***วันที่ 5 เกอเนริบส์ ปีประวัติศาสตร์ที่ 126***
เวลา 5:30 น. ทวีปป่าหิน-ร็อค ฟอร์เรส
“โอ๊ย… เหนื่อยวุ้ย…”
ผม นายตำรวจหนุ่มหมดไฟ กำลังเอนตัวล้มลงบนเตียงแสนหยาบกระด้างตรงหน้าด้วยความเหนื่อยล้า
ระหว่างที่ล้มตัวลงนอนโดยไม่คิดเปลี่ยนชุดทำงานออก ก็เริ่มคิดถึงความเหนื่อยยากในช่วงเวลาที่ผ่านของตัวเอง
ทำไม… ชีวิตตำรวจของผมถึงได้โกลาหลขนาดนี้กันฟะ…?
มันเริ่มจากช่วง— ประมาณช่วงไหน? เออ… เริ่มจำไม่ได้แล้ว
เอาเป็นว่าความวุ่นวายในชีวิตมันเริ่มตอนช่วงที่ผมโดน เดสตินี่ย์ ชวนให้มาทำงานเป็นองครักษ์ประจำตัวของเขา
ด้วยความสับสนในชีวิตช่วงนั้น ที่ถูกหัวหน้าของกลุ่มศัตรูมาชวนเข้าองค์กร เลยรีบหาทางติดต่อหัวหน้า [โนเนม]
แต่หัวหน้ากลับเป็นฝ่ายที่ติดต่อเข้ามาเองก่อน เลยทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องวิธีการหาทางติดต่อกลับ
ว่าแต่หัวหน้านี่น่ากลัวชะมัด แกไปรู้ตอนไหนว่าผมได้รับการติดต่อมาจากทาง เดสตินี่ย์?
นี่เริ่มชักจะสงสัยจริงจังแล้วนะว่าแกใช้วิธีไหน ถึงสามารถสะกดรอยตามซ้อนโดยที่ผม หรือแม้แต่พวกสาว ๆ ยังไม่รู้ตัวในตอนที่อยู่ทวีปแห่งความแห้งแล้ง
เอาเป็นว่าหัวหน้าโนเนมสุดยอดมากในหลาย ๆ ความหมาย
คำสั่งของหัวหน้าโนเนมที่สั่งลงมาในเวลานั้น คือการให้ผมทิ้งตำแหน่งของตำรวจสากลไป แล้วเข้าไปเป็นองครักษ์ประจำตัวของ เดสตินี่ย์ ได้เลย พร้อมกับทิ้งคำพูดหล่อ ๆ เอาไว้ว่า “เหนื่อยหน่อยนะ”
เหนื่อยหน่อยนะ… พูดง่ายดีนี่คุณท่านหัวหน้า!!!
ผมเลยต้องจำใจลาจากกลุ่มพวกสาว ๆ หยุดพักการฝึกวิชาการใช้พลังซ้อนเร้น แล้วมาทำหน้าที่เป็นองครักษ์ประจำตัวไปแทน
ผลลัพธ์ของการดึงดันมาเล่นบทบาทละครนี้คือ— ความวุ่นวาย…
เพราะภาพลักษณ์ของผมในปัจจุบันนี้คือไม่ได้รับการไว้วางใจจากทั้งสองฝั่ง
ในมุมของตำรวจสากลคือถูกตราหน้าว่า “เป็นสายให้กับคาร์นิวอย” ด้วยฝีมือของเจ้ารุ่นพี่อีกา
ส่วนในมุมของคาร์นิวอย ก็ถูกตราหน้าว่า “เป็นสายให้กับตำรวจสากล” ด้วยฝีมือของเจ้ารุ่นพี่อีกาเช่นกัน
เพราะคนที่เป็นสายของฝั่งศัตรูตัวจริง มันคือเจ้ารุ่นพี่อีกา เลยกลายเป็นทำให้ผมถูกนำไฟใส่ไฟจากทั้งสองฝั่งไปแทน…
มันเป็นบทบาทที่หนักมาก เพราะไม่มีคนรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของผมมาคอยช่วยสนับสนุนให้
สุดท้าย เลยกลายเป็นว่าถูกจับตาดูจากทั้งสองฝั่ง ว่าตกลงเอ็งเป็นสายให้กับฝั่งไหนกันแน่
ทุกวันต้องรบรากับความรู้สึกที่ถูกจับตา ต้องระวังไม่ให้ตัวเองถูกเก็บ แล้วยังต้องแอบส่งรายงานให้หัวหน้าโนเนม กับตามติด เดสตินี่ย์ เหมือนเป็นปาท่องโก๋อีก
แถมความที่ฉากหน้าของ เดสตินี่ย์ คือผู้จัดการของ [บริษัทอาร์โทรโพดา พาส คอมพานี] สาขาทวีปแห่งความแห้งแล้ง
ซึ่งไอ [บริษัทอาร์โทรโพดา พาส คอมพานี] ถือเป็นหนึ่งในบริษัทขนส่งที่มีอำนาจเป็นอันดับต้นของโลก เลยทำให้เขาถูกป้องร้ายมากอย่างคาดไม่ถึง
เอาแค่ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ก็เจอเคสรับมือกับคดีลอบสังหารมากถึง 20 เคส ไปแล้ว!
