***วันที่ 6 เกอเนริบส์ ปีประวัติศาสตร์ที่ 126***
เวลา 20:15 น. ทวีปป่าหิน-ร็อค ฟอร์เรส
“โอเค! ตอนนี้เรามาเริ่มตั้งต้นออกเดินทางกันใหม่!”
“โอส~! ตั้งต้นเริ่มออกเดินทางกันใหม่!”
[ค่ะ ตั้งต้นออกเดินทางใหม่— ว่าแต่ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกันแน่คะ? _?]
ลาพิสกำลังถือป้ายที่มีวาดรูปโลมาเบี้ยว ๆ ลอยตัวอยู่เหนือเส้นยึกยือที่จะสื่อว่าเป็นคลื่นทะเล
เออ… มันก็ไม่ผิดหรอก
เพราะตอนนี้ยานน้องโลมามันกำลังลอยตุ๊บป่องอยู่บนผิวน้ำทะเลจริง ๆ นั่นแหละ
ให้ตายเถอะ ไอยานลำนี้มันพยศเป็นบ้าเป็นหลังชะมัด!
“ระบบ ช่วยระบุตำแหน่งของพวกเรามาทีซิ!”
“รับทราบ— ตำแหน่งของยานปัจจุบัน— ใกล้เขต [Big hole] — ตัดเส้น N5 W25 — ค่ะ”
“ตำแหน่งนี้มันเข้าใกล้ใจกลางแกนของโลกเลยนี่หว่า!? แมรี่! ควบคุมยานอีท่าไหนถึงบินหลงทิศมาได้ไกลขนาดนี้กันยะ!”
“การควบคุมโดยออมมือไม่ให้พลังงานเวทไหลเข้าไปในยานมากเกินไป แล้วยังต้องกะระยะลงจอดมาจากพื้นที่อวกาศเนี่ย มันยากกว่าที่คิดนะสิ”
“แล้วทำไมถึงไม่ใช้ระบบนำร่องของยานช่วยละยะ!”
“แบบว่าอยากลองของอะ”
ผมพูดจริงนะเออ
เพราะในยุคที่ผมยังมีชีวิตเมื่อราวพันกว่าปีก่อน ที่ดาวแม่ของเผ่าภูติมันไม่มียานเหาะอะไรแบบนี้ให้ขับเล่น
พอตายไปกลายเป็นเทพในนรก ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยานในการเดินทาง เพราะสามารถเปิดประตูมิติ หรือบินไปไหนต่อไหนได้ทุกเวลา
สรุปง่าย ๆ เลยคือมันเป็นครั้งแรกในชีวิตตลอดอายุ 1000 กว่าปี ที่ได้มาขับยานละ~
“ใช้ไม่ได้เลย! มา! คราวนี้เดียวเราจะเป็นคนขับเอง!”
“เอโซใช้เวทมนตร์เป็นด้วยหรือ? ”
“ไม่เป็น แต่ใช้พลังงานแห่งความเป็นไปได้ หรือไม่ก็พลังงานจากแร่ภูติที่ติดตั้งในท้องเครื่องของยานขับเคลื่อนได้อยู่นี่? มันไม่ใช่ยานที่ถูกออกแบบมาให้เฉพาะเผ่าภูติเสียหน่อย”
ว่าแล้วผมจึงละมือที่แตะบนคริสตัลเจ็ดสีอย่างไม่เต็มใจให้กับยัยไก่เหลืองไป
ปีกขนสีทองคำอันสวยงามของยัยไก่ทั้งสองข้าง กำลังถูกวางนาบลงบนผิวคริสตัลอันเย็นเฉียบ
มันดูเหมือนเอาผ้าขนสีเหลืองไปหุ้มปิดซ้ายและขวา เหลือเพียงช่องรูปสามเหลี่ยมเล็ก ๆ ในช่วงบนกับล่างอย่างน่าตลกขบขัน
วินาทีนั้นเอง ที่มีแสงสว่างเจิดจ้าออกมาจากคริสตัล ส่องลอดผ่านช่องสามเหลี่ยมที่ว่านั้นออกมา
เสียงเครื่องยนต์เริ่มทำงานดังกระหึ่ม
ได้ยินเสียงของผิวน้ำทะเลที่สาดกระเซ็นทิ้งตัวลงมาเหมือนน้ำตก
ยานน้องโลมา กำลังพร้อมที่จะบินทะยานไปสู่เป้าหมายอีกครั้ง
“บินไปเลย!”
