***วันที่ 30 เกอเนริบส์ ปีประวัติศาสตร์ที่ 126***
เวลา 22:00 น. ทวีปป่าหิน-ร็อค ฟอร์เรส
ผลการต่อสู้ในปีนี้
การต่อสู้ด้วยอาวุธ ผู้ชนะ เอลเดอร์เบอร์รี่
การต่อสู้บนหลังมังกร ผู้ชนะ เอลเดอร์เบอร์รี่
การต่อสู้ด้วยมือเปล่า ผู้ชนะ เอลเดอร์เบอร์รี่
“เอลเดอร์ –!”
“– เบอร์รี่!”
“เอลเดอร์ –!”
“– เบอร์รี่!”
“เอลเดอร์ เบอร์รี่!”
เสียงเรียกชื่อของผมกำลังดังกระหึ่มไปทั่วเวที
ตรงหน้าคือภาพของเผ่ายักษ์ผิวสีเลือดหมูที่ตัวสูงถึง 5.5 เมตร กำลังล้มตัวนอนหมดสติในสภาพที่เต็มไปด้วยแผลพกช้ำ
ผมนี่ละ คือผู้ชนะ
ผมนี่ละ คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
ผมนี่ละ คือผู้สืบสายเลือดของผู้กล้าเผ่ายักษ์ตัวจริง!
“โอ๊ววว ข้าคือผู้กล้ารุ่นต่อไปของเผ่ายักษา เอลเดอร์ เบอร์รี่!!”
“เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ่!!!”
เสียงเชียร์เรียกขานนามของผมยังคงดังต่อเนื่องไม่มีจบสิ้น
ว่ายังไงละคุณน้า?
ดูซะ! ดูมาที่ตัวผม!
ทุกคนล้วนแล้วแต่ให้การยอมรับในตัวของผมทั้งนั้น!
จะยอมให้ผมขึ้นเป็นผู้นำตระกูลได้หรือยังน้าพรุน?
ว่าแล้วผมก็เริ่มกวาดตาไปที่สนามประลอง
ที่นั่งริมแถวหน้า มีพรรคพวกจากองค์กรคาร์นิวอยนั่งกันอยู่
ส่วนใหญ่เป็นคนจากสาขาทวีปป่าหิน ที่เป็นพวกลูกน้อง และมีแขกอย่างคุณเดสตินี่ย์ กับเจ้ามนุษย์หน้าใหม่ฝีมือดี ที่เป็นคนล่ามังกร [ลี่] มาให้พวกเรา
ตอนแรกเห็นมีข่าวจากสายอีกาดำ ว่ามันเป็นนักสืบจากตำรวจสากล แต่ดูท่าอีกาดำจะคิดมากไปเอง
หลังจากกวาดสายตาไปที่พรรคพวกเสร็จ ก็กวาดตากลับไปมองที่นั่งของบรรดาเครือญาติที่มีมากถึง 100 กว่าคน
ท่ามกลางที่นั่งของเหล่าญาติมิตร มียายแก่ผมสีม่วงกำลังนั่งอย่างโดดเดี่ยวคู่กับดาบควายยักษ์เล่มโต
เธอคือคุณน้าพรุน หัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันผู้รักความสันโดษ ที่ผมต้องยอมให้เธอยกตำแหน่งมาให้
เคยคิดว่าจะใช้งานประลองนี้ในการแสดงฝีมือเพื่อเปลี่ยนใจน้า
แต่ทว่าใบหน้าที่เหี่ยวย่นของน้ากลับไม่ได้มองมาทางผมเลยสักนิด
แทนที่จะหันมามองดูผู้สืบสายเลือด เธอกลับหันไปมองที่เส้นขอบฟ้าแทน…
ชักจะรู้สึกเหลืออดแล้วนะคุณน้า
ขอร้องละ อย่าทำตัวดื้อด้าน แล้วบีบให้ผมต้องใช้แผนการขั้นสุดท้ายอย่าง “วางยาพิษ” เพื่อฆ่าน้าจะได้ไหม?
