ภายในจิตสำนึก…
ภายในห้วงเวลาที่กว้างใหญ่ดุจเป็นสายน้ำ…
ภายในนั้น ฉันได้พบกับเขาอีกครั้ง…
“พะ— ไพไรต์!”
ฉันได้พบกับชายที่ตัวเองรักมากที่สุด
ที่นี่เป็นความจริง หรือความฝัน— ฉันไม่รู้
แต่ที่ฉันรู้อย่างหนึ่ง คือชายตรงหน้าไม่ใช่ความฝัน
ฉันสัมผัสและรู้สึกได้
เขาคือไพไรต์ ผู้ชายที่ฉันรักมากที่สุด
“ไม่ได้พบกันนานเลยนะโนอาร์…”
“ไพไรต์! ฉันนะ—”
“ยังเร็วไป… มันยังไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาโลกฝั่งนี้”
“เดียว— หมายความว่ายังไง? ”
“ผมคือคนตาย และคุณคือคนที่ยังมีชีวิต”
“ไม่! ไพไรต์! ฉันยังไม่อยากจะ—”
“เธอต้องกลับไป…”
ไม่เอา
ไม่อยากแยกจากเขาอีกแล้ว
ฉันนะ— ฉัน—
“ไพไรต์… นาย… เกลียดฉัน… ไม่อยากจะอยู่ด้วยกัน… ถึงขนาดนั้นเลยหรือ…”
“เข้าใจผิดแล้ว… นี่อย่าบอกนะว่า… หลังจากวันนั้นที่ผมตาย… โนอาร์… เธอคิดแบบนั้นมาตลอดเลย? ”
“ก็คุณไม่ยอมที่จะเลือกอยู่กับฉันต่อ…”
เงาของไพไรต์เคลื่อนเข้ามาหาฉัน
ถึงจะไม่มีมือและร่างกาย แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเขากำลังสัมผัสตัวฉันอย่างอ่อนโยน
“ไม่เลย… ผมรักคุณ รักมาก… มีความสุขมาก… ไม่เคยมีวันไหน ที่ไม่ได้มีความสุข…”
“แล้วทำไม…”
“ความตาย คือชะตาที่ไม่อาจเลี่ยง… มันถึงเวลาของผม… แต่ไม่ถึงเวลาของคุณ… คุณยังมีหน้าที่ที่ต้องทำในโลกนั้นอยู่… จนกว่าจะถึงวันที่คุณสามารถตัดใจละทิ้งทางโลกนั้นได้… ผมจะรอ… รอที่โลกฝั่งนี้ตลอดไป… เพราะงั้นสักวัน… พวกเรา—”
*จุมพิตที่ปากอย่างอ่อนโยน*
“-พวกเราจะได้เจอกันอีกอย่างแน่นอน”
***
“ (โนอาร์! โนอาร์!!) ”
“ (อึ๊ก—) ”
“ (โนอาร์! เธอ— เธอกลับมาแล้ว!) ”
“ (เสียงนี้— ตัวฉันอีกคน? นี่มัน… เกิดอะไรกันขึ้น?) ”
ฉันกำลังรู้สึกถึงบรรยากาศที่คุ้นเคย
ความรู้สึกของการล่องลอยอยู่ในความรู้สึกที่อบอุ่นและปลอดภัย
ไม่ใช่ความรู้สึกที่ตกอยู่ใต้ความกดดันอันร้อนระอุ คล้ายกับถูกน้ำร้อนลวก แล้วถูกแรงอัดบางอย่างมาบดอัดเอาไว้
ฉันเริ่มรับรู้สึกถึงการเชื่อมต่อประสาท
เริ่มมองเห็นโลกผ่านดวงตา
ได้กลิ่นผ่านทางจมูก
ได้สัมผัสความหนาวผ่านทางผิวหนัง
ฉันได้กลับมาแล้ว
กลับมาสู่ร่างกายของตัวเองในอีกครั้ง
***
อืม~ อืม— เรื่องทุกอย่างกำลังจบลงได้ด้วยดี~
โนอาร์ได้คืนร่างเดิม ไม่มีคนบาดเจ็บล้มตาย (?) ทุกอย่างถือว่า Happy End~
“แม~รี่~ โกลด์~ จ๊ะ~♥”