ไม่คิดเลยว่าไอ [บริษัทอาร์โทรโพดา พาส คอมพานี] ที่ภาพลักษณ์ภายนอกโคตรจะดูดี แต่ข้างในนี่แข่งกันจ้องจะเลื่อยขาเก้าอี้กันได้เดือดแบบนี้!
แถมวัน ๆ นี่ไม่มีอยู่ติดเมืองเลย เดียวก็ต้องบินไปตรงนู้นที บินไปตรงนี้ที อย่างช่วงนี้เองก็ต้องมาที่ทวีปป่าหินนี้อีก
พูดตามตรงคือโคตรเหนื่อย!
แล้วนี่อะไร!? ขนาดเวลาส่วนตัว นึกว่าจะได้นอนสบาย ๆ ยังต้องมาเจอการแอบดูอีก!
อย่างตรงหัวเตียงในเวลานี้ ใต้จุดที่ซ่อนไฟหลืบ รู้สึกได้ชัดเจนเลยว่ามีหุ่นนาโนตัวหนึ่งกำลังจ้องมองมาทางนี้อยู่
ที่ไม่ยอมเปลี่ยนเป็นชุดนอน ก็เพราะเหตุนี้เป็นหลักเลย!
ไม่รู้หรอกนะว่าหุ่นบ้าตัวจิ๋วเท่าฝุ่นตัวนี้มาจากฝั่งไหน แต่ขอเวลาส่วนตัวให้ผมบ้างหน่อยสิเฮ้ย!
ว่าแล้วก็ทำเป็นแกล้งยืดแขนขาบนเตียงไม้แสนหยาบกระด้าง เพื่อเอานิ้วไปเขี่ยตรงแนวไฟหลืบ แกล้งหุ่นมันเล่น
“… แต่ว่าคุณ เดสตินี่ย์ เป็นคนดีผิดคาดเลยแฮะ”
ผมนึกว่าทุกคนจากองค์กรกินเนื้อสัตว์ คาร์นิวอย จะเป็นพวกบ้าโรคจิต นิสัยวิปริต กันหมด
แต่พอได้สัมผัสกับตัวจริง กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นคนดีกว่าที่คิด
ถ้าให้ย้อนความไปถึงจุดเริ่มต้นของ [บริษัทอาร์โทรโพดา พาส คอมพานี] มันเริ่มจากเผ่ามนุษย์มดที่ชื่อ [เซอร์ไว] ตั้งขึ้นมา แล้วรับพวกเด็กกำพร้าจากทุกเผ่าอย่างไม่มีการแบ่งแยก มาร่วมทำงานเลี้ยงตัวเองเพื่อให้มีกินและลืมตาอ้าปาก
พอรู้ตัวอีกที มันก็กลายเป็นบริษัทใหญ่ของโลกไปแล้ว
ด้วยความที่รุ่นแรกวางโครงสร้างของบริษัทเอาไว้มาอย่างดี เลยทำให้รุ่นหลังที่สืบทอดต่อกันมา สามารถสืบสานความใหญ่โตมาได้ต่อเนื่องยาวนานนับร่วมอายุ 105 ปี ได้
ไม่สิ ปีนี้คงต้องบอกว่าเป็นปีที่ 106 ของบริษัทสิ
แต่ไม่ว่าตัวบริษัทจะใหญ่โตมากแค่ไหน คนเลวย่อมมีไปอยู่ทุกที่
มันก็อย่างที่ผมได้บ่นไปข้างต้น ว่าในยุคปัจจบัน ด้วยความที่บริษัทมันใหญ่มาก เลยทำให้ต้องมีการซอยย่อยแยกเป็นสาขาบริหารตามแต่ละทวีปไป
แล้วแต่ละสาขาก็จะแข่งขันกันเอง คนข้างล่างหวังเค้กชิ้นใหญ่จากข้างบน จ้องแต่จะเลื่อยเก้าอี้กันอย่างไม่แยแสปณิธานของผู้ก่อตั้งคนแรก ที่อยากให้ทุกคนในบริษัท มีกิน มีใช้ มีงานทำ
