ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว เคยมีทฤษฏีถูกกล่าวขาน—
“มวลน้ำหนักที่หายไปจากซากแมลง อาจเป็นน้ำหนักของดวงวิญญาณที่หายไป”
***
[นำตัวเจ้าพวกหน้าใหม่มาให้กับฉัน!]
เสียงนั้นดังมาจากทางคฤหาสน์โบราณหลังโต พร้อมกับที่มีเส้นใยบาง ๆ สีขาวแผ่กระจายออกมารอบทิศทาง
เส้นใยบาง ๆ พวกนั้นพุ่งหายเข้าไปในร่างกายของพวกชาวบ้านที่เดินไปมาอย่างไร้จุดหมาย
ดวงตาทีไร้แสงและชีวิต ฉับพลันดูแหลมคมดุร้ายเฉกเช่นสัตว์ป่า
*กรรร*
พวกมันส่งเสียงคำรามอย่างสัตว์ป่า
มือทั้งสองที่ถือเครื่องใช้ทำไร่นา ได้ถูกจับยกขึ้นสูงต่างอาวุธสงคราม แล้วหันปลายคมหอกเหล่านั้นมาทางพวกเราด้วยดวงตาของสัตว์ร้าย
โดยไม่รอช้า
พวกเราที่มีจำนวนคนเพียงคน 44 คน ได้ถูกฝูงชนเข้ากลืนกิน
ถูกฝูงชนหมายเข้ารุมประชาทัณฑ์ด้วยอาวุธแหลมคมที่ใช้ทำไร่นา
“เหวอ!? ชาวบ้านพวกนี้มันอะไรของมันกันเนี่ย!? ”
“ดะ- ดูท่าจะไม่ดีแล้วครับหัวหน้า! ”
ทาฑิมยกมวลแขนกล้ามเนื้อขึ้นมาตั้งรับง่ามเหล็กที่ใช้โกยกองฟางเอาไว้
ถึงปลายแหลมของง่ามเหล็กจะไม่สามารถเจาะผิวของเขาทะลุ แต่ก็ยังพอจะให้เกิดเลือดจำนวนหนึ่งบาดไหลออกมาเป็นสาย
“เจ้าพวกนี้มันเอาจริงนี่หว่า! ข้าอนุญาตให้ทุกคนสู้กลับแบบเอาชีวิต! หากมีใครทำอีกฝ่ายเสียชีวิต ข้าจะรับผิดชอบในความผิดทุกอย่างเอง! ”
เจ้ายักษ์ผมสีเพลิงประกาศกร้าวเสียงดัง
ยอมรับความผิดในการฆ่าคนแต่เพียงผู้เดียว ดีกว่ายอมออมมือให้ลูกน้องตัวเองถูกฆ่า
ไม่เลวเลย
คนที่มีจิตใจเช่นนี้ ย่อมมีดวงวิญญาณที่แข็งแกร่ง
คงปล่อยให้ตายในสถานที่แบบนี้ไม่ได้
“ลาพิส แมรี่โกลด์ ลุยเลย! ”
“อืม! ”
[รับทราบ ˋ︿ˊ\]
เรา เทพไร้หน้า กับเทพไร้ขา เริ่มออกตัวกระจายไปสามทิศทาง
ใช้ร่างกายที่เล็กกว่าชาวบ้านให้เป็นประโยชน์ ด้วยการย่อตัวมุดไปตามช่องว่างของช่วงขาเผ่ายักษ์ แล้วไปปรากฏตัวที่แถวหน้าสุดของวงล้อม
“พะ— พวกเธอ? ”
เราไม่สนคำถามของเจ้ายักษ์ตัวใหญ่ แล้วกางปีกสีทองออกในท่าเสมือนถือเคียวคู่
เกร็งกล้ามเนื้อปีกให้แข็งตึง บังคับให้ขนปีกที่เติบโตอย่างพิกลการแข็งตัว ห่อขนสีทองให้เรียงตัวเล็กลีบแบน กลายเป็นเคียวสีทองสะท้อนแสงไฟทอประกาย