หรือว่าอาจจะไม่ได้จบสวยเท่าไหรนัก…
ผมหันกลับไปมองสหายไก่เหลืองที่กำลังเอามือแตะลงบนบ่าของผมด้วยรอยยิ้ม
มันเป็นรอยยิ้มที่ชวนทำให้ต้องมีเหงือกาฬไหลรินลงมาเป็นสายเลยทีเดียว~
อ๊า… สงสัยว่าอีกสักพักคงได้ถูกพาตัวไปหาท่านยมแน่ ๆ
มันจบแล้ว ชีวิตของผมมันคงจบลงแต่เพียงเท่านี้—
“ยัยบ้า— อย่าทำให้เป็นห่วงมากนักจะได้ไหม? มีอะไรก็มาพูดคุยปรึกษากันให้ดีก่อนจะก่อเรื่องวุ่นวายเองสิยะ! โง่แล้วยังจะทำตัวฉลาดอีกนะเธอเนี่ย!”
ถูกกอด?
ผมกำลังถูกเธอกอดเอาไว้
ไม่ใช่แค่เอโซ แต่ลาพิสเองก็ยังเข้ามากอดผมเอาไว้จากทางซ้ายด้วยเช่นกัน
“เราพอจะเดาได้แล้วว่าเธอไปเจออะไรมาบ้าง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องพูดอะไรอีก เดียวทางนี้จะหาทางช่วยเธอจากการถูกลงโทษให้เอง มีคิดเอาไว้แล้วละ ว่าจะต้องทำยังไงอยู่”
“เอโซ… ลาพิส… พวกเธอ…”
ฮึก…นึกว่าจะถูกพวกเธอเกลียดไปแล้วเสียอีก—
“ผมขอโทษ…”
เอโซ… ลาพิส… ผม… มีความสุขจริง ๆ ที่ได้เป็น [เพื่อน] กับพวกเธอมาตลอด 1,000 ปี ที่ผ่านมานี้
***
สามสาวนักบวชชื่อดังกำลังล้อมวงกอดกันอยู่บนลานหน้ารูปปั้นเทพทั้งสาม ท่ามกลางแสงอาทิตย์ หิมะ และละอองแสงวิญญาณที่กำลังลอยกลับขึ้นสู่ท้องฟ้า
มันเป็นภาพที่ดูสวยงาม เพราะไม่ต่างอะไรไปจากภาพวาดของเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ ที่มักแขวนเอาไว้ตามโบสถ์กับวิหาร
สื่อกับประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างไม่พลาดโอกาสทอง พากันหยิบกล้องขึ้นมากดถ่ายรูปรัว พร้อมกับเสียงอัพโหลดดัง *ติ๊ง ติ๊ง* ขึ้นรัวเป็นสายโดยไม่มีหยุดพัก
ทำไมท่านอาจารย์ถึงไปกอดกันสามคนต่อหน้าประชาชีแบบนั้นกันเจ้าค่ะ…
ข้าน้อยสะบัดหัวตัวเองเพื่อสลัดภาพทุ่งดอกลิลลี่ให้ออกไปจากสมอง แล้วเดินตรงไปทางโนอาร์ที่นั่งหลบมุมผู้คนอยู่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่
ที่ด้านหน้าของเธอ มีเจ้าหน้าที่ไซบอร์กหมีกับกอลิล่าสภาพโทรมไปทั้งตัว กำลังยืนแผ่ไอบอกบุญไม่รับใส่ผู้คนโดยรอบ จนทำให้ไม่มีใครอยากเข้ามาใกล้ในบริเวณนี้
ดูท่าจะยังไม่มีใครรู้ ว่าโนอาร์กำลังแอบหลบซ่อนอยู่ใต้พุ่มไม้ใหญ่
ซึ่งมันก็สะดวกดีสำหรับข้าน้อย เพราะไม่อยากให้ใครมาสังเกตุเห็นกันอยู่แล้ว
“ฮึ่ม! ตรงนี้ห้าม—”
“ปล่อยให้เธอเข้ามาได้”
““…รับทราบครับ””
ให้ผ่านเข้ามาแบบนี้ คงไม่ใช่ว่าวางกับดักเอาไว้หรอกนะเจ้าค่ะ?