เท่าที่ผมได้เห็นจากมุมข้างใน จะมีก็แค่คุณ เดสตินี่ย์ ที่สืบทอดปณิธานของผู้ก่อตั้งคนแรกมาได้ตรงมากที่สุด
เขามอบการช่วยเหลือให้กับผู้ยากไร้จากทุกเผ่าโดยไม่มีการแบ่งแยก
ไม่คิดตั้งเงินเดือนให้ตัวเองแบบเกินเลย แล้วมอบงบกำไรส่วนที่เหลือโยนเข้าองค์กรให้มากที่สุดไปแทน
ไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจต่อผู้ที่ด้อยกว่า
จริงใจกับทุกคน ห่วงใยสุขภาพของผู้ใต้บัญชา ไม่ยอมให้ใครต้องทำงานหนักล่วงเวลาอย่างไม่มีเหตุผล
เวลามีปัญหา ก็ไม่เคยคิดจะทิ้งงาน และยอมเอาคอตัวเองมาแขวนรับผิดชอบไปเสียทุกครั้ง
พูดตามตรงว่าเป็นคนดีที่หนึ่งเลยละ
แล้วมันไม่ใช่การแสดงเพื่อสร้างภาพอย่างแน่นอน ผมรู้สึกถึงความจริงใจของเขาได้
เป็นคนดีจนไม่น่าเชื่อว่าเขาคือคนเดียวกับที่เข้าร่วมองค์กรคาร์นิวอย แล้วกินเนื้อของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ตัวเองได้อย่างหน้าตาเฉย
บางทีพอเห็นแบบนี้แล้ว ผมก็มานั่งคิด ว่าอะไรคือนิยามของ [คนดี] กัน?
บางคนภายนอกดูดี แต่ภายในมุ่งหวังแต่ผลประโยชน์
บางคนยิ้ม แต่ลับหลังเตรียมมีดเพื่อรอแทงให้ตาย
แต่ชายคนที่ชื่อ เดสตินี่ย์ กลับเป็นพวกซื่อตรง ทำทุกอย่างตรงไปตรงมา และมอบความจริงใจให้กับทุกคนที่เขาเจอเสมอ
แต่ฉากหลัง เขากลับจับเพื่อนร่วมเผ่ามากิน…
เขาควรถูกเรียกว่า [คนดี] หรือ [คนเลว] กันแน่?
หรือว่าเป็น [คนวิปริต] ที่เป็น [คนดี] ?
แล้วคน [คนวิปริต] ที่เป็น [คนดี] แต่ทำผิดกฏหมายส่วนรวม ยังจะถือว่าเป็น [คนดี] หรือไม่?
สมมติว่าทำดี 9 ส่วน ทำเลว 1 ส่วน แล้วความดีจะชดเชยความเลวได้ไหม?
“…”
ผมไม่รู้คำตอบนั้น
“โอ๊กกกกกก!”
“เหวอ!? สกปรกนะเอโซ! ถามจริงเถอะ ปกติก็เห็นไม่เคยเมายานเมารถเลยสักครั้ง ทำไมช่วงนี้ถึงแสดงอาการเมารถติดต่อกันได้แบบนี้เนี่ย? ”
“ที่ไม่เคยแสดงอาการเมาเพราะว่ายานยนต์หรือเรือที่เคยนั่งตลอดมามันไม่โคลงต่างหาก! เราต่างหากที่อยากถามกลับ! รถสัตว์ลากเลื่อนที่โคลงเป็นจังหวะอย่างบ้าระห่ำขนาดนี้ พวกเธอนั่งไปได้ยังไงโดยไม่มีอาการเมากันเลยยะ!”
เสียง?