เราใช้ปีกข้างขวาวาดวงโค้ง โจมตีเกี่ยวลงไปที่ปลายสามง่าม สับมันให้แทงลงไปแทงยึดติดอยู่กับพื้นดิน
หมุนตัวหนึ่งรอบ งัดเครื่องมือการเกษตรให้หลุดจากมือของศัตรู พร้อมกับทำให้มันเสียสมดุล
*ฉัว! *
แล้วจบกระบวนท่าด้วยการใช้เคียวขวา ตัดคอของมันให้ขาดสะบั้นไป
สารเหลวสีแดงที่ไหลในกายเผ่ามนุษย์ กำลังพุ่งเป็นน้ำพุสูงอย่างน่ากลัว
*ฉึ่บ! *
เสียงย่ำเท้าดังขึ้นจากทางขวา
จอบขนาดใหญ่กำลังถูกวาดเป็นเส้นโค้งลงมาหมายจามใส่หัวของเรา ในจังหวะเดียวกับที่เราตัดคอชาวบ้านคนเมื่อกี้
ในเวลาเดียวกัน ที่ปลายหางตาซ้าย ได้มีเงาปลายแหลมกำลังพุ่งเข้าใส่เช่นกัน
โจมตีจากทั้งสองทิศทางพร้อมกันเลยสินะ?
แต่ไม่ได้กินเราคนนี้หรอก
เจอนี่หน่อย รูปแบบปีกที่สาม รูปแบบพัด!
เราขยับแขน ผ่อนแรงกล้ามเนื้อตรงปีกลง เพื่อให้ขนปีกที่ถูกยึดจนแน่นด้วยมวลกล้ามเนื้อ เริ่มคลายตัวแผ่ขยายออกกว้าง
ขนปีกที่ถูกดึงจนหดเรียงตัวมีรูปคล้ายเคียว ได้เปลี่ยนเป็นรูปแบบพัดที่แผ่ขยายกว้าง
ด้วยขนาดที่แผ่กว้างของมัน จึงทำให้มีรูปลักษณ์คล้ายกับโล่ที่ทำมาจากเกล็ดของมังกร
*เคล๊ง! *
จอบกับแท่งปลายแหลมที่แทงลงบนพัดสีเหลือง กำลังเลื่อนไถลไปกับผิวโค้งของปีกที่เรายกขึ้นมากางป้องกัน
“กระเด็นไปซะ! ”
เราย่อตัวลงต่ำในจังหวะที่ทั้งสองเสียสมดุล แล้วตวัดปีกพัด ใช้ปลายคมของปีกตัดขาของทั้งสองคนจนขาดสะบั้นออกจากร่างกาย
ศัตรูทั้งหมดสามคนถูกเราฆ่าทิ้งภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 2 วินาทีเท่านั้น
“สะ— สุดยอด! พวกแกเองก็อย่าให้น้อยหน้าพวกสาว ๆ เชียวละ! ”
“ครับผมหัวหน้าทาฑิม! ”
“ลุยเลยโว๊ยพวกเรา! ”
“โอ๊ววววว!!! ”
คึกกันดีจริงเจ้าพวกนี้
ถึงจะมีจำนวนน้อยกว่า แต่ด้วยการนำของพวกเราสามคน จึงสามารถเรียกสติและกำลังใจกลับมาสู่พวกยักษ์ได้สำเร็จ
โทษทีนะเจ้าพวกวิญญาณหลงทาง
ถึงจำนวนจะน้อยกว่า แต่ฝั่งนี้มีคุณภาพมากกว่าเยอะ~
ว่าแต่ใครมันเป็นคนต้นคิด ที่สร้างกายเนื้อคุณภาพต่ำด้วยการโคลนนิ่ง แล้วสวมวิญญาณหลงทางลงไปแทนที่แบบนี้กัน
แถมไม่น่าจะใช่ฝีมือของสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ด้วย เพราะระดับเทคโนโลยีของพวกมันยังไม่สามารถลงลึกไปถึงระดับศึกษาวิญญาณได้
แล้วทำไมถึงรู้ว่าเป็นการโคลนนิ่งอย่างงั้นหรือ?