*ฟุ่บ!!!!!!!! —————– – – – – – – – – – – – -*
*- – – – – – – – – – – – – – -*
*- – – – – – – ——- – – – – – – —————– โครม!*
เกิดเสียงน่ากลัวดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาจากส่วนผิวภายนอกของยาน
ทั่วทั้งผนังและเพดานทรงโดมของสะพานเดินเรือกำลังเต็มไปด้วยภาพของผิวชั้นดินหนา
เกิดไฟสีแดง พร้อมเสียงเตือนภัยดังลั่นไปทั่วยาน
ไม่อาจรับรู้สึกถึงน้ำหนักตัวเองได้ เพราะถูกลอยคออยู่ใจกลางอากาศ เสมือนหนึ่งเป็นดวงดาวที่ลอยในอวกาศ
[ดูเหมือนว่าพวกเราจะขับยานทิ่มใส่ภูเขาสักลูกไปแล้วค่ะ •ิ_•ิ) ?]
“… เอโซ? ”
“ระ– รู้แล้วน่า! เราแค่อยากทดสอบว่าบอดี้ยานมันแข็งแกร่งขนาดไหน และสามารถเร่งเครื่องสูงสุดได้เร็วเท่าไหร มันก็แค่นั้น!”
สหายไก่เหลืองกำลังหน้าแดงเป็นลูกสตอเบอรี่ละ
ว่าแต่เขา ตัวเองก็ขับแย่พอ ๆ เหมือนกันเลยนี่หว่า?
จะว่าไป… ตำแหน่งปัจจุบันของพวกเราอยู่ที่ไหนกันแล้วเนี่ย?
ไหนดูซิ— ทางตะวันออกสุดของทวีปป่าหิน?
อย่างน้อยถือว่ามาถูกทิศทางแฮะ~
“ระบบ! ตัวยานมีความเสียหายหรือไม่? ”
“ขอเรียนแจ้งว่าไม่พบความเสียหายใด ๆ ค่ะ พบเพียงแค่รอยถลอกของสีที่ขูดเข้ากับชั้นหินของภูเขาเท่านั้นค่ะ”
“สะ— สมกับที่เป็นยานราคาแพงชั้นนำ! ทั้งระบบป้องกันคนกระเด็นที่พวกเราลอยเท้งเต้งอยู่ตอนนี้ก็ดี ทั้งความแข็งแรงของบาเรียกับวัสดุของเกราะยานก็ดี! แล้วยังความเร็วระดับที่สามารถส่งยานพุ่งเสียบเข้าไปในภูเขาได้ทั้งลูกนี้ด้วย! เป็นยังไงละกับยานน้องโลมาที่เราคนนี้เลือกซื้อมา! วะ ฮะ ฮะ ฮะ!”
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดแก้เขินเลยนะเอโซ!”
“ไม่ได้เขินอยู่สักหน่อย!”
[เออ… ขอโทษที่ขัดจังหวะกำลังสนุก ว่าแต่ทั้งคุณแมรี่ กับคุณเอโซ ไม่ทราบว่าพวกคุณทั้งคู่มีใบอนุญาตขับขี่ยานเหาะกันหรือเปล่าคะ •ิ_•ิ) ?]
เงียบ…
พอเห็นป้ายข้อความของของสหายหัวฟ้าแล้วก็พากันเงียบทั้งคู่…
อย่าบอกนะว่า—
ผมหันไปมองเอโซ
เธอส่ายหน้ามาให้ผม
เอโซจ้องตาของผม
ผมเองก็สายหน้าให้เธอเช่นกัน
“…”
สรุปคือไม่มีใบขับขียานด้วยกันทั้งคู่…
“เอาจริงดิ!?! เอโซ! เธอไม่มีใบขับขียานเหมือนกันอย่างงั้นเรอะ!”
“อ่าว!? เราเองก็นึกว่าเธอมีทำมาตั้งนานแล้วเสียอีก!? ”
ไม่มีใบขับขี่ด้วยกันทั้งคู่ แล้วแบบนี้จะขับยานไปถึงที่หมายได้หรือเปล่าเนี่ย?
