*แหมะ*
มันคือหยดน้ำที่เย็นเฉียบของฤดูหนาว
*แหมะ*
หยดน้ำนั้นกำลังกรีดแทงลงมาผิวหน้าที่แสนน่ารักของเรา
“อืม… ที่นี่— คือ? ”
สิ่งที่เห็นสิ่งแรก คือภาพของกองฟางชื้น ๆ สีน้ำตาลที่เปียกชุ่มภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก
มีผนังกับเพดานหินสีดำที่เย็นเฉียบราวน้ำแข็งปิดทึบล้อมเอาไว้
เหนือขึ้นไปจากความสูงพื้น 6 เมตร มีช่องระบายอากาศขนาดเล็ก พอให้มีอากาศหายใจ และแสงสว่างส่องลอดผ่านเข้ามา
เป็นห้องที่มีสภาพไม่ต่างไปจากคุกคุมขังนักโทษในช่วงยุคกลาง—
“ฮะ– ฮัดชิ่ว! หนาว!?! ”
แถมยังหนาวมากอีกด้วย
พอก้มมองดูตัวเอง ก็พบว่าตัวเองไม่ได้สวมเสื้อกันหนาว เหลือเพียงแต่เสื้อกล้ามสีแดงสดตัวเก่งสุดโปรดสวมเอาไว้เพียงตัวเดียว
“ทำไมถึงมาอยู่ในที่แบบนี้…”
เราคิดทบทวนเหตุการณ์ใหม่อีกครั้งภายในสมองที่ยังคงหมุนกลิ้งเป็นลูกขนุน
ก่อนที่เราจะหมดสติ เทพไร้หน้าได้ทำการสลายปีศาจหมอกที่เกิดจากการรวมตัวของวิญญาณชั้นต่ำไปแล้ว
แต่ในตอนที่คิดว่าทุกอย่างจบ เสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้นมา
[ใคร—? ใครกัน ที่มาทำลาย—]
หลังสิ้นเสียงนั้น หมอกสีเทาจักผุดขึ้นจากที่ว่างเข้าปกคลุมพวกเรา แล้วสติก็ดับวูบหายไปแทบจะในทันที
“ชิ…”
เราประมาทไป
ทั้งที่ควรจะรู้ตัว ว่าปกติวิญญาณไม่มีทางมารวมกันจนกลายเป็นปีศาจแบบนั้นได้หรอก
มันต้องมีใครอยู่เบื้องหลัง
เสียงที่ได้ยินก่อนหมดสติ คงเป็นเสียงของตัวการอย่างแน่นอน
“ลาพิส แมรี่โกลด์ ตื่นได้แล้ว”
“ถึงเวลาข้าวกลางวันแล้วหรือ~ งึมงำ~”
[ตื่นแล้วค่า~ [^_^] /]
ร่าเริงจริงนะยัยสองคนนี้
แต่ก็เป็นข้อดีของเจ้าพวกนี้ละนะ
“โอ๊ย… ปวดหัว…”
“หัวหน้า… มันเกิดอะไรขึ้น…”
“ที่นี่… ที่ไหนกัน? ”
บางทีอาจเป็นเพราะส่งเสียงดังเกินไป เลยทำให้เจ้าพวกที่ไม่เกี่ยวข้องตื่นขึ้นมาด้วย
กลุ่มคณะสำรวจของพวกเจ้ายักษ์ที่พวกเราถือโอกาสติดรถให้พามาส่งถึงใจกลางทวีป กำลังลืมตาตื่นขึ้นภายในคุกที่คับแคบ
“…”
ฉิบหายละ
“เดียว เดียว เดียว! พวกแกอย่าพึ่งลุกขึ้นมากันสิยะ! ”
ด้วยขนาดและร่างกายของเผ่ายักษ์ เลยทำให้คุกขนาดเล็กนี้ดูคับแคบไปภายในพริบตาเดียว
ดังนั้น… พอพวกมันลุกขึ้นมา เลยทำให้พวกเราถูกเบียดไปจนแนบติดสุดขอบผนังหินแทบจะในทันที—
***
พอลืมตาตื่น ก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องขังหินที่ชื้นแฉะเย็นจับขั้วหัวใจ
เออ… ทำไมผมถึงมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ได้เนี่ย?