เราเดาเอานะ~
“นี่คือตัวสุดท้ายแล้ว! ”
ระหว่างที่กำลังคิดถึงตัวจริงของศัตรูที่ยังไม่รู้จัก พวกชาวบ้านก็ถูกปราบจนหมดสิ้น
เสียงตะโกนของเหล่ายักษ์เริ่มทยอยดังกู่ก้องไปทั่วหมู่บ้านในสายหมอก
ซากศพกระจายไปทั่วหล้า ย้อมแผ่นดินให้กลายเป็นสีแดงเลือด
เมื่อกายเนื้อไม่อาจคงชีวิตเอาไว้ได้ ร่างวิญญาณจึงถูกตัดขาดออกจากร่างกาย
ดวงวิญญาณที่เหมือนกับแสงเทียนจาง ๆ จำนวนมากกำลังลอยขึ้นมาเหนือทะเลเลือดนั้น
มันช่างดูสวยงาม เป็นความงามบนความเศร้าที่ชวนให้รู้สึกปวดเสียดแทงหัวใจ
แต่คนที่มองเห็นภาพอันงดงามของดวงวิญญาณ คงมีแค่พวกเรา อดีตเทพเจ้าทั้งสาม
เพราะภายในดวงตาของเจ้าพวกยักษ์ ไม่มีใครเลยสักคน ที่สามารถสะท้อนแสงไฟจากดวงวิญญาณให้ปรากฏขึ้นบนดวงตาได้
นอกจากภายในดวงตาสีน้ำตาลของเจ้าตำรวจมนุษย์ ที่มีแสงไฟวิญญาณจาง ๆ สะท้อนปรากฏให้เห็นเพียงคนเดียวจากกลุ่มของเจ้าพวกยักษ์—
เฮ้ย… เดียวสิยะ…!?
อย่าบอกนะว่าเจ้าหนุ่มนี่มีสัมผัสวิญญาณแรงกล้า!?!
ถึงจะมีโอกาสน้อย แต่ก็อาจจะเป็นไปได้
แบบนี้— ตอนที่เทพไร้ขาปราบหมอกผีเมื่อกี้ รวมไปถึงวันที่อยู่ในร้านเหล้า เจ้าหมอนี่มันก็ต้องมองเห็นสิ่งที่พวกเราต้องซ่อนเอาไว้ทั้งหมดเลยอะดิ?!!
ชิบหายแล้วไง!
แบบนี้คงต้องหาทางปิดปากเจ้าหมอนี่ให้ได้—
“…หรือควรสนใจกับคฤหาสน์หลังนั้นก่อนดี? ”
ในตอนนั้นเองที่คฤหาสน์ใจกลางหมู่บ้านส่องแสงสว่างขึ้นมาอีกครั้ง
มันคือแสงสว่างจากดวงวิญญาณ
แสงพวกนั้นแผ่กระจายออกมาเป็นรอบที่สอง วิ่งขยายตัวเข้าปะทะกับกองซากศพบนทะเลสีแดง
วิญญาณ คือสิ่งมีชีวิตรูปแบบพลังงานที่อาศัยอยู่ได้ทั้งโลกคนเป็นกับคนตาย
แต่เพราะวิญญาณนั้นมีแรงขั้วดึงดูดต่อโลกคนตายมากกว่า การจะคงอยู่ในโลกคนเป็นให้ได้นั้น มันจึงต้องอาศัย [ร่างกาย] เป็นสื่อกลาง ในการเป็นภาชนะเพื่อบรรจุพลังงานวิญญาณ
หากไม่มีร่างกายหรือร่างกายตายลง พลังงานวิญญาณจะพยายามวิ่งเข้าหาสมดุลธรรมชาติ หรือก็คือถูกดึงดูด แล้วพลักดันให้มุ่งหน้าสู่มิติโลกคนตายโดยธรรมชาติ
แล้วถ้าหากว่าร่างกายที่ตายไปแล้ว ดันถูกบังคับให้สวมใส่วิญญาณลงไปเป็นรอบที่สอง มันจะเกิดอะไรขึ้น?