“…หืม? ”
ในตอนนั้นเองที่ผมสังเกตุเห็นบางอย่าง
สหายหัวฟ้าของพวกเรากำลังว่ายอากาศไปที่เครื่องควบคุมคริสตัลอย่างช้า ๆ และเงียบเชียบ
เธอเอามือทั้งสองข้างแตะลงบนผิวของคริสตัล จนเสียงเตือนที่ดังลั่นของยานเงียบลง ไปพร้อมกับที่ระบบไร้แรงโน้มถ่วงของห้องหยุดทำงาน
“เดียว! อย่า! หยุด! ไม่ใช่! ผมหมายถึงให้หยุดสิ่งที่เธอกำลังคิดจะลงมือทำ—!”
*- – — – – – – – – – ————ฟุบ!*
เป็นอีกครั้งที่ยานน้องโลมาพุ่งทะยานออกไปแบบชนิดตัวตุ่นขุดดิน
พุ่งออกไปด้วยความรุนแรงดั่งเป็นมังกรทะยานจากผิวน้ำตก ทะลุภูเขาออกไปอีกฝั่ง แล้วบินตรงดิ่งไปสู่เป้าหมาย
บิน— ด้วยนักบินที่ดวงตามืดบอด…
***วันที่ 6 เกอเนริบส์ ปีประวัติศาสตร์ที่ 126***
เวลา 40:00 น. ทวีปป่าหิน-ร็อค ฟอร์เรส
“ง่วงนอนเป็นบ้าเลยว้อย! ทำไมถึงต้องมาทำงานกะดึกแบบนี้กันด้วยเนี่ย!”
“คุณแม่~ หนูยังเล่นเกมส์ไม่พอเลยอ๊ะ! เอาเครื่อง VR Drive คืนมานะ!”
“รายงานข่าวประจำวัน มีคนพบเห็นยานโลบินด้วยความเร็วเกินกำหนดตามกฏหมายอยู่รอบนอกทวีป ขอให้ทุกท่านที่ใช้เส้นทางจราจรทางอากาศโปรดระมัดระวัง ทางตำรวจกำลังเร่งสืบหาเลขทะเบียนเจ้าของยาน—”
“กรรร”
“กรู”
ยามราตรีในเมืองของเผ่ายักษ์นั้น ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตกันอยู่ภายในบ้านของตัวเองกับพวกสัตว์เลี้ยงใช้งาน เลยทำให้ได้ยินเสียงร้องของมังกรและสัตว์หน้าขนแทรกขึ้นเป็นระยะ เป็นเสมือนดนตรีประกอบของเสียงเพลงแห่งเมืองยามราตรีอันเป็นเอกลักษณ์ที่พบได้เฉพาะในเมืองของเผ่ายักษ์เท่านั้น
ไม่มียานเหาะคอยส่องแสงรบกวนถี่มากเท่าตามเมืองของเผ่าอื่น อีกทั้งอาคารเองก็มิได้สร้างให้สูงประชันท้าแข่งกับธรรมชาติ จึงทำให้ท้องฟ้าของเมืองเผ่ายักษ์นั้นสวยงามยิ่งกว่าเผ่าใด ๆ
หากแหงนหน้ามองขึ้นไป จะสามารถมองเห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เป็นฟ้าเปิดอันสดใสที่ไร้มลพิษแห่งแสง สี และเสียง ที่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่
แต่ว่าข้านั้นไม่มีเวลาจะมามัวชมท้องฟ้าราตรี ของขึ้นชื่อของเผ่ายักษ์ในเวลานี้ได้หรอก
เพราะว่าข้ากำลังขี่มังกรหมายเลขหนึ่ง ตัวโปรดของข้าอยู่บนท้องฟ้าใต้เงาของพระจันทร์สีแดงอมชมพูทั้งสองดวง
ใช่แล้ว— ข้ากำลังดำเนินแผนการอันบ้าบิ่น ในการลักพาตัวมังกร [ลี่] ตามแผนการเดิมอยู่
“นี่ ๆ พี่ชายฑาทิม~ ตกลงจะเอายังไง? จะลุยต่อจริง ๆ หรือคะ? ไม่คิดรอคุณยายของพี่ชายตอบเมล์กลับมาก่อนหรือคะ? ”
“ไม่เอา… นี่ก็ปาเข้าไปจะขึ้นวันใหม่แล้ว ยายแกยังไม่ตอบเมล์ข้ากลับมาเลยนะเฟ้ย!”