ข้าน้อยเดินผ่านผู้คุ้มกันทั้งสองคน ผ่านพุ่มไม้ใหญ่ เพื่อเข้าไปหาโนอาร์
มนุษย์แมวที่น่ารังเกียจกำลังนั่งในท่าขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า
“ไม่จำเป็นต้องทำท่าระแวงขนาดนั้น เรื่องราวทั้งหมดมันจบลงแล้ว”
“… หมายความว่ายังไงเจ้าค่ะ? ”
“เด็ก ๆ ของเธอ รออยู่ที่โรงแรมตรงชานเมือง ที่อยู่ตามในบันทึกแผ่นนี้ ส่วนคดีความผิดที่แม่เธอได้ก่อเอาไว้ในการลักพาตัวเด็กพวกนั้นออกมาจากห้องทดลองของฉัน ฉันจะล้างมลทินนั้นให้ทั้งหมด ตกลงไหม? ”
“…”
ง่ายถึงขนาดนั้น?
จะบอกว่า “ฉันมอบทุกอย่างที่เธอต้องการคืนให้เธอแล้ว จบกันแค่นี้นะ” อย่างงั้นเรอะ?
ถ้ามันง่ายถึงขนาดนี้ แล้วความพยายามตลอดมา ทั้งของฉัน กับคุณแม่ของฉัน มันคืออะไรกันละ?
เป็นแค่ตัวตลกที่เต้นอยู่บนฝ่ามือของแกเท่านั้นเรอะ?
“แก—!”
“แหม่ ๆ ถ้าอยากจะตบกันตรงนี้ ยังไงช่วยคิดให้ดีก่อนลงมือทำนะจ๊ะ~”
“อึ๊ก…!”
ข้าน้อยไม่ได้ลำพองใจในฝีมือของตัวเองมากถึงขนาดที่คิดว่าจะสามารถเอาชนะสตรีแมวคนนี้โดยตรงได้
แถมสถานการณ์ในเวลานี้ คือกำลังอยู่ท่ามกลางฝูงชนอีกด้วย
ช่างเจ้าเล่ห์นัก…
ข้าน้อยหันไปมองโนอาร์อีกครั้ง
แววตาของโนอาร์ไม่เหมือนเดิมเหมือนกับที่เห็นบนเวที หรือต้องบอกว่าดวงตาของเธอได้กลับเป็นไปแววตาที่เคยเห็นเมื่อครั้งเธอมาเยี่ยมที่วิหาร
มันคือแววตาของนักล่าที่ดูดุร้าย จนทำให้รู้สึกอยากเบนหน้าตัวเองหนีไปให้ไกล
“ ฉันไม่คิดจะขอโทษ หรือต้องการให้เธอยกโทษ รู้ด้วยว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันเลวร้าย แต่ไม่คิดว่ามันคือสิ่งที่ผิด เพราะฉันเองก็มีเป้าหมายของฉันที่ไม่อาจยอมให้ใครมาหยุดได้อยู่ เธอเป็นคนฉลาด ดังนั้น ฉันคงไม่ต้องพูดไปมากกว่านี้แล้วใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงยอมปล่อยเด็กพวกนั้นให้กลับไปหาเธออีกครั้งหนึ่ง? ”
พูดง่าย ๆ คือจะบอกว่าตัวเองได้บรรลุความต้องการของตัวเองแล้ว เด็กไซบอร์กที่แกเคยทำการทดลองสร้างเอาไว้เลยไม่มีความจำเป็นอีก?