ผมไม่รู้เลย ว่าทำไมน้าพรุนถึงไม่ยอมรับในตัวของผมเสียที
จะว่าน้ารู้เรื่องที่ผมแอบไปทำเรื่องผิดกฏหมาย… มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
เพราะถ้าน้ารู้ความลับของผมจริง น้าก็น่าจะจับเอาผมไปเข้าคุกตั้งนานแล้ว
หรือว่าจะเป็นเพราะน้ายังยึดติดกับเจ้าฑาทิม?
เจ้าบ้านั่นมันมีดีอะไร ทำไมทั้งมังกรกับน้าถึงชอบมันกันนัก?
ตัดสินใจแล้ว เป้าหมายเชือดรายต่อไป เอาเป็นเจ้าฑาทิมดีกว่า
ส่วนน้าพรุนนั้น เอาไว้ค่อยวางแผนฆ่าทิ้งหลังจากฆ่าเจ้าบ้าฑาทิมแล้วก็ยังไม่สาย
ทีนี้ คนที่จะมาขวาง—
*ไอหลานโง่! อันตราย!*
*เคร่ง!*
เอ๊ะ? ทำไมท้องฟ้าถึงมืด?
ดาบควายสีดำ?
ตรงหน้าของผมมีดาบสีดำเล่มโต ใบดาบกว้างหนึ่งเมตร ยาวสองเมตร กำลังส่องแสงไฟลุกโชกเป็นสีแดง แฉลบผ่านหน้าไป
แขนที่มีผิวสีเขียวอ่อนอันเหี่ยวย่น แต่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ กำลังตวัดดาบเล่มนั้นด้วยเส้นเลือดที่ปูดโปน
ใต้เงาของดาบควายยักษ์ มีนัยตาสีเทาที่คุ้นเคยปรากฏสะท้อน จับจ้องไปทางด้านหลัง
รู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันหนักอึ้ง
รู้สึกได้ถึงอากาศหายใจที่กำลังเหือดแห้งหายไป
ได้ยินเสียงคำรามอ่อน ๆ
ได้กลิ่นลมหายใจที่เหม็นเน่า
ลมหายใจนั้นช่างรุนแรง และสยดสยอง จนรู้สึกราวกับว่าวิญญาณของตัวเองกำลังถูกบางสิ่งสูบให้หลุดลอยออกจากร่างกาย
พวกคนดูกำลังนั่งตาค้างมองเจ้าเงาที่อยู่ข้างหลัง
น้าพรุนกำลังยกดาบเสียดสีกับอะไรสักอย่างที่ดูคล้ายกรงเล็บจนเกิดเป็นสะเก็ตไฟ
อย่าได้หันหลังไปมอง
เพราะถ้าหันกลับไปมอง คงได้ตายทันทีที่สบตากับมัน
“มะ”
เสียงของคนดู
“มะ มะ”
มะ?
“มังกรทมิฬฬฬฬฬ!!”
มังกรทมิฬอย่างงั้นหรือ?
ผมลองรวมความกล้าแล้วหันกลับไปมอง
มันคือมังกรขนาดใหญ่สูง 50 เมตร ปีกกว้างกว่า 200 เมตร
เป็นมังกรที่มีผิวเกล็ดสีดำมันวาวคล้ายผิวเหล็ก ดวงตาแดงกริบราวกับเลือด
ทั้งกรงเล็บ เขี้ยว และแสงเปลวไฟของลมหายใจ ที่แปลกตา
ถึงจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ทุกคนต่างรู้จักมันดี เพราะต้องเคยได้ยินจากเรื่องเล่านิทานที่มีในเผ่ายักษา
อสูรแห่งการกลืนกิน [มังกรทมิฬ]
มันกำลังจ้องมองลงมาที่เวทีประลอง
มันใช้กรงเล็บที่ใหญ่โต แหวกม่านพลังงานบาเรียที่ทรงพลังเข้ามา เสมือนบาเรียเป็นแค่แผ่นกระดาษ
กรงเล็บที่ใหญ่โตของมัน กำลังปะทะกับใบดาบควายของน้าพรุน
*กรรรร!*
มันกำลังเพิ่มแรงกด
แรงกดของมันเริ่มดันให้ดาวเคราะห์จำลองดวงนี้เสียสมดุล แล้วร่วงตกลงมากระทบบนพื้นดินที่อยู่เบื้องล่าง
กด— ให้เจ้าลูกบอลยักษ์อัดติดกับพื้นดินจนผิวปริแตก พร้อมกับมีไอร้อนลอยออกมาตามรอยแยกของผิวดาวอย่างน่ากลัว
ดาวเคราะห์เทียมกำลังจะระเบิด…!