หลังจากที่ข้าได้ฟังวิธีทีที่แสนง่ายกว่าจากหนูไซน์ ข้าก็รีบวิ่งไปแจ้งตำรวจ และส่งเมล์ไปหาคุณยายทันที
แต่ทว่าตำรวจไม่ยอมฟังข้า เพราะว่าข้านั้น— เออ… คงต้องบอกว่ามีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีจะเท่าไหรนัก…
พูดง่าย ๆ คือเครดิตเสียในหมู่เผ่ายักษ์ด้วยกันเอง…
ส่วนยายพรุนนั้น ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับยาย แต่มันไม่มีเมล์ถูกยิงส่งกลับมาหาข้าเลย ไม่ขึ้นแม้แต่ว่าถูกอ่านด้วย
ด้วยความรู้สึกร้อนใจ ข้าเลยตัดสินใจที่จะลงมือตามแผนการเดิมต่อในทันที!
ซึ่งแผนการยังคงเหมือนเดิม
คือให้ไอพวกบ้าทีมเรนเจอร์ไปดึงความสนใจที่หน้าทางเข้า
ให้เจ้าเบอร์รี่นำทีมสิบคนไปดูต้นทาง
ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 25 คน มากับข้า พร้อมกับเจ้ามังกร No. 1-4 เพื่อช่วยกันขนย้ายเจ้าลี่ด้วยผ้าคลุมสีดำขนาดใหญ่
“พี่ชาย ยังไงก็ใจเย็น ๆ อย่ารีบร้อนบุกเข้าไปตรง ๆ นะ อย่างที่บอก เดียวพวกฉัน ทีม [เรนเจอร์สีเงิน] จะหาทางแฮ๊กระบบป้องกันภัยให้กับพี่ชายเอง!”
ที่เพิ่มเข้าไปในแผนการ คือคราวนี้มีพวกเด็กน้อยน่ารักสี่คนพ่วงติดมาด้วย
เห็นว่าพวกเธอจะหาทางทำอะไรกับระบบป้องกันภัยของบ้านให้เอง
นี่ข้าสามารถไว้ใจเด็กน้อยพวกนี้ได้อยู่ใช่ไหม?
“ที่ว่าจะแฮกระบบป้องกันภัยของบ้านนี่ จะทำยังไงหรือ? ”
“อืม… ฉันต้องการสัญญาณที่คมชัดมากกว่านี้… พี่ชายฑาทิมค่ะ รบกวนพาบินอ้อมรอบเขตที่ดินให้หน่อยค่ะ ฉันต้องการจุดที่สามารถใช้อุปกรณ์ของฉันแทรกคลื่นสัญญาณเข้าไปข้างในบ้านหลังนี้ค่ะ”
“เออ… แบบนี้หรือ? ”
ข้าไม่ค่อยเข้าใจที่เจ้าตัวจิ๋วพูดเท่าไหรนัก แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเชื่อคำพูดของเด็กตัวเล็ก ๆ แบบนี้ไปก่อน
ข้าใช้มือขวาตบลงไปที่ส่วนแก้มขวาของมังกรเบา ๆ เป็นสัญญาณ แล้วชี้นิ้ววนเป็นวงรอบกำปั้นซ้ายของข้า
“เจ็บแขนขวาจริงโว๊ย! แถมเผือกที่พันอยู่รอบแขนนี่มันแกะกะชะมัด!