หรือในอีกแง่หนึ่ง คือมันเห็นข้าน้อย ท่านแม่ กับเด็กพวกนั้นเป็นเพียงแค่หนูทดลองเท่านั้นหรือเจ้าค่ะ?
ยิ่งได้ฟัง ก็ยิ่งอยากเอามือตบหน้ามันให้หัวหลุดออกมาจากบ่า
โนอาร์ แกมัน—! ช่างเลวบริสุทธิ์นัก
“…บอกได้ไหมว่าหลังจากนี้แกจะไปทำอะไรต่อเจ้าค่ะ? ”
ข้าน้อยอยากยืนยันเป็นครั้งสุดท้าย
เพราะยังมีความเป็นไปได้ที่การปล่อยเด็กพวกนั้นออกมา จะเป็นหนึ่งในการทดลองของมันเช่นกัน
โนอาร์ไม่ตอบ
เธอนิ่งเงียบ ก่อนจะเริ่มยิ้มออกมา
เป็นรอยยิ้มที่— ชวนให้รู้สึกขนลุกไปทั่วร่างกาย
“นั่นสินะ— เป้าหมายถัดไปของฉัน คือการเตรียมตัวเพื่อไปสู่อีกโลกหนึ่งละมั้ง? หุ หุ หุ~”
***เวลา 47:50 น.***
ช่วงเวลา 10 นาทีสุดท้าย ก่อนจะหมดปีประวัติศาสตร์ที่ 125
ถึงจะเกิดเรื่องมากมายจนพิธีกล่าวสุนทรพจน์พังไม่เป็นท่า แต่วันขึ้นปีใหม่ยังคงดำเนินต่อไป
เมืองได้ถูกฟื้นสภาพ ซ่อมแซมความเสียหายให้กลับมาก่อนวันสิ้นปี
ยานรบวาฬที่ถูกพัดปลิวไป ได้ถูกเก็บกู้ซากกลับมาจากริมขอรอบนอกชานเมือง
ไม่พบผู้เสียชีวิต มีแต่เพียงผู้บาดเจ็บสาหัส
ดังนั้นแล้ว ผู้คนจึงกลับออกมาเฉลิมฉลองอีกครั้ง เพราะความปิติ ที่ไร้ผู้คนสูญหายหรือล้มตายจาก
ดื่มให้กับ—
“แด่นักบวชทั้งสามแห่งวิหารเทพ!”
“แด่ท่านราชินีแวมไพร์!”
“แด่ท่านเทพเจ้าโนอาร์!”
“แด่แม่สาวกระต่ายสีดำลึกลับสุดเซ็กซี่ผู้มีร่างกายเย้ายวนใจ!”
“ขอเฉลิมฉลองให้กับฮีโร่ผู้ปกป้องเมืองของพวกเรา! ขบวนการ 5 สี ที่มี 6 คน [เพาเวอร์-โซล เรลเจอร์] !”
—ดื่มให้กับฮีโร่ของพวกเขา
ขบวนการ 5 สี ที่มี 6 คน [เพาเวอร์-โซล เรลเจอร์] … นามนี้ ไม่รู้ว่าได้แต่ใดมา
ที่พวกเขารู้ คือมีคนไปได้ยินเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เผ่าคนแคระผมสีเงิน ตะโกนเรียกชื่อนั้นออกมาช่วงท่ามกลางความโกลาหล
พวกเขาไม่รู้ว่าใครคือเด็กสาวผมสีเงินคนนั้น แต่เพราะเป็นชื่อที่เรียบง่ายและติดหู เลยถูกนำมาเรียกกันต่อปากต่อปาก จนกลายเป็นที่มาของชื่อกลุ่มของวีรสตรีทั้ง 6 คน ผู้ปกป้องเมืองคริสตัล เมืองแห่งตำนานก่อกำเนิดชีวิตของโลกใบนี้
นามของวีรสตรีทั้งหก ได้กลายเป็นเรื่องเล่าคู่กับมื้ออาหารฉลองอันดียิ่งของชาวเมืองไปแล้ว
“พวกเจ้าทุกคนจงฟัง! นักบวชทั้งสามแห่งศาสนาเทพทั้งสาม คือบุคคลผู้ที่ออกหน้าปกป้องเมืองนี้เอาไว้! พวกเธอคือลูกพี่หญิงของพวกเรา กลุ่มแก๊ง [ภูติสีชาด] ! พวกเราในฐานะลูกน้องของลูกพี่หญิง จะต้องไม่ทำให้ชื่อนี้ต้องอับอายเป็นอันขาด!”
