***วันที่ 7 เกอเนริบส์ ปีประวัติศาสตร์ที่ 126***
เวลา 15:00 น. ทวีปป่าหิน-ร็อค ฟอร์เรส
ม่านควันสีขาวกำลังกลืนกินพื้นที่แถบนี้ทั้งหมด ด้วยฝีมือของเจ้ามังกรบ้านั่น
ฉิบหายแล้วไง…
กล่องสี่เหลี่ยมขนาดหนึ่งเมตร ที่มีผิวดูคล้ายกับเป็นผลึกคริสตัลเจ็ดสีกล่องนั้น มันคือกล่องบรรจุพลังงานวิญญาณ ที่พวกเราเหล่าเทพเจ้าใช้กันในการกักเก็บพลังงานสำรอง เพื่อใช้งานกันในมิติของโลกคนตาย
มันไม่ใช่สิ่งของอะไรที่ควรจะมาปรากฏอยู่ในโลกฝั่งของคนเป็น
การที่กล่องบรรจุพลังงานแบบนี้มาปรากฏที่โลกฝั่งนี้ได้ แสดงว่าจะต้องมีไอบ้าสักตัวแหกฏสวรรค์นำมันข้ามมาที่ฟากนี้
เหมือนที่พวกเราเคยแอบสร้างผลึกคริสตัลวิญญาณ เพื่อใช้ในการสร้างโลกใบนี้ขึ้นมาเป็นของเล่นสำหรับพวกเราในช่วง 126 ปี ที่แล้ว
ฝีมือของใครกัน…
เจ้าบ้าคนร้ายที่พวกเรากำลังสืบตามหาอยู่ชัวป๊าบ
วัตถุที่อัดแน่นไปด้วยพลังงานที่ไม่ควรปรากฏบนโลกฝั่งคนเป็น กำลังรั่วไหลออกมาในสภาพของหมอกควันสีขาว
พวกมันคือเศษซากแห่งอณูเสี้ยวของพลังงานวิญญาณนับล้าน
ทุกอณูพลังย่อมถวิลหาความสมดุล
พวกมันเริ่มฉีกมิติที่ว่างแห่งเวลากับพื้นที่ หาทางกลับหวนคืนสู่วงเวียนวัฏจักรชีวิตของโลกคนเป็นกับคนตาย
เส้นเวลามิติกำลังปั่นป่วน
เส้นเวลามิติของพื้นที่กำลังถูกแบ่งแยกออกไป
ถ้าไม่ลงมือหรือรีบหนีไปจากพื้นที่แห่งนี้ เวลาของโลกภายนอก กับเวลาของพื้นที่ในหมอกพลังงาน จะแตกต่างกันระดับถูกดึงเข้าสู่ห้องกาลเวลา
ข้างนอกอาจจะผ่านไป 1 วัน
หรืออาจจะ 10 วัน
ในกรณีที่เลวร้ายสุด อาจจะถึง 1 ปี
“เจ้าดำ! เจ้าออกไซด์!”
ยัยมนุษย์นกติดบัค [เปอร์ไซด์] กำลังส่งเสียงแปดหลอดทะลวงแก้วหูอยู่ใกล้ ๆ
มันกางปีก แล้วบินทะยานไปหาพวกมังกรสุดรักของเธอที่อยู่ใกล้ตรงจุดระเบิด
ทำแบบนั้นเป็นการฆ่าตัวตายชัด ๆ
ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ติดบัคเพราะการดัดแปลงร่างกายของพวกเผ่าพันธุ์พิเศษ แต่สิ่งนั้น มันไม่ใช่อะไรที่สิ่งมีชีวิตกายเนื้อจะทนรับไหว
พลังงานงานวิญญาณ จะแผ่ขยายในลักษณะของคลื่นรังสีพิเศษ
คลื่นรังสีนั้นจะเข้าทำร้ายร่างวิญญาณ
ร่างวิญญาณจะพัง สมองที่เชื่อมโยงกับอัตตาตัวตนจะถูกทำลาย
ถ้าไม่กลายเป็นบ้า ก็จะกลายเป็นร่างกายที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งชีวิตจิตใจไปแทน
“…”
ตอนแรกคิดว่าจะทำเป็นไม่สนใจยัยบัคนี่
แต่เรื่องมันกลายมาเป็นแบบนี้ไปแล้ว เลยต้องยื่นมือเข้าไปขวางสักหน่อย
เพราะยัยบัคนี่แข็งแกร่งเกินไป
ถ้ามันกลายเป็นบ้า แม้แต่พวกเราสามคนช่วยกันรุม จะเอาชนะได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้
ว่าแล้วจึงรีบยื่นปีกออกไปขวาง
“หยุด มันอันตราย”
“ไม่! ปล่อยนะ!”
