืองกำลังถูกเปลี่ยนเป็นจอเป้าเล็งขนาดใหญ่?
ทำไมชายคนนี้ถึงรู้จุดอ่อน?
“พวกมันตายได้”
เขา- ชายผู้ที่เป็นที่รังเกียจกำลังพูด
“พวกเราเอาชนะได้”
ฑาทิมได้พิสูจน์แล้ว ว่าอาวุธที่พวกเรามี สามารถฆ่ามันได้
“ถ้ายังคิดว่าเป็นเผ่ายักษา! ก็จงลุกขึ้นสู้! สู้! เพื่อสิ่งที่พวกเราต้องปกป้องสิวะ!”
“!!!”
ราวกับว่าคนทั้งเมืองกำลังถูกคนเพียงคนเดียวตบหน้าพร้อมกัน
“จงตามข้ามา! ข้า ยักษาฑาทิม ได้เปิดทางแห่งชัยชนะให้กับพวกแกแล้ว!”
ฆ่ามันได้…
เอาชนะมันได้…
พวกเรา… สามารถ… เอาชนะ
พวกเรา— เอาชนะมันได้!
ชายที่ชื่อ [ฑาทิม] พูดถูก
พวกเรา เผ่ายักษาไม่ควรหันหลังหนีให้กับศัตรู
พวกเขาควรต่อสู้เพื่อปกป้อง
ต่อสู้— ไปพร้อมกับวีรบุรุษคนใหม่ ที่กำลังชี้นำพวกเขาสู่ชัยชนะ!
MANGA DISCUSSION