“ครับหัวหน้า ชี!”
“ดังนั้น จงมากล่าวขานกันพร้อมกับฉัน! เอยนามและช่วยเผยแพร่ความยิ่งใหญ่ของลูกพี่หญิง ให้โด่งดังกระบือลือไกลไปทั่วทั้งสิบทิศ!”
““โอ๊สสสสส!!””
แม้แต่ในมุมหนึ่งของเมือง ก็ยังมีชาวแก๊งออกมาสวมชุดแก๊งซิ่ง พร้อมถือป้ายเขียนมือ กล่าวขานถึงความยิ่งใหญ่ของวีรสตรีของพวกเธอเป็นบนเพลงขับขานในสไตล์ที่น่าจดจำอย่างไม่รู้ลืม
~โอ้เหล่านักบวชทั้งสามแห่งวิหารเทพ~
~ผู้คนล้วนต่างขับขานนามของเธอ~
~พวกเธอนั้นทั้งแกร่ง ฉลาด สง่า เปี่ยมด้วยความเมตตา~
~ช่วยกอบกู้ เข้าต่อสู้สัตว์ปีศาจอย่างหาญกล้า ด้วยความเก่งกาจยิ่งกว่าตำนานใด ๆ ~
~นอกจากเก่งแล้ว ยังสวยสง่า จนแม้แต่เทพีใด ๆ ก็มิอาจเทียบเทียมพวกเธอทั้งสามได้~
~จงจดจำ จงเล่าขานสืบทอดต่อให้ถึงรุ่นหลาน~
~ถึงนามของวีรสตรีทั้งสาม ผู้กอบกู้เมืองแห่งนี้เอย~
ถึงจะบทกวีจะฟังไม่ได้เรื่อง แต่มันกลับแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของกลุ่มผู้ที่พยายามขับร้องมันออกมา
เหล่าประชาชนที่เข้ามาล้อมชุมนุมมองดู ล้วนต่างเริ่มปรบมือให้กับแก๊งภูติสีชาดด้วยรอยยิ้มปิติ
ทุกคนล้วนต่างกำลังแสดงความยินดี
ทุกคนล้วนต่างมีความสุข
ใยเล่าต้องแสดงทีท่ารังเกียจ หรือดูถูกความพยายามของผู้คนที่กำลังแสดงออกเพื่อสังคมเล่า?
***เวลา 47:55 น.***
แม้แต่อีกมุมหนึ่งของเมืองที่ห่างไกลออกไปแถวชานเมือง ที่แห่งนี้เองก็มีกลุ่มคนที่กำลังพบกับความสุขกับความหวังของตัวเองเช่นกัน
ทัวร์มาลีเนต ควอตซ์ กำลังได้พบกับเหล่าเด็กไซบอร์กทั้ง 49 ชีวิต ของเธออีกครั้ง
“พี่สาวควอตซ์ค่ะ!”
“ทุกคน! ปลอกภัยดีไหม!? ”
“ปลอดภัย? พวกเราปลอดภัยกันดีค่ะ มีคนใจดีคอยให้อาหารอร่อย ๆ พวกเราทุกมื้อเลยละ! ถึงจะน่ากลัวตอนพาพวกเราไปเข้าแคปซูลแปลก ๆ แต่พอได้ออกมาจากแคปซูล กลายเป็นว่ารู้สึกเหมือนกับได้เกิดใหม่เลยค่ะ! ทั้งสมองกล ทั้งร่างกายไซบอร์กของพวกเรา มันกลับมามีสภาพที่ดีมากเลยค่ะพี่สาว!”