อึ๊ก…!
แรงเยอะชะมัดยาด!
ยัยนี่! ช่วยอยู่นิ่ง ๆ หน่อยสิยะ!
ในระหว่างที่พวกเรากำลังยื้อกันอยู่ เราก็เริ่มสัมผัสได้ถึงเส้นของกระแสเวลาที่กำลังไหลบิดเบี้ยว
กระแสเวลาของภายในนี้กำลังไหลช้า ในขณะที่ขอบมิติระหว่างผิวหมอกกับพื้นที่โลกภายนอกได้เคลื่อนไหวเร่งตัวอย่างทวีคูณ
ท้องฟ้าและการเคลื่อนไหวของหมู่ดาว กำลังเคลื่อนตัวไหลอย่างรวดเร็วในลักษณะที่ถูกบิดเป็นเกลียวคลื่น แล้วบีบให้เล็กลงจนมีขนาดเล็กเท่ารูเข็ม
แย่แล้ว
ถ้าไม่รีบหนีออกไปจากพื้นที่นี้ มีหวังได้ถูกข้ามผ่านห้วงเวลาไปเป็นนับวัน นับปีแน่!
“แมรี่ ลาพิส! พวกเธอสองคนรีบหนีออกไปกันก่อนเลย!”
“แล้วเธอละ!? ”
“เราจะหยุดยัยติดบัคนี่เอาไว้!”
[แต่ฉันอยากสู้กับเธออยู่นะคะ ปล่อยให้เธอคลั่งน่าจะฉลาดกว่าค่ะ ^_^]
“แมรี่! รีบลากคอยัยบ้าการต่อสู้ออกไปเดียวนี้เลย!”
อย่าทำเรื่องให้มันยุ่งยากไปกว่านี้จะได้ไหม ขอร้องละ!?
เรามองดูสหายทั้งสองคนพากันออกไปจากนอกเขตหมอกที่ถูกบิดเป็นเกลียว แล้วหันกลับไปมองดูที่ใจกลางวังวนของพลังงาน
มีเงาของมังกรสองตัวที่อยู่ใจกลางวังวนนอันบ้าคลั่ง โดยที่เจ้ามังกรยักษ์ กำลังใช้ร่างกายของตัวเองปกป้องอีกตัวที่มีขนาดเล็กกว่า
ไม่รู้ว่ามันทำไปเพราะสัญชาตญาณ หรือเพราะเหตุใด แต่มันเริ่มใช้ปากอันใหญ่โต กลืนเศษผลึกคริสตัลวิญญาณที่มันทำลายจากกล่องขึ้นมาเขี้ยวให้กลายเป็นผง แล้วสูบหมอกพลังงานทั้งหมดให้ลงไปในท้องของมันแทน
ฉลาดไม่เลว
เพราะวิธีแก้ปัญหา ณ เวลานี้ คือการใช้ผลึกวิญญาณในการกักพลังงานไม่ให้โกลาหลมากไปกว่านี้
แต่ว่า…
*กรร…*
เป็นความฉลาดที่ต้องเสียสละตัวเองนี่สิ…
“เจ้าดำ!”