“แล้วไอโรงแรมโทรม ๆ ที่ดูเหมือนเอาฟางหญ้ากับไม้ซุงมาก่อรวม ๆ กันนี้คืออะไรกันยะลาพิส! เงินก็มี ทำไมถึงไปจองโรงแรมแบบนี้มากันได้เนี่ย!”
“ก็… สมกับที่ให้คนตาบอดจองโรงแรมให้ละนะ สงสัยว่าเธอคงจิ้มเอามั่ว ๆ มาจากหน้าเว็ปชัวป๊าบ ความจริงแค่ลาพิสสามารถจิ้มจองโรงแรมตรงวันมาได้ มันก็น่าเหลือเชื่อแล้วละ”
ใครมาส่งเสียงดังอะไรที่หน้าโรงแรมนี้กัน?
ไม่สิ— เสียงนี้ออกจะคุ้นหูอยู่
“ฮัต— จิ๋ว!”
นี่มัน— เสียงจามของคุณลาพิส!
ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นยืน ลืมซึ่งความเหนื่อยล้า แล้ววิ่งออกไปข้างนอกในทันที
***
“แล้วไอโรงแรมโทรม ๆ ที่ดูเหมือนเอาฟางหญ้ากับไม้ซุงมาก่อรวม ๆ กันนี้คืออะไรกันยะลาพิส! เงินก็มี ทำไมถึงไปจองโรงแรมแบบนี้มากันได้เนี่ย!”
“ก็… สมกับที่ให้คนตาบอดจองโรงแรมให้ละนะ สงสัยว่าเธอคงจิ้มเอามั่ว ๆ มาจากหน้าเว็ปชัวป๊าบ ความจริงแค่ลาพิสสามารถจิ้มจองโรงแรมตรงวันมาได้ มันก็น่าเหลือเชื่อแล้วละ”
จริงของยัยแมรี่
แค่ลาพิสใช้สัมผัสวิญญาณมองดูหน้าจอ จนสามารถจองตั๋วโรงแรมที่พักได้ถูกวัน ถูกสถานที่ ก็นับว่าสุดยอดมากแล้ว
แต่ถึงจะสุดยอดแค่ไหน ที่พักแบบนี้คงขอแค่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
วันหลังจะไม่ยอมให้เธอทำหน้าที่จองอะไรแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด!
เรานึกตั้งกฏให้กับตัวเองไปพลาง แล้วหันไปมองดูโรงแรมห่วย ๆ ตรงหน้าไปพลาง
มันเป็นโรงแรมที่มีชื่อว่า [พำนักพร้อมพัง ฑาทิม]
เป็นโรงแรมที่ถูกสร้างด้วยการเอาโครงไม้มาวางเรียงต่อกันอย่างง่าย ๆ โดยไม่มีตะปู แล้วเอาฟางหญ้าแห้งมามัดรวม ก่อเป็นผนังกับหลังคาของอาคาร
ไอของที่สร้างจากธรรมชาติแบบนี้นะ ถ้าทำดี ๆ มันก็ดูสวยงามตาได้อยู่หรอก
แต่โรงแรมหลังนี้เหมือนเจ้าของมันจะทำกันเอาเองมากกว่า เลยมีสภาพโทรม ๆ พร้อมจะพังลงมาทุกเมื่อตามชื่อโรงแรมที่ดูอัปมงคลของมันนั่นแหละ
อยากจะถามเจ้าของเหมือนกันว่าคิดยังไง ถึงกล้าหาญชาญชัยมาเปิดให้บริการ
แต่คนที่มาพักอย่างพวกเราเองก็ถือว่าบ้าไม่แพ้กัน
“…เดียวก่อน สัมผัสวิญญาณแบบนี้—”
โรงแรมแบบนี้ นอกจากพวกเรา ยังมีคนอื่นกล้ามาจองพักอยู่ด้วยแฮะ…
แถมคนที่มาจองพักยังมีสีของคลื่นวิญญาณที่คุ้นเคยอย่างมากอีกด้วย
นี่มัน— ไอเจ้าพ่อบ้าน [ออน-เอ็ซท] ไม่ใช่เรอะ?
“ฮัต— จิ๋ว!”
พอเพื่อนสาวหัวฟ้าของเราจามปุบ มันก็รีบวิ่งออกจากห้องมุ่งตรงมาทางหน้าโรงแรมแทบจะในทันที
ไอหน้าหม้อ…
“คะ— คุณลาพิส! บังเอิญจังนะครับที่ได้มาเจอกันที่นี่!!”