โนอาร์ ไม่ได้ตั้งใจที่จะรักษาเด็กไซบอร์ก
ที่เธอทำ มีเพียงแค่เก็บเกี่ยวข้อมูลทดลองของเธอที่ปล่อยออกไป เพื่อดูพัฒนาการณ์ทางสมองกลเท่านั้น
เธอเอาตัวเด็กกลับมา เพื่อศึกษาสมองกล แล้วทดลองพัฒนาซ้ำ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่สมบูรณ์มากที่สุด
มันคือความโหดร้ายที่เห็นเด็กเล็กเป็นแค่หนูทดลอง
แต่ทว่า— เด็ก ๆ เหล่านี้ไม่ได้รู้ถึงความจริงในเรื่องนั้นแม้แต่น้อย
กระต่ายสาวพูดไม่ออกเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ร่าเริงของพวกเด็ก ๆ
พวกเธอไม่รู้เลยหรือ ว่าตัวเองได้ถูกจับมาทดลอง?
ไม่รู้เลยหรือ ว่าผู้ใหญ่ใจดีที่เธอพูดถึง คือต้นเหตุที่จงจับพวกเธอมาดัดแปลงเป็นสิ่งมีชีวิตไซบอร์ก? ต้องทนทุกข์ทรมานกับชีวิตที่ไม่มีวันเติบโต หรือมีพัฒนาการณ์ได้อีก?
“พวกเธอ… ความจริงแล้ว—”
“มีอะไรอย่างงั้นหรือค่ะพี่สาวควอตซ์? ”
แม่สาวกระต่ายกำลังกลืนคำพูดของตัวเองลงคอกลับไป
ไม่— ข้าน้อยไม่สามารถบอกความจริงออกไปได้
การไม่รู้ความจริง อาจจะมีความสุขมากกว่า…
“—เปล่า ความจริงคือพี่สาวคนนี้จะมาพาพวกเธอไปฉลองปีใหม่กันละ! มาเถอะ! รีบออกไปรับชมงานปีใหม่ด้วยกัน!”
“ค่ะ!”
กระต่ายสาวยิ้มรับรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ของเหล่าไซบอร์กเด็กน้อย
เธอพาเด็กออกจากกระท่อมไม้ที่เป็นโรงแรมชานเมืองเก่าแก่มาตรงลานกว้างด้านนอก
เธอยืนมองฟ้าแห่งราตรีอยู่ใจกลางกลุ่มเด็ก รับฟังเสียงเพลงที่ลอยมาตามสายลม เฝ้ารอการนับเวลาถอยหลังสู่วันสิ้นปี—
***เวลา 47:58 น.***
ภายในห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่งในตัวเมือง
ชายนาม [แวนเจอร์] หรือในอีกชื่อหนึ่งว่า [บาร์-ธา-ซ่าร์] ผู้นำที่แท้จริงขององค์กรกินคน คาร์นิวอย กำลังดื่มด่ำอยู่กับไวท์หมักเลือดเพียงคนเดียว อยู่ภายในห้องอันมิดชิดของเขา
“หึ— สุดท้าย ไอพวกที่ส่งไปออกล่าเพื่อก่อความวุ่นวาย กลับกลายเป็นไม่มีใครกลับมาได้สักคน ข่าวก็ไม่มีลง สงสัยคงถูกเก็บไปหมดแล้วละมั้ง? ”
ถึงจะกำลังพูดถึงความสูญเสีย แต่น้ำเสียงของเขามิได้ฟังดูเศร้าเสียใจแม้แต่น้อย
เขายกแก้วไวท์สีแดงในมือขึ้นมาถือ เพื่อมองดูพระจันทร์สีชมพูที่กำลังส่องแสงลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาข้างใน