ไม่สิ ที่สำคัญกว่า คือเรื่องราวก่อนหน้านี้ต่างหาก
ผมยังจำได้ชัดเจน ถึงเหตุการณ์ที่พวกยัยภูติสลายหมอกปีศาจ
ตอนนั้นเธอหยิบขวดแก้วออกมา แล้วยื่นออกไปสูบแสงสว่างที่พร่ามัว
สิ่งที่เธอทำมันทำให้ผมนึกถึงความฝันที่ร้านเหล้าเมื่อวันก่อน
“ (ยังไงก็ต้องถามเธอให้ได้ ว่าเธอทำอะไรลงไป ทำไมถึงมีแสงสว่างหลังหมอกสลาย แล้วทำไมแสงจำนวนมากถึงถูกสูบลงไปข้างในขวดแก้วเล็ก ๆ แบบนั้น?) ”
ผมพยายามลุกขึ้นยืนจากพื้นหินที่เต็มไปด้วยกองฟาง
*หนุบ*
ตอนนั้นเองที่ฝ่ามือของผมสัมผัสกับบางสิ่ง
มันนุ่มมือ อบอุ่น แถมยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย
เป็นสัมผัสที่ให้ความรู้สึกที่ดีมาก ๆ เลยละ
***
*หนุบ*
“…”
ท่ามกลางความวุ่นวายที่กำลังถูกเบียดจนแนบติดผนังคุก ตอนนั้นเองที่มีมือดีที่ไหนไม่รู้ โผล่มาสัมผัสกับต้นขาอ่อนเนียนนุ่มของเทพไร้หน้าเข้าให้
เนื่องจากเราตาดี เลยทำให้มองเห้นได้อย่างชัดเจนแม้แต่ในที่มืดแบบนี้
เรามองเห็นเต็มตาเลยว่าเป็นฝีมือของใคร
ดูจากขนาดมือนั้นแล้ว คงเป็นของไอหนุ่มเผ่ามนุษย์ไม่ผิดแน่นอน
ไปจับต้นขาของเทพไร้หน้าแบบนั้น ไม่ได้ตายดีแน่เอ็ง~
[กรี๊ดดด คนลามก! X- [] ]
เพื่อนหัวฟ้าของเราถือป้ายที่แสดงความตื่นตกใจ ก่อนจะวาดท่าจระเข้ฟาดหางใส่ชายเผ่ามนุษย์ตรงหน้า
แต่ทว่าเจ้าหมอนั่นมันเบียงตัวหลบออกไปก่อนที่ปลายเท้าจะได้ทันสัมผัส เลยทำให้ลูกแตะของเธอไปฟาดใส่ใบหน้าของชายเผ่ายักษ์ที่ยืนอยู่ข้างหลังแทน
ละ— หลบลูกแตะของเทพไร้หน้าได้ด้วยเว้ยเฮ้ย!?!
เจ้ามนุษย์คนนี้มีฝีมือไม่ใช่ธรรมดา~
*เปรี๊ยง! *
ผมสีแดงเพลิงที่คุ้นตากำลังปลิวกระเด็นไปกระแทกใส่ผนังหินของคุก
ด้วยความรุนแรงเหนือจินตนาการณ์ เลยทำให้ผนังของคุกหินแตกพังทลายเปิดเป็นรูกว้างขนาดใหญ่
“หัวหน้าทาฑิมมมม!?! ”
เสียงกรีดร้องของพรรคพวกเจ้ายักษ์ดังสะท้อนก้องไปทั่วคุกหินจนแก้วหูแทบแตก
แต่ที่สำคัญกว่าเรื่องสวัสดิภาพของเจ้ายักษ์หัวเพลิง คือสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงข้างนอกของคุกหิน
มันคือหมู่บ้าน
เป็นหมู่บ้านที่ถูกสร้างจากดิน หิน และกองหญ้าตากแห้ง บนทุ่งหญ้าสีแดงที่ถูกถางออก
พวกมันช่างดูเปราะบาง จนน่ากลัวว่าเพียงแค่มีลมแรงพัดผ่าน ก็อาจทำให้พังทลายลงไปได้ในพริบตา
เหนือท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกสีเทาหนาทึบ ไร้ซึ่งแสงสว่างหรือแสงจันทร์ มิอาจรับรู้เวลาของโลกภายนอก
ไกลออกไปจากเขตหมู่บ้าน คือกำแพงหมอกที่หนาทึบ เสมือนหนึ่งเป็นกำแพงหนาที่พร้อมจะดูดกลืนทุกสิ่งให้หายเข้าไปภายในหมอก จนไม่มีวันหวนกลับออกมาได้อีก