“เหวอออ!”
ผมรีบกระโดดหนีลงไปจากดาวเคราะห์ที่สูญเสียแรงโน้มถ่วงในตัวเอง แล้ววิ่งหนีสุดชีวิตไปทางออกของสนาม
เวลาเดียวกัน คนดูเองก็เริ่มวิ่งหนีเอาตัวรอด
แม้แต่มังกรผู้กล้าแกร่งที่ถูกฝึกมาจากเหล่านักรบ ก็มิอาจทนรับต่อแรงกดดันของจ้าวมังกรในตำนานได้
บนอัศจรรย์ที่บรรจุคนนับพัน กำลังเต็มไปด้วยความโกลาหล
วิ่ง! ต่อให้รวบรวมนักรบจากทั้งสนามประลองไปรุมมัน ยังไงก็ไม่มีทางที่จะสู้กับตัวอะไรแบบนั้นได้ ถ้าไม่ขนกองทัพมาสู้!
ใครมันจะยอมตายอยู่ตรงนี้กัน!
*ตุบ!*
“เหวอ!? ”
อยู่ ๆ ก็มีร่างของเผ่ายักษ์สูง 5.5 เมตร ลอยมาตกขวางตรงหน้า
ละ— ลอยมาจากไหนกันเนี่ย!?
“เจ้าหลานโง่ ถ้าอยากเป็นเผ่ายักษาผู้ทรงเกียรติ์ อย่างน้อยก็หัดรู้จักช่วยคู่ต่อสู้ที่หมดสติของตัวเองด้วยสิ? ”
(เพราะแบบนี้แหละ พวกมังกรมันถึงไม่ชอบเจ้าไง)
เสียงกระซิบของน้าพรุนดังลอยมาตามสายลม
พอหันกลับไปมอง ก็เจอกับร่างของน้าที่กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ
“นะ– น้า? ”
น้ากำลังมองมาทางผมด้วยสายตาที่เวทนา แล้วหันกลับไปมองเจ้ามังกร
“น้า! อย่าบอกนะว่าน้าคิดจะเข้าไปสู้กับมัน!? แทนที่จะสู้ เอาเวลาหนีดีกว่าครับ! ปล่อยให้กองทัพ–”
“ไม่มีกองทัพมาช่วยหรอกนะ”
หมายความว่ายังไง?
น้าได้ยกดาบควายชี้ตรงไปทางด้านหลังของมังกร ในตอนที่กำลังคิดสงสัย
แล้วผมก็ได้เห็น
ตรงด้านหลัง ฝั่งอัฒจันทร์ด้านเหนือ มีรอยไหม้ปรากฏให้เห็น
รอยไหม้นั้นได้แหวกสนามต่อสู้จนเป็นช่องเปิดกว้างสู่โลกภายนอก
ไกลออกไป คือภาพของตัวเมืองที่ถูกแผดเผาด้วยเปลวไฟสีขาว
เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง
เต็มไปด้วยซากศพของมังกรนักรบ
ยานรบ หุ่นรบ โกเลม กองทัพ ความหวังที่จะใช้ฆ่ามังกรทมิฬ ได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสารเหลวจมอยู่ในเปลวเพลิงสีขาวนั้น
ราวกับจะตอกย้ำ ว่าไม่มีการช่วยเหลือใด หรือความหวังที่จะต่อกรกับเจ้าอสูรกายสูง 50 เมตร ตัวนี้ได้
“กองทัพเผ่ายักษ์ของเมืองหลวงพินาศไปแล้ว… บะ— บ้าชัด ๆ …”
เข่าอ่อน
ผมคนนี้ที่เป็นถึงแชมป์เปี้ยนกำลังเข่าอ่อน
ถึงจะเคยออกผจญภัย มีความแข็งแกร่งและกล้าหาญ แต่ของเหล่านั้นกลับเป็นได้เพียงแค่ภาพมายาต่อหน้าเจ้าปีศาจยักษ์ตัวนี้
ไม่ใช่เพียงแค่ข้า
แต่ทุกคนเองที่บังเอิญเหลือบไปเห็นภาพความวินาศของเมือง กับกองทัพที่ถูกเผาทำลาย ล้วนต่างกำลังสิ้นหวังแล้วเข่าทรุดไปตาม ๆ กัน
พวกเราทุกคนล้วนต่างรู้ตัวกันดี
*กรรรรรรรรรรรรรร!*