ภาพของพระจันทร์ทั้งสามดวงที่ส่องผ่านตัวแก้ว ได้ถูกย้อมให้เห็นเป็นพระจันทร์สีเลือดอันน่าสยอดสยอง
“สัตว์ประหลาดที่ไม่ใช่ของโลกนี้… นักบวชสามแสบแห่งวิหาร… กระต่ายขนสีดำ โนอาร์แห่งศาสนาโนอาร์ แล้วก็ ท่าน แวม แวม ชาร์สเซอร์ ราชินีของเผ่าแวมไพร์ อย่างงั้นหรือ? ”
เขาพูดกับตัวเองด้วยความสงสัย
“ท่านราชินี แวม แวม… กระผมนั้นจะไม่ยอมให้ชื่อเสียงของท่านต้องมาแปดเปื้อนโดยนักบวชขยะของวิหารเทพขยะอย่างเด็ดขาด”
เขารู้นิสัยของราชินี แวม แวม คนที่เขาจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งดี
เขารู้ดีว่าแวมไพร์สาวคนนั้น ความจริงแล้ว มีนิสัยที่ชอบใกล้ชิด อยากเล่นสนุกกับคนอื่นมากแค่ไหน
ยิ่งตอนนี้พวกชาวเมืองกำลังจับให้ทั้งหกคนเป็นกลุ่มก้วนเดียวกันไปแล้ว ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ราชินีของเขา จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับนักบวชขยะทั้งสามคนนั้นอีกครั้ง
“โลกใบนี้สมควรถูกปกครองโดยราชินี แวม แวม แต่เพียงผู้เดียว ไม่ใช่ของเทพเจ้าจอมชั่วร้าย นักบวชสามคนนั้น กับความเก่งกาจที่น่าเหลือเชื่อ… บางทีอาจจะมีความเกี่ยวข้องกันอยู่… ต้องเร่งให้อีกาดำสืบข้อมูลมามากกว่านี้”
อีกหนึ่งนาที จะสิ้นปีที่ 125
เขามองผ่านหน้าต่างออกไปด้านนอก
ตอนนี้ผู้คนเริ่มมารวมตัวกันเพื่อเตรียมทำ [ระบำตูด] รับสิ้นปี
[ระบำตูด] มันคือความเชื่อของชาวไดม่อน
เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อการล้อเลียนเทพเจ้าที่ปกครองอย่างโหดเหี้ยมในยุคก่อน
พวกเขาจะออกมาโชว์ครึ่งตูด ปิดเอาไว้แค่ส่วนเร้นลับ เข้าท้าลมหนาวของหิมะที่โปรยปราย แล้วหันตูดรอรับแสงแรกแห่งปีในทิศตะวันออก เต้นรับปีใหม่ไปจนกว่าตะวันจะขึ้นที่เส้นขอบฟ้า
ถึงจะดูน่าอาย แต่ก็เป็นพิธีบ้าบอเรียกเสียงหัวเราะที่สนุกสนาน ทุกคนเลยยินดีที่จะทำมันกันในที่สาธารณะอย่างเปิดเผย
จากมุมตรงห้องพักของเขา จะสามารถมองเห็นถนนที่กำลังเต็มไปด้วย [ตูด] จากทุกเผ่าพันธุ์ที่กำลังเปิดครึ่งส่วน
ช่างเป็นภาพที่อุจาดตายิ่งนักแล~
***ณ. เวลา 48:00 น.***
*ปุ้ง!*
เสียงพลุ
แสงไฟ
คลื่นตูดลานตาที่กำลังเต้นไล่เรียงเป็นเวฟสวยงามบนพื้นถนน
ปีใหม่ ปีที่ 126 ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
“แด่โลกอันวุนวาย ที่มอบให้กับเทพเจ้าผู้ชั่วร้ายยิ่ง”
MANGA DISCUSSION