เคยได้ยินเรื่องของการอัดพลังงานก้อนไหมละ?
ก็นั่นละ วิญญาณก็คือสิ่งมีชีวิตก้อนพลังงานรูปแบบหนึ่ง
กับสิ่งที่ไร้รูปลักษณ์ชัดเจนอย่างวิญญาณ เพื่อที่จะรักษาตัวมันเองให้อยู่ได้อย่างสมดุลในโลกคนเป็น จึงมีแต่จะต้องพึ่งพาพลังงานจำนวนมากอัดมันเข้าไป เพื่อให้สร้างสมดุลรูปลักษณ์ขึ้นบนมิติแห่งความเป็นจริงเท่านั้น
สรุปคือเป็นหลักการที่คล้ายกับ [เวทมนตร์อัญเชิญ] ของพวกเอลฟ์นั่นละ
แต่สำหรับกรณีนี้มันจะแตกต่างออกไปซักหน่อย
เพราะว่าเราไม่รู้สึกถึงกระแสพลังงานเวทมนตร์ที่ถูกเปิดใช้งานขึ้นมาเลยแม้แต่น้อยนิด
*โอ๊วววววววววว! *
เหล่าชาวบ้านที่ตายไป ไม่จะว่าด้วยจากการถูกอัด ชก หรือตัดขาด ต่างเริ่มทยอยลุกขึ้นยืน
หากว่าขาขาด มันจะสร้างขาขึ้นมาด้วย [พลังงานวิญญาณ] ที่ถูกบีบอัดจนแข็ง
หากว่าแขนขาด มันจะสร้างส่วนที่ขาดหายไปด้วย [พลังงานวิญญาณ] ที่ถูกบีบอัดจนแข็ง
แม้แต่ชิ้นส่วนร่างกายเล็ก ๆ ที่ขาดออกจากร่างกายอย่างแขนกับขา ก็ยังสร้างส่วนร่างกายทั้งหมดงอกกลับมาด้วย [พลังงานวิญญาณ] เช่นกัน
“เหวออออ!!! ตัวเชี่ยไรเนี่ย!?! ไอเจ้าร่างกายใส ๆ เหมือนน้ำพวกนั้นมันคืออะไรกัน!? ”
เมื่อวิญญาณรวมตัวกันเข้มข้นมากพอ คราวนี้ แม้แต่ดวงตาของสัตว์ชั้นต่ำก็สามารถที่จะมองเห็นและสัมผัสรับรู้พวกมันได้แล้ว
“อย่าตกใจกันง่าย ๆ แบบนี้สิ ตัวใหญ่เสียเปล่า”
เราตะโกนด่าพวกยักษ์ไร้สมอง แล้วแตะใส่ชาวบ้านคนหนึ่งที่กำลังจะวิ่งเข้าไปหยิบจอบขึ้นมาจากพื้น
ความรู้สึกนั้น แทบไม่ต่างไปจากการเอาเท้าจุ่มลงไปในกลุ่มก้อนของสำลีที่ร้อนระอุ
ร่างกายของชาวบ้านคนนั้นแตกสลายคากรงเล็บของเรา เหลือแต่เพียงร่างเนื้อที่ตายซาก
แต่ทว่าแทบจะทันทีที่ร่างกายส่วนนั้นตกถึงพื้น ร่างวิญญาณก็เข้าสิง แล้วสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ พร้อมกับออกหมัดโจมตีสวนกลับใส่เรา
“ชิ! ”
แทบจะหลบไม่ทัน
เป็นการออกหมัดที่เร็วและรุนแรงไม่แพ้ลูกปืนใหญ่
เพียงแค่แรงลมที่เฉี่ยวผ่าน ก็ถึงกับทำให้ใบหน้าสวย ๆ ของเราเกิดบาดแผลขึ้นมาได้
“บังอาจ! ”
เรากางปีกกว้างเป็นรูปแบบพัด แล้วฟาดร่างของมันให้ปลิวกระเด็นออกไป
ร่างของมันกระแทกเข้ากับบ้านหลังหนึ่ง จนส่วนของร่างเนื้อแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ทว่าวิญญาณกลับเข้าสิ่งส่วนของร่างเนื้อที่แตกกระจาย แล้วก่อสร้างร่างขึ้นมาใหม่ด้วยจำนวนที่แตกกระจายแยกออก
จะบอกว่าไม่มีวันตาย แล้วยังจะเพิ่มจำนวนได้มากขึ้นไปอีกอย่างงั้นเรอะ?