รู้ตัวว่าไม่มีใคร ที่สามารถหนีเจ้าอสูรกายตัวนี้ไปได้
พวกเราทุกคนกำลังจะตาย…
***
เหล่ายักษาไม่รู้เลย
พวกเขานั้นไม่ได้รู้เลยว่า—
*กรรร…*
ฝั่งเจ้ามังกรยักษ์เองก็กำลังรู้สึกหวาดกลัวอยู่เช่นกัน
มันถอนลมหายใจออกมาด้วยความหวาดกลัว
เผา…
ทำลาย…
ทำไมกัน…
ไม่ว่าข้าจะทำลายไปมากแค่ไหน แต่ความรู้สึกที่ไม่สบายใจและเป็นกังวลนี้ กลับยังถูกตรึงประทับอยู่ภายในจิตใจ
ราวกับว่ามีตะปูดอกใหญ่ที่ฝั่งลึกเข้าไปในหัวใจ และไม่มีวันสามารถดึงมันออกมาได้
ทำไมถึงรู้สึกกลัว?
ข้ากลัว…
กลัวสิ่งที่งอก ๆ เงย ๆ ทั้งหลาย…
กลัวพื้นว่าจะมีอะไรสักอย่างมาฉุดข้าให้จมลงไป…
กลัวเจ้าพวกตัวเล็ก ๆ ที่เรียงรายและคืบคลานกันอยู่บนพื้นดิน
พวกมันคืออะไร ทำไมถึงเคลื่อนไหวได้?
กำลังจะวิ่งเข้ามารุมกินข้าอย่างงั้นหรือเปล่า?
ไม่… อย่าเข้ามา…
อย่าเข้ามาาาาาาาาาา!!
สามัญสำนึกและสติปัญหาของมังกรทมิฬได้แตกสลายไปนับตั้งแต่วินาทีที่ถูกอาบไปด้วยพลังงานรังสีวิญญาณ
อัตตาถูกทำลาย ความคิดและสติได้ถูกปั่นป่วนด้วยความวิบัติของเศษเสี้ยวสติอัตตาวิญญาณนับล้านที่ถูกบีบอัดให้กลายเป็นก้อนพลังงาน
และก้อนพลังงานที่ว่า กำลังถูกขับออกมาในรูปของไฟมรณะ
เปลวเพลิงสีขาวที่สามารถละลายได้ทุกสิ่งยกเว้นปากของมันเอง กำลังกระจายตัวไปในอากาศรอบเขี้ยวที่แหลมคม จนภาพตรงหน้าบิดเบี้ยวพร่ามัว
*กรรรรรรรรรรร!*
มันคำราม แล้วเริ่มรวบรวม [แก๊ส] ที่ผลิตจากต่อมบริเวณกระพุงแก้มมารวมเอาไว้ภายในช่องปาก
ใช้ฟันกระทบเข้าหากัน ไปพร้อมกับรีดคลื่นพลังงานที่เออล้นรั่วไหลออกมาจากชั้นผิวหนัง นำมันไปกระตุ้นมวลอะตอมจนเกิดเป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันที่มาพร้อมกับพลังงานปลดปล่อยอันร้อนแรง
แต่ทว่ามันไม่ได้เป็นแค่ลมหายใจพลังงานปรมาณูธรรมดา
มันได้ถูกเสริมด้วยอนูธาตุของพลังงานอีกอย่างผสมลงไปด้วย
อนูธาตุลึกลับที่มาจากพลังงานวิญญาณ
*ฟูมว์!!*
สิ่งที่ถูกพ่นออกมา ไม่ใช่ทั้งลมหายใจเปลวเพลิง หรือคลื่นความร้อน
แต่มันเป็นก้อนพลังงานวิญญาณ
เป็นก้อนพลังงานที่เกิดจากการคายพลังงานของปฏิกิริยานิวเคลียร์ อีกทั้งยังถูกเสริมไปด้วยอนุภาคที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกฝั่งคนเป็น
มันมีสีขาว
มีพลังงานมากถึง 200 เมกะตัน
เต็มไปด้วยสารกัมมันตรังสี อีกทั้งยังสามารถฉีกพื้นที่ว่างจนเกิดเป็นรอยแยกมิติให้ฉีกขาดขึ้นมาบนอากาศ
ปลายทางของแสงมรณะนั้น คือกลุ่มก้อนชีวิตตัวจ๊อยตรงหน้าของมัน
“!!”