มังกรแห่งตำนานกำลังคำรามด้วยเสียงที่แผ่วลงอย่างช้า ๆ
ดวงตาเริ่มกลายเป็นสีแดงก่ำ แต่ในทางกลับกัน แววแสงสว่างที่สดใสของนัยตาดำกลับมืดบอดลงไปแทน
พลังงานวิญญาณ กำลังฉีกวิญญาณของเจ้ามังกรมาจากข้างใน
ฉีก ทำลาย ไม่อาจหนีออกมาจากร่างกาย จนความบ้าคลั่งของพลังงานวิญญาณได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอยู่ภายในตัวมันเอง
นี่มัน— ฉิบหายแน่…
*…กร*
สายลมได้สงบลง
หมอกสีขาวได้จางหาย เหลือเพียงแค่พวกเรา กับมังกร
“เจ้าดำ!”
“เดียว… นั่น… ไม่ใช่เจ้าดำของเธออีกต่อไปแล้ว…”
มังกรทมิฬที่นิ่งสงบได้ยืนเป็นดั่งรูปปั้นหิน
มิอาจรับรู้สายลมที่ปะทะผิวกาย หรือได้ยินเสียงของเพื่อนรักตัวน้อยที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานานนับร้อยปี
สติและความนึกคิด จมลึกลงสู่ห้วงความมืดที่แสงมิอาจส่องถึง
ตัวตนและอัตตาวิญญาณ ได้ถูกเจือปนด้วยพลังงานวิญญาณสกปรก แปรเปลี่ยนเป็นดั่งน้ำที่ขุ่นมัวหมอง
น้ำที่มัวหมอง อันไม่มีวันกลับมาใสสะอาดได้อีก…
***
*ฮูมมมมมมมมมมมมมมมมมม!*
มังกรทมิฬกำลังคำรามลั่น
ปีกอันใหญ่โตแผ่ขยายกางเป็นผืนหนังสีดำปกคลุมท้องฟ้า
พัดโบกสะบัดเพียงหนึ่ง ระเบิดมวลอากาศเป็นดั่งจรวดที่จุดพุ่งทะยานฟ้า แหวกอากาศออกเป็นสองทาง
ใช้ผิวและเกล็ดอันกล้าแกร่ง รีดเร้นสายลมให้ฉีกเป็นสายธารปลายแหลม ตีฝ่าแนวคลื่นพลังงานความร้อนที่หลอมได้แม้แต่ผิวยาน จนร่างกายของมันเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
มันบินผ่านแนวกั้นเปลวไฟแห่งนรกนั้น จนกระทั้งขึ้นทะลุไปถึงเหนือยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก
แปลวไฟแห่งคลื่นพลัง กำลังเผาเกล็ดของมัน
พลังงานวิญญาณที่สะสมจากภายใน กำลังรีดเร้นดันออก ฉีกเนื้อเยื่อและเส้นเลือดให้ขาดกระจุย
ร่างกายของมัน กำลังจะถูกทำลายด้วยตัวของมันเอง
แต่ทว่ามังกรทมิฬ มิใช่สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอขนาดจะตายเพราะบาดแผลของตัวเอง
ร่างกายของมันกำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อฟื้นฟูสภาพ เร่งเร้ารักษาด้วยเกล็ดเลือด ผลิตเนื้อเยื่อ ขับดันร่างกายให้รอดพ้นภัยตามสัญชาตญาณแห่งการมีชีวิต
ณ วินาทีนั้น ดวงตะวันแห่งวันที่ 30 ได้เฉิดฉายสาดแสงกระทบผิวกาย ณ ที่เหนือหมู่เฆมและแสงดาว