[—คะ? เออ… คุณ ออน-เอ็ซท? _?]
พอออกมาจากหน้าโรงแรมปุบ มันก็วิ่งตรงเข้าไปทักกับลาพิสก่อนเลย
“แล้วก็คุณเอโซ คุณแมรี่ สวัสดีครับ! ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ!”
ส่วนพวกเรานั้นถูกยกเอาไปทักทายทีหลังแทน
ดิฉันขอด่าในใจอย่างสุภาพโดยตัวอักษรตัวใหญ่ ๆ อีกรอบค่ะว่า
ไอ-หน้า-หม้อ!
“…สวัสดี ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว พวกเราขอตัว กำลังเหนื่อยกับการเดินทางมาก”
ถ้าอยู่ตรงนี้นาน มีหวังได้คุยแต่เรื่องไร้สาระไม่รู้จบ
รีบไปนอนพักให้หายเมารถดีกว่า
จะได้เอาเวลาที่ว่างไปสอบสวนวิญญาณที่ยังไม่ได้ทำสักทีด้วย—
*กรรรรรร!*
*กรู!!*
—เสียงของมังกร…
คราวนี้จะอะไรกันอีกเนี่ย…
แถมเสียงนี้ยังคุ้นหูอีก…
จำได้ดีเลย… ว่าเป็นเสียงมังกรเลี้ยงของเจ้ายักษ์สมองกลวงคนนั้น…
เจ้ายักษ์ที่ชื่อว่า [ทาฑิม]
เดียวก่อนนะ?
[พำนักพร้อมพัง ฑาทิม]
อย่าบอกนะว่าเจ้าของโรงแรมใกล้พังหลังนี้ก็คือ…
“นะ— นั่นมันพวกคุณลาพิส!— แล้วก็คุณเอโซ กับคุณแมรี่!?!”
ขนาดไอหมอนี่เองก็ยังเรียกชื่อของลาพิสก่อน!!
ลาพิส… เธอนี่มันช่างเป็นผู้หญิงที่บาปหนายิ่งนัก!
ชายเผ่ายักษ์ ผิวสีแดงเลือดหมู ดวงตาสีทอง ผมสีส้มดั่งเปลวเพลิงยาวเหยียดจรดเอว กำลังขี่มังกรตัวหนึ่งลงมาจอดที่หน้าโรงแรม
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีคนกล้ามาพักโรงแรมที่ลูกพี่เคยเปิดทิ้งเอาไว้ด้วย!”
“ทั้งที่ปกติก็ไม่มีคนเข้าพัก แล้วถูกใช้เป็นที่พักของพวกเราเวลาแวะกลับมาบ้านเกิดแท้ ๆ ”
ด้านหลังของเขาคือพวกลูกน้องงี่เง่าของเขาอีก 40 ชีวิต
“ไม่จริง! คุณ ออน เองก็อยู่ที่นี่ด้วย!?!”
“อ่าว? นั่นคุณ เบอร์รี่? ”
“มีแต่หน้าเก่า ๆ คนรู้จัก อย่างกับเป็นงานนัดเลี้ยงคืนสู่เหย้าเลยแฮะ”
“นี่มันคือโชคชะตา! ไม่สิ! ถ้าไม่ได้ เบอร์รี่ ทักมาว่าให้แวะกลับมาพักที่โรงแรมก่อนคืนหนึ่ง ก็คงไม่มีทางได้เจอกับพวกเจ้า! เบอร์รี่! เจ้าคือตัวนำโชคของพวกเราในวันนี้!!”
“…”
สิ่งที่พวกมันกำลังคุยกันเสียงดัง เริ่มที่จะไม่ไหลผ่านเข้ามาในสมองแล้ว…
เพราะกำลังรู้สึกเหนื่อย…
ข้างหน้า มีไอเจ้าบ้าสมองกล้ามกับกลุ่มของมัน
ด้านข้าง มีไอเจ้าหนุ่มตำรวจที่มักมาพร้อมกับความวุ่นวาย
แล้วข้างหลังห่างออกไป ก็ยังมีเจ้าเด็กน้อยอีก 4 หน่อ ที่ยังคงแอบตามมาโดยไม่รู้จักเหนื่อย
เริ่มชักสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง…
หวังว่าในอีกสองสามวันข้างหน้า เมืองนี้คงไม่เกิดเรื่องเคราะห์ร้ายขึ้นมาหรอกนะ?
MANGA DISCUSSION