[โอ๊ย! ไม่หมดไม่สิ้นซักที x_x!!]
เพื่อนของฉันถือป้ายอักษร พร้อมกับกระโดดหมุนตัวแตะกลางอากาศสามจังหวะใส่ชาวบ้านที่กำลังรุมใส่จากรอบทิศทาง
“หน่อย! คืนชีพไม่หยุดเลย งั้นต้องเจอเป่าให้เป็นผง! ”
ห่างออกไปไม่ไกล สหายเทพไร้ขากำลังบินทะยานขึ้นท้องฟ้า
เธอกางปีกสีแดงอย่างโดดเด่น กางแขนออกกว้าง แล้วสร้างประกายแสงสีขาวขึ้นมารอบตัว
แสงสีขาวที่เธอสร้าง กำลังวิ่งเลือนหายไปในอากาศ
พริบตาที่แสงขาวนั้นหายไป ทะเลเพลิงสีน้ำเงินจักผุดปรากฏลุกท่วมแผดเผาทุกสิ่ง
เธอคงใช้พลังภูติเปลี่ยนอากาศให้เป็นก๊าสไวไฟ แล้วจุดประกายให้มันลุกไหม้สินะ?
ร่างของชาวบ้านที่จมลงไปในกองไฟ ได้ถูกแผดเผากลายเป็นขี้เถ้าภายในพริบตา—
*พรึบ*
แต่ขี้เถ้าพวกนั้นมันถูกก้อนวิญญาณระลอกใหม่เข้าสิงแทบจะในทันทีที่เปลวไฟดับ แล้วก่อร่างสร้างกายขึ้นมาใหม่จากการรวมตัวของขี้เถ้าจำนวนมากเป็นภาชนะให้กับมัน
โอเค…
ยังกับสู้กับกองทัพอมตะยังไงยังงั้น
นี่ไม่ใช่ระดับการแทรกแทรงโลกคนเป็นแบบปกติแล้ว!
ชักอยากเห็นหน้าของคนที่ก่อเรื่องพวกนี้ขึ้นมาแล้วสิเนี่ย!!