“…แล้วทำไมพี่ชายถึงไม่ใช้มือซ้ายทำสัญญาณแทนละคะ? ”
“อ๊ะ…? เออวะ ข้าลืมไป”
พวกหนูไซน์ทั้งสี่คนกำลังทำสายตาปลาตายมาทางข้าพร้อมกัน ก่อนจะหันไปรุมดูบนจอมือถือสีเงินในเวลาต่อมา
บนจอมือถือเล็ก ๆ ของนาง กำลังฉายภาพของเส้นคลื่นอะไรไม่รู้ ที่ฉายทับลงบนพื้นที่ว่างอากาศตรงหน้า
นางมองผ่านภาพที่ฉายนั้น แล้วหมุนไปรอบ ๆ ตัวเหมือนกับมองหาบางอย่าง
ทุกจังหวะที่นางเคลื่อนภาพ เส้นคลื่นที่ฉายบนจอก็เริ่มเปลี่ยนแปลง
มันดูเหมือนกับเป็นภาพของคลื่นทะเล
เป็นคลื่นทะเลที่เดียวก็เบาจังหวะ แล้วซัดโหมรุนแรง ก่อนจะเบาลงในเวลาต่อมา วนเรื่อยไปเช่นนั้นอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
จนกระทั้ง—
“อืม… อะไรเนี่ย? การไหลของข้อมูลแบบนี้… พวกเขามีการควบคุมระบบให้ผ่านอุปกรณ์ตัวหนึ่งก่อน เพื่อดักดูข้อมูลของทุกคนค่ะ”
“ฮืม? มันคืออะไร? ”
“ถ้าให้พูดคือมีการสร้างจุดเชื่อมต่อของเครือข่าย คอยทำหน้าที่เข้าสู่ระบบต่าง ๆ ของอุปกรณ์ คอยแปลงข้อมูลจากเครื่องจักร คอม ของต่าง ๆ ให้สามารถสื่อสาร—”
“ขอภาษามนุษย์ได้ไหม? ”
“… ให้คิดว่ามันเป็นสัญญาณไฟจราจร ที่คอยควบคุมการรับส่งข้อมูลของอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้านหลังนี้ค่ะ แล้วดูเหมือนว่ามันจะมีใครสักคนคอยควบคุมสัญญาณไฟที่ว่าทั้งหมด เพื่อดูการไหลของข้อมูลที่เข้าออกเขตตัวบ้าน ไม่ให้มีอิสระในการสื่อสารติดต่อสู่โลกภายนอกค่ะ ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงค่ะ ที่เมล์ของคุณฑาทิมจะส่งไปไม่ถึงคุณยายของพี่ชาย”
“มันทำได้ด้วยเรอะ? ”
“ทำได้ค่ะ ถ้าหากมีการเขียนระบบให้เกิดการควบคุมขึ้นมา แล้วดูเหมือนว่าทุกอุปกรณ์สื่อสารภายในบ้าน มันจะต้องไหลผ่านเข้าออกที่อุปกรณ์ของคน ๆ หนึ่งก่อนด้วยค่ะ — เออ…ขอเวลาดึงข้อมูลการใช้งานสักครู่~ รหัสเครื่อง~ XXDDF ทะเบียนผู้ใช้~ เอลเดอร์เบอร์รี่ ค่ะ”
“… ไอบ้านั่น”
ข้าจำได้ว่าก่อนจะหนีออกจากบ้าน บ้านหลังนี้มันไม่เคยมีการควบคุมอะไรอย่างติดตั้งของอะไรแบบนี้เลย
“เดียวก่อนสิ… ถ้ามันมีคนทำเรื่องแบบนี้ภายในบ้านหลังนี้จริง แล้วคนอื่นมันจะไม่โวยกันหรือ? ”
“ในบ้านของพี่ชายมีใครเก่งเรื่องไอทีหรือเปล่าคะ? บางที ถ้าเขาทำแค่เพื่อดักดูข้อมูลที่คนในบ้านส่งข้อมูลเข้า-ออก ไม่ได้ทำอะไรน่าสงสัย คิดว่าคงไม่มีใครในบ้านที่รู้ตัวกันหรอกค่ะ เพราะว่าพวกเขายังสามารถใช้งานอุปกรณ์กันได้ปกติอยู่”
ไอเชี่ย เอลเดอร์เบอร์รี่
หมอนี่มันกล้าทำเรื่องชั่วขนาดนี้กับคนในบ้านกันเองเลยเรอะ!
ข้าเข้าใจแล้ว! ก็ว่าอยู่ว่าตอนเช้าของวันนี้มันดูบังเอิญเกินไป ที่เจ้าบ้านั่นมาเดินแถวหน้าบ้านในตอนที่ข้ากำลังกลับจากการเยี่ยมท่านยาย
ไอบ้านั่นมันคงรู้อยู่แล้วว่าข้าจะมาเยี่ยมยาย มันเลยกะจะมาดักแกล้งข้าสินะ!