ท่ามกลางความมืดที่ไม่อาจมองเห็นท้องฟ้าหรือโลกภายนอก มีเพียงแค่แสงไฟประดิษฐ์จากดวงโคมที่ประดับเรียงรายไปตามถนน ที่คอยส่องแสงให้พื้นที่นี้สุกสว่าง
มีผู้คนหลากเผ่าพันธุ์ใช้ชีวิต โดยเน้นไปทางเผ่ามนุษย์เกือบ 95% จากจำนวนที่มีร่วมเกือบ 200 คน
หากแต่ชาวบ้านพวกนั้นช่างดูไร้วิญญาณ ราวกับเป็นตุ๊กตาที่มีเพียงแต่เปลือก
คนหนึ่งทำนา
คนหนึ่งเก็บพืชผล
คนหนึ่งเลี้ยงดูแลสัตว์
ไม่มีเสียงพูดคุยระหว่างชาวบ้าน นอกจากการทำงานไร่นาอย่างขยันขันแข็ง
ไม่มีการหยุดพักดืมกิน นอกจากขยับแขนขาเพื่อการทำงาน
ดวงตาไม่จับจองสิ่งอื่นใด นอกจากภาระหน้าที่การงานที่ถมกองอยู่ตรงหน้า
ประหนึ่งดั่งเป็นเครื่องจักรกลที่ถูกสั่งการ ไม่อาจหันเหไปให้ความสนใจในสิ่งอื่นได้
ตามบ้านแต่ละหลังที่ซอมซ่อ จะมีเนื้อสัตว์ตากแห้งแขวนเรียงรายเอาไว้
เนื้อพวกนั้นล้วนต่างแห้งกรังดั่งเป็นแผ่นกระดาษ เสมือนหนึ่งถูกนำไปตากทิ้งเอาไว้นานนับสิบปี
บ่อน้ำหินที่ถูกขุดขึ้นใช้งาน แม้นจะมีน้ำบรรจุ หากแต่กลับนิ่งสนิทดั่งเป็นแผ่นกระจก อีกทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นเน่า
ประหนึ่งว่าน้ำในบ่อ ไม่เคยมีผู้ใดเข้าไปแตะต้องดื่มกินมันมานานนับสิบปีจนกลายเป็นน้ำตาย
มันเป็นสภาพของหมู่บ้าน ที่ราวกับว่าชาวบ้านไม่จำเป็นต้องดื่มกินเพื่อการดำรงชีพ
ที่ใจกลางหมู่บ้านที่ดูแปลกประหลาดนี้ มีอาคารหลังหนึ่งซึ่งดูโดดเด่นเป็นพิเศษ
มันเป็นอาคารที่ถูกสร้างจากปูนและหินดูแข็งแรงมั่นคง เป็นคฤหาสน์สูงสามชั้นที่สร้างตามสถาปัตยกรรมยุโรปในยุคโรแมนติก
ที่อาคารหลังนั้น มีแสงสว่างสีน้ำเงินเข้มข้นกำลังเข้าปกคลุมหุ้มรอบอาคารเอาไว้
เป็นแสงสีที่มีแค่พวกเราเหล่าสามเทพสามารถมองเห็นได้
แสงสว่างของพลังงานที่ไม่ควรปรากฏในโลกใบนี้
แสงสว่างของพลังงาน [วิญญาณ]
***
“อืม… คฤหาสน์หลังนั้นคือตัวการหลักในการดึงดูดวิญญาณหลงให้มารวมตัวที่ใจกลางทวีปแน่นอน เทพไร้หน้า เทพไร้ขา ดูเหมือนจะเป็นงานใหญ่กว่าที่คิดแล้วแฮะ”
ผมกำลังส่งเสียงกระซิบเบา ๆ ให้ได้ยินเฉพาะกับเพื่อนทั้งสองคน
ถึงจะยังไม่รู้ว่าใครคือตัวการที่ทำเรื่องแบบนี้ แต่หากพิจารณาจากคลื่นพลังวิญญาณ คงมีระดับไม่ต่ำกว่า [นิรยบาล] เจ้าหน้าที่เทพผู้ดูแลสัตว์นรกเป็นแน่แท้
หวังว่าคงไม่ใช่พวกเทพเจ้าที่จงใจจำแลงร่างลงมาก่อเรื่องวุ่นวายบนโลกคนเป็น เหมือนกับที่พวกเราเคยทำในสมัยอดีตหรอกนะ…
เพราะถ้าเป็นแบบนั้น พวกเราที่สูญเสียร่างกายของเทพไปแล้ว ย่อมไม่มีทางเอาชนะได้อย่างแน่นอน
“รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง มาสืบหาตัวจริงของศัตรูกันก่อนเถอะ”
“ได้เลย! ”
[เอโซว่าไง เราว่าตามนั้น (b_d) ]
โอเค
ตอนนี้เหลือแค่สืบหาข้อมูล—
“อะ— อั๊ก!? … ฮืม? ที่นี่คือที่ไหน? ดินแดนของพระแม่เกียอาเช่นนั้นหรือ? ”
“หัวหน้าทาฑิมยังไม่ตายละ! ”
“ไชโย! หัวหน้าพวกเราอึดฉิบหายเลยเฟ้ย! สมกับเป็นหัวหน้าทาฑิมของพวกเรา! ”
เสียงดังหนวกหูจริงไอเจ้าพวกยักษ์สมองกล้าม
“อย่างงั้นหรอกหรือ พวกเราถูกหมอกขนาดใหญ่ปกคลุม แล้วพอรู้ตัวอีกที ก็มาอยู่ที่นี่กันแล้วสินะ? ”
“ใช่ครับหัวหน้าทาฑิม ส่วนมังกร No.1 No.2 No.3 No.4 ทั้งสี่ตัวของพวกเรา พวกเราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกมันหายไปไหนนะครับ”
แถมยังเข้าใจสถานการณ์ได้ไวปานลิงวอกอีกด้วย
ตกลงเจ้าพวกนี้มันโง่หรือฉลาดกันแน่เนี่ย?
“ว่ายังไงนะ! แบบนี้คงทนรอเฉย ๆ ไม่ได้แล้ว! พวกแกจงออกตามหาพวกมันเดียวนี้! ถึงจะเป็นมังกร แต่ก็คือหนึ่งในพรรคพวกของพวกเรา ข้าจะไม่ปล่อยพรรคพวกแม้แต่คนเดียวทิ้งเอาไว้ข้างหลังเป็นอันขาด! ”
“ครับหัวหน้า! ”
เจ้าพวกยักษ์กำลังส่งเสียงคุยดังลั่น ก่อนจะเริ่มกระจายตัวออกไปตามหามังกรของตัวเอง
พวกเขาวิ่งไปในหมู่บ้านบรรยากาศวังเวงที่มีเพียงแต่แสงไฟบางตาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด แล้วเริ่มตั้งคำถามกับชาวบ้านที่กำลังเดินไปมาอย่างไร้จุดหมาย
เออ… เจ้าพวกนี้มันไม่มีความหวาดกลัวต่อบรรยากาศที่ชวนขนหัวลุกนี้กันบ้างเลยเรอะ?
คงต้องบอกว่าเป็นข้อดีของพวกสมองกล้ามละนะ
“พวกคุณเห็นมังกรเกล็ดน้ำตาลบ้างไหมครับ! ”
“—”
“พวกคุณพอจะทราบไหมครับว่าที่นี่คือที่ไหนครับ! ”
“—”
“นี่! มีใครพอจะให้คำตอบพวกเราได้บ้างครับ! มีใครเห็นมังกรหลงทางมาแถวนี้บัางไหมครับ! ”
“—”
“อะไรของชาวบ้านพวกนี้กันวะ! ถามอะไร เงียบเป็นเป่าสากกันทุกคนเลยเฮ้ย! ”
แต่ทว่าไม่มีชาวบ้านคนใด ที่ให้คำตอบแก่พวกเขาได้เลยสักคนเดียว
มันแหง่อยู่แล้ว
เพราะไม่มีใครเลยสักคน ที่มี [วิญญาณ] ประทับอยู่ในร่างกายเนื้อตรงนั้น
เจ้าพวกนั้นมันเป็นได้แค่หุ่นยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นจากเลือดเนื้อนั่นละ
“ไปกันเถอะ”
เราเลิกให้ความสนใจเจ้าพวกยักษ์ แล้วพาสหายทั้งสองคนออกสำรวจ
“แล้วเจ้าพวกโง่ตรงนี้? ”
“ปล่อยเอาไว้ตรงนี้แหละแมรี่โกลด์ พาไปด้วยมีแต่จะตาย—”
*หวอออออ———————–! *
ตอนนั้นเองที่มีเสียงหวูดเตือนภัยดังลั่น
[นำตัวเจ้าพวกหน้าใหม่มาให้กับฉัน!]
พร้อมกับที่เกิดเสียงเล็กแหลมของเด็กผู้หญิงดังขึ้นไปทั่วหมอกที่ปกคลุมไปทั่วหมู่บ้านแห่งนี้
MANGA DISCUSSION