“สู้ไปเหนื่อยเปลาแน่ รีบหนีเข้าไปในคฤหาสน์กันเถอะ! ”
เรารีบออกคำสั่งกับสหายทั้งสองคน แล้วตวัดปีกเหล็กกล้า เปลี่ยนเป็นรูปแบบมีดดาบ
เกร็งกล้ามเนื้อปีกให้ถึงระดับสูงสุด บีบรัดขนที่เรียงตัวให้ห่อลีบเล็กจนมีลักษณะเหมือนกับเข็ม
เข็มนับร้อยที่เรียงตัว ได้กลายเป็นดาบฟันปลาฉลามสีทองอันน่ากลัวในพริบตา
“ข้าเห็นด้วยกับความคิดนั้น เจ้าพวกโง่ทั้งหลาย วิ่งตามคุณสุภาพสตรีทั้งสามไปเลย! ”
“เออ… ให้วิ่งตามก้นผู้หญิงแบบนั้นจะดีหรือครับหัวหน้า? ”
“แล้วในกลุ่มพวกเรามีใครเก่งกว่ายัยสามคนนั้นไหมละ!? ยอมรับเถอะว่าพวกเรานั้นอ่อนแอ! หน้าที่ของพวกเราคือการเฝ้าระวังให้กับพวกเธอ นั่นละคือสิ่งที่พวกเราทำได้ดีที่สุดในตอนนี้! ”
“คะ— ครับท่านหัวหน้าทาฑิม! ”
เป็นการตัดสินใจที่น่าประทับใจมากเจ้ายักษ์หัวกองเพลิง
“หลีกไปไอพวกสวะ! ”
เราตวัดปีกดาบฟันปลาฉลามด้วยการควงร่างกายให้เหมือนกับเครื่องบดเนื้อ
ใช้ปลายเท้ากรงเล็บแหลมเป็นจุดหมุน แล้วร่ายระบำดาบฟาดฟันต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก
หมุนตัวควงสว่านไถลออกไปเป็นลูกข่าง สะบั้นคอศัตรูนับสิบที่โถมใส่ เพื่อปูพรมสีแดงด้วยหยาดเลือด กลายเป็นเส้นทางเดินให้กับผู้ที่วิ่งตามหลัง
*โฮก! *
ตอนนั้นเองที่ชาวบ้านเผ่ามนุษย์ม้าควบสี่ขาเข้ามาจากฝั่งด้านซ้าย
มันใช้ขาที่โปรงแสงจากพลังวิญญาณอัดก้อน ถีบใส่ดาบฟันปลาฉลามของเราด้วยขาคู่หน้าอย่างรุนแรง
“ฮึม! ”
เราออกแรงปัดมันออก แล้วรีบก้มตัวลง
พร้อมกันนั้นเอง ที่บาทาของเทพไร้หน้าพุ่งลอยข้ามหัวของเรามาจากทางด้านหลัง
เธอพุ่งตัวกระโดดแตะ กระหน่ำเท้านับร้อยใส่ร่างของศัตรู จนร่างกายของมันถูกบี้เสมือนหนึ่งถูกลูกตุ้มเหล็กหล่นทับใส่
แต่เจ้าม้ามันยังไม่ตาย
มันยังใช้ร่างวิญญาณควบคุมร่างเนื้อให้ควบทะยานเข้ามาขวางพวกเราได้อยู่
“หายไปซะ! ”
สหายเทพไร้ขาเลยต้องปิดบัญชีมัน ด้วยการเสกกลุ่มก้อนไฟเผามันทิ้งไปเสีย
แต่ในเวลาเดียวกับที่เจ้ามนุษย์ม้าถูกเผา พลังงานวิญญาณลูกใหม่ก็ถูกยิงออกจากคฤหาสน์ ส่งเข้าไปในเศษชิ้นส่วนของมันแทบจะในทันที
ชิ
ถ้าหากว่ามีใครสักคนช่วยขัดขวางการเชื่อมต่อพลังงานวิญญาณกับร่างเนื้อ ก็น่าจะสามารถหยุดการคืนชีพเจ้าพวกนี้ได้สักพัก
แถมชาวบ้านที่จากเดิมมีแค่ 200 คน ยังเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนจะมีร่วม 600 คน เข้าไปแล้ว
ไม่อย่างงั้นคงไม่มีวันตีฝ่ากองทัพอมตะไปถึงคฤหาสน์ได้แน่
เดียวก่อนสิ
ไม่ใช่ว่ามีคนที่น่าจะมองเห็นวิญญาณอยู่ในที่นี้อีกคนหนึ่งอยู่หรอกหรือ?