แต่ว่ามันคงคาดไม่ถึงว่าข้าจะมาตั้งแต่เช้ามืด มันเลยคิดว่าข้าคงไม่ได้มาแล้ว และเป็นเหตุให้ข้าไปบังเอิญได้ยินแผนร้ายของมัน
แต่ที่น่ากลัวกว่า คือมันคงรู้ตัวแล้วว่าข้าตอนนี้กำลังพยายามติดต่อหาท่านยาย!
“อืม~ ระบบป้องกันภัยไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก เป็นแค่ระบบเซ็นเซอร์จับความร้อนแบบง่าย ๆ เท่านั้น ถ้าปิดระบบไปเลย อีกฝ่ายอาจจะรู้ตัวได้ ดังนั้นเดียวฉันจะกะจังหวะปิดระบบให้พี่ชายเอง รบกวนช่วยพาพวกฉันไปส่งตรงแนวหลังกำแพงฝั่งตะวันออกทีค่ะ ตรงนั้นมันมีสัญญาณเชื่อมแรงดีค่ะ”
“ได้”
ข้ารีบพาเด็กทั้งสี่คนไปส่งตรงรั้วหินฝั่งทิศตะวันออก
รั้วฝั่งนี้ติดกับถนนใหญ่พอดี
แต่เป็นเพราะเผ่ายักษ์ไม่ค่อยชอบเที่ยวกลางคืนกัน เลยทำให้ถนนใหญ่มีเพียงแค่แสงสว่างจากดวงไฟของถนน และมีพวกคนทำอาชีพกลางคืนเดินผ่านไปมาแค่สองสามคนเท่านั้น
มันดูเงียบ และเปลี่ยวอย่างน่าตกใจว่าจะมีผีโผล่ออกมาหลอกได้เลยเชียวละ
“… พวกแกสักคนช่วยอยู่เป็นเพื่อนเด็กพวกนี้ที”
“ไม่ต้อง—”
“เจ้าหนูทั้งสี่อย่ามาทำเก่ง! ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเอาตัวรอดกันได้ แต่ข้าเองก็ไม่ผิดที่จะรู้สึกเป็นห่วง เพื่อให้ภารกิจราบรื่น และตัวข้าเองไม่มีห่วงอยู่ข้างหลัง ช่วยเชื่อฟังข้า ให้มีลูกน้องข้าสักคนอยู่ข้าง ๆ ไปเถอะ!”
“ขอบคุณค่ะ…”
“พี่ยักษ์ใจดีกว่าทีคิดแฮะ”
“หน้ายักษ์ แต่ใจดี~”
“ใจดี แต่หน้าตาน่ากลัวอะ แง!”
เด็กทั้งสี่คนต่างมีการตอบสนองแตกต่างกัน
มีเด็กคนหนึ่งที่รู้สึกว่าพูดจาไม่ค่อยเข้าหูหน่อย แต่ครั้งนี้ข้าจะยอมทำเป็นไม่ได้ยินไปก่อน
“แล้วต้องใช้เวลาเท่าไหร ถึงจะปิดระบบเพื่อให้ข้าลอบบินเข้าไปได้? ”
“ค่ะ ฉันปิดระบบไปแล้วค่ะ พี่ชายสามารถบินผ่านเข้าไปตอนนี้ได้เลยค่ะ”
ถึงจะเก่งแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นแค่เด็ก
อย่างมากคงต้องใช้เวลาสัก 30 นาทีได้
คงไม่ง่ายแบบในหนังหรอก ที่ใช้เพียงแค่นิ้วจิ้ม ลาก ๆ ถูก ๆ ไม่ถึงสิบวินาที ก็สามารถแย่งการควบคุมระบบทั้งหมดได้แล้ว—
“…เมื่อกี้นี้เจ้าหนูพูดว่าอะไรนะ? ”
“ฉันปิดระบบไปแล้ว พี่ชายสามารถบินผ่านเข้าไปตอนนี้ได้เลยค่ะ”
เร็วเวอร์!!
ตูดข้ายังไม่ทันจะกลับไปนั่งบนตัวมังกรเลยนะเฮ้ย!
“พะ– พวกแก! ไม่ได้ยินที่เจ้าหนูพูดหรือยังไง! รีบตามข้ามา ข้าจะบุกเข้าไปในเขตของบ้านเดียวนี้เลย!”
“คะ– ครับหัวหน้าฑาทิม!!”
ได้เวลา ที่ข้าจะขโมยมังกรแล้ว!
MANGA DISCUSSION