ณ วินาทีนั้นเอง ที่มีเงาเล็ก ๆ พุ่งตรงขึ้นไปที่ส่วนใต้คางของมังกรทมิฬ
สิ่งนั้นมีลักษณะคล้ายกับรูปร่างของเผ่ายักษา
เธอถือดาบควายสีดำเล่มโตด้วยมือขวา กับมือซ้าย
เวลานั้นเอง ที่ใบดาบของเธอเริ่มเรืองแสงรังสี แผ่คลื่นละอองสีฟ้าออกมาตามความยาวของใบดาบ
เธอเหวี่ยงมันเหนือหัวเป็นวงสวิงโค้งอย่างรุนแรง
*ตึ่ง!*
ก่อนที่เปลวไฟมรณะจะได้ทันพวยพุ่ง จักถูกเบี่ยงองศาขึ้นเหนือท้องฟ้าไป
เสียงปะทะดังกึกก้อง
แสงไฟแฉลบผ่านเหนือเมือง พุ้งกระจายไปทั่วหล้า
เสาแสงสีขาวพุ่งทะยานแหวกที่ว่าง ทะยานหายไปในม่านอากาศ ขึ้นสู่ผืนดวงดาราแห่งจักรวาล
“ทะลุไปนอกอวกาศเลยเว้ยเฮ้ย!”
“ทุกคน ดูบนฟ้า! ระ— รอยแยก!? ”
“ข้างในนั้นมีอะไรอยู่ด้วย!”
เส้นทางที่แสงขาวนั้นวิ่งผ่าน ได้ถูกอนุภาคแห่งพลังงานวิญญาณฉีกเส้นมิติออกเป็นสองส่วน
ทิ้งรอยแผลเอาไว้บนมิติคนเป็น จนเชื่อมต่อสู่มิติคนตาย ให้แสงนำพาภาพแห่ง [ขุมนรก] มาสู่สายตาผู้คนที่กำลังแหงนหน้ายืนมอง
*กิ? *
*กรู? *
วิญญาณ– และสัตว์วิญญาณ
สุนัขสองหัวที่มีเขี้ยวแหลมคมประหนึ่งใบมีด
ผีเปรตที่ร่างสูงยาว ปากเท่ารูเข็ม มือเท้าใหญ่โตประดุจเป็นขุนเขา
จระเข้ ที่มีฟันเรียงตัวเหมือนหนอน พร้อมจะกัดกิน แล้วสูบวิญญาณลงไป
สิ่งมีชีวิตจากแดนคนตาย กำลังจ้องมองรอยแยก
พวกมันให้ความสนใจต่อทางเชื่อมที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว—
“มะ— มีตัวอะไรออกมาด้วย!!”
—พวกมัน กำลังข้ามผ่านรอยแยกที่มังกรทมิฬสร้าง
สัตว์จากโลกวิญญาณจำนวนมาก กำลังรุกรานเข้าสู่ฝั่งโลกของคนเป็น—
MANGA DISCUSSION