“เจ้าพ่อบ้าน นายนะมองเห็นเส้นใยบาง ๆ ที่เกาะเกี่ยวกับพวกชาวบ้านในตอนที่พวกมันคืนชีพหรือเปล่า? ”
“ผมชื่อ ออน-เอ็ซท นะครับ ยังไงช่วยกรุณาเรียกชื่อเต็มของผมด้วยเถอะครับ! ว่าแต่เส้นใยบาง ๆ ในตอนคืนชีพ— ก็พอจะเห็นมีแสงจาง ๆ แผ่ออกมาอยู่นะครับ มันคืออะไรอย่างงั้นหรือครับคุณ เอโซ? ”
“ดีละ! งั้นเดียวพวกเราจะเป็นคนปราบพวกมัน แล้วฝากนายปิดงานด้วยการตัดเส้นใยพวกนั้นในตอนที่พวกมันตายที! ”
“หืม? หมายความว่า—”
“ทำตามที่ เอโซ สั่งซะ เจ้าพ่อบ้านของผม! ”
“… ครับนายท่านหญิง แมรี่โกลว์! ”
เราออกตัววิ่งไปที่มนุษย์ม้าอีกรอบ
เปลี่ยนปีกเป็นรูปแบบเคียว แล้วตวัดเฉือนคอมันจนขาด
โจมตีต่อเนื่องด้วยลูกแตะเหนือหัวของสหายเทพไร้หน้า วาดขาโค้งสูงฟาดใส่ส่วนหัวจนสมองแหลกเหลว
จบงานด้วยเปลวไฟ เพื่อสลายร่างกายวิญญาณให้เป็นผงด้วยพลังภูติของเทพไร้ขา
“ตอนนี้ละ โจมตีมันเลยเจ้าพ่อบ้านหนุ่ม! ”
“ครับผม! ”
ในช่วงเวลาเดียวกับที่มันตาย
ในช่วงเวลาเดียวกับที่เส้นสายใยวิญญาณเชื่อมต่อกับคฤหาสน์
มีดสั้นเล่มหนึ่งได้ถูกวาดเป็นวิถีตั้งฉากกับพื้นโลก ฟันตัดสะบั้นเส้นใยวิญญาณออก
“นั่นแกทำอะไรของแกวะเจ้าหน้าใหม่ ฟันอากาศเพื่อ? ”
ทาฑิมยิงคำถามใส่เจ้าตำรวจหนุ่ม ไปพร้อมกับที่ออกหมัดซัดหน้าชาวบ้านที่กำลังเข้าโจมตีเขาจากด้านข้าง
หากมองในมุมของคนที่ไม่เห็นวิญญาณ จะเห็นเป็นการตัดอากาศที่ว่างเปล่าแบบมัน
แต่เราเห็นได้ชัดเจน
เห็นเส้นใยวิญญาณที่กำลังถูกตัดขาดออกจากร่างที่ถูกแผดเผาเป็นผงธุลี
*พรึบ! *
เมื่อขาดซึ่งการเชื่อมต่อ ผงธุลีจึงเป็นได้เพียงแค่ผงธุลี
ไม่อาจคืนชีพสิ่งนั้นได้ในพริบตาอีกต่อไป
“ตะ— ตายแล้ว!?! นี่มันหมายความว่ายังไงเนี่ยเจ้าหน้าใหม่? ”
“ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับ…”
ไม่หรอก
มันยังไม่ได้ตายสนิท
มันก็แค่ถูกตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่าง [กาย] กับ [วิญญาณ]
ถ้าจะคืนชีพวัตถุที่ถูกตัดขาดไปแล้ว จำเป็นจะต้องใช้เวลาเพื่อเชื่อมต่อมันใหม่
ที่ทำไป เป็นแค่การถ่วงเวลาเท่านั้น
“ใช้จังหวะนี้รีบไปที่คฤหาสน์เร็ว! ”
ไม่จำเป็นต้องบอกความจริงทั้งหมดให้รู้สึกเสียกำลังใจ
ปล่อยให้พวกมันเข้าใจว่าปราบได้สำเร็จไปแบบนี้ยังจะดีเสียกว่า
เรารีบออกคำสั่งกับทุกคน
ถ้าเป็นวิธีนี้ พวกเราไปถึงได้แน่
ไปที่คฤหาสน์หลังนั้น
MANGA DISCUSSION