มวลอากาศวิ่งผ่านผิวเกล็ด นำพาความร้อนให้เย็นตัวอย่างฉับพลัน
มวลหนังจักก่อตัวชดเชยเกล็ดเก่าที่มอดไหม้ เสริมด้วยเนื้อเยื่อที่เปลี่ยนแปลงพัฒนาตามธรรมชาติจะรังสรรค์
เนื้อเยื่อเก่าได้ตายลง แล้วถูกแทนที่ด้วยเนื้อเยื่อชิ้นใหม่อันแข็งแกร่ง
ราวกับเป็นหม้อเหล็กร้อนที่ผ่านการเผาให้ลุกวาว แล้วถูกตีทับเรียงเป็นชั้นจนแวววาวสวยงาม
เกล็ดของมัน ได้พัฒนาการเป็นอีกขึ้น เสมือนเป็นแร่ดิบที่ถูกตีขึ้นใหม่โดยเทพแห่งการหล่อหลอมของเผ่าคนแคระ
ผิวของมังกรทมิฬ ได้กลายเป็นสีดำเหล็กไหล เงาเป็นมันยิ่งกว่าผืนกระจก
มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
มีผิวเกล็ดทนทานยิ่งกว่าเดิม
มวลกล้ามเนื้อที่เหนี่ยวแน่นและทรงพลังยิ่งกว่า
อีกทั้งยังมีพลังงานประจุวิญญาณสะสมมากพออยู่ภายใน พร้อมที่จะลบโลกทั้งใบให้หายไปเพียงอ้าปากคำราม
สิ่งเดียวที่หายไปจากมัน คือสติและอัตตา ที่ไม่เหลือเค้าของความเป็นมังกรผู้ใจดีอีกต่อไป
*กรร!*
มันกำลังหวาดกลัว
*กรรรร!!*
มันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร
*ฮุมมมม!*
มันไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคืออะไร
มันไม่รู้จักเมฆ
ไม่รู้จักดิน
ไม่รู้สักพระอาทิตย์กับท้องฟ้า
ที่มันรู้คือข้างบนนี้ช่างอึดอัด
อากาศช่างร้อนจนปอดแทบจะลุกไหม้เป็นไฟ
น่ากลัว!
มันพ่นเปลวไฟสีขาวขึ้นท้องฟ้า ด้วยความหวาดกลัว
วินาทีนั้น ม่านชั้นบรรยากาศของโลกได้ถูกแยกออกเป็นรูกว้าง เว้าแหว่งนำพารังสีอันตรายให้พากันเทกระจาดลงใส่ตัวของมันเอง
เจ็บ!
ทำไม!? ทำไมถึงรู้สึกเจ็บ!?
ข้ากลัว! มัน… มันคือศัตรู!!!
ทุกสิ่งคือศัตรู!!
สมองและความคิดของมันกำลังหวาดกลัวทุกสิ่ง
เมื่อหวาดกลัวทุกสิ่ง มันจึงเกิดความคิดสุดโต่งไปในทางที่เลวร้ายที่สุด
ทำลาย…
หากว่าทุกอย่างคือตัวการที่ทำให้มันหวาดกลัว งั้นจงทำลายทุกสิ่ง เพื่อไม่ให้เหลือสิ่งใดมาทำร้ายมันได้อีก
เมื่อคิดได้ดังนั้น มังกรทมิฬจึงเริ่มออกตัวบิน
มันบินลงจากยอดภูเขา
บินตรง… ไปหยั่งทิศตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกับพ่นเปลวไฟสีขาวที่มีเสียงกรีดร้องของคนตาย
แผดเผาแผ่นดิน
หลอมภูเขาทั้งใบ
จุดปะทุนรกให้ผุดขึ้นมาบนแผ่นดิน
ที่ปลายเส้นทางของมัน คือเมืองหลวงของเผ่ายักษ์
เมือง— บ้านเกิดของบุรุษเผ่ายักษา ผู้ปกครองผืนทวีปป่าหินแห่งนี้
MANGA DISCUSSION