[สวัสดี ขออนุญาตบุกรุกบ้านค่า~ / (ᗜˬᗜ) /]
“แม่รี่ พวกเรามาเยี่ยมวันท้ายปี มีกาแฟอร่อย ๆ มาฝากด้วยละ~ ว่าไง? หายหัวร้อนบ้างหรือยัง? พวกเราคิดถึงน้า~ วันนี้มาเปิดอกคุยกันเถอะนะ? น้า~ มีเรื่องอะไร ไม่ต้องเก็บเอาไว้คนเดียว บอกพวกเราได้เลย วันนี้ท่านยมคงไม่ว่างมาติดตามส่องดูพวกเราจากอีกโลกหรอก อีกอย่าง พื้นที่นี้ก็ถูกป้องกันเอาไว้อย่างดีแล้วด้วย~”
เราเปิดประตูขยะเพื่อเข้าไปในกระท่อมขยะ พร้อมกับส่งเสียงอ้อนอีกฝ่ายเต็มที่
“…”
เงียบ…
เงียบสนิทไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ
ไม่มีใครอยู่ซะงั้น?
นึกว่ายัยแมรี่จะอยู่ในกระท่อมขยะหลังนี้เสียอีก
“หายากนะ ที่เห็นคนดังมาสถานที่แบบนี้ ว่าไง? มาหาเพื่อนหรือค่ะ คุณนักบวชผู้โด่งดัง? ”
“ใคร? ”
“ฉัน [ชี] เป็นรองหัวหน้าของที่นี่ ยินดีที่ได้รู้จัก คุณลาพิส คุณเอโซ นักบวชตัวป่วนประจำวิหารผู้โด่งดัง”
กลายเป็นว่าคนที่มารอพวกเราอยู่ในกระท่อม กลับเป็นเผ่าปีศาจที่มีรูปร่างสูงใหญ่ และเต็มไปด้วยมวลกล้ามเนื้อแทน
ใบหน้ากับผิวกายของเธอนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ราวกับเป็นทหารที่ผ่านศึกสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน
แต่ยุคนี้มันไม่มีสงครามแล้ว ดังนั้นจึงน่าจะเป็นแผลจากการออกไปตบตีกับชาวบ้านมากกว่า
“รู้จักพวกเรา— ไม่สิ รู้จักกับยัยแมรี่ด้วยอย่างงั้นหรือ? ”
“นักบวชจอมแสบแห่งวิหารเทพทั้งสาม ทุกคนที่อยู่ในเมืองนี้ อย่างน้อยก็ต้องเคยได้ยินชื่อของพวกเธอมาไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว”
เธอว่าเช่นนั้นแล้วหยิบขวดเหล้าที่ติดตราประทับ [แม่โ**ง] ขึ้นมากระดกลงคอรวดเดียวจนหมด
แก้มและใบหน้าของเธอเริ่มกลายเป็นสีแดงคล้ำราวกับถูกทาทับด้วยสีที่ฉูดฉาด
“ฮ่า—! เหล้าของเผ่าชาวโลกนี่มันแรงเป็นบ้าเลยว่าไหม? แต่ก็ยังแรงสู้ของเผ่ายักษ์ไม่ได้อยู่ดีอะนะ”
“… พวกเรากำลังยุ่ง ขอตัวก่อนค่ะ”
พอมองดูจากปริมาณขวดเหล้าเปล่าที่ถูกวางทิ้งเอาไว้บนพื้นรอบ ๆ สงสัยว่ายัยคนนี้คงจะมาหาที่เงียบ ๆ นั่งดื่มอยู่คนเดียวแหง่
พูดกับคนเมาคงไม่น่าจะได้ความอะไรคืบหน้า
รีบออกไปตามหายัยแม่รี่ก่อนจะหมดปี—
“คนที่พวกเธอตามหาอยู่ได้ออกไปทำธุระข้างนอกตั้งนานแล้ว แต่ไปที่ไหน ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะลูกพี่หญิงไม่ได้บอกเอาไว้ ส่วนพวกเธอ ในฐานะที่เป็นคนรู้จักกับลูกพี่หญิง ฉันจะทำเป็นมองข้ามเรื่องที่บุกรุกเข้ามาโดยพลการให้”
สตรีปีศาจโยนขวดเหล้าที่ว่างเปล่าทิ้งลงพื้น แล้วหยิบขวดต่อไปขึ้นมากรอกปากต่อ
ฟังจากที่ผู้หญิงคนนี้พูด แสดงว่ายัยแมรี่ไม่อยู่ที่นี่
งั้นพวกเราก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องอยู่ที่นี่อีก
“ขอบคุณที่บอก งั้นพวกเราขอตัวก่อน”
“ไม่เป็นไร~ เอาไว้ถ้าเจอลูกพี่หญิง เดียวจะแจ้งให้ว่ามีคนมาหาเธอ~ เอิก~”
นี่เธอ… ดื่มเข้าไปตั้งขนาดนั้นจะไหวหรือเปล่าเนี่ย?
แต่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะต้องสนใจเสียหน่อย
ตอนนี้ต้องรีบออกไปตามหา—
*บรึ้ม!*
ณ ใจ กลางลานที่เหล่าคนโฉดกำลังฉลองรอบกองไฟท่ามกลางหิมะ มีเปลวไฟกองหนึ่งกำลุกโชนเป็นเสาสีแดงฉาน
เสาสีแดงฉาน ที่มิใช้ไฟแห่งการเฉลิมฉลอง หากแต่เป็นไฟอาฆาตร้ายที่พร้อมจะสังหารชีวิตผู้คนให้ดับดิ้น
“ไอภูติสีชาด ไอตัวป่วนประจำวิหาร! มึงอยู่ที่ไหน!! วันนี้ละ พวกข้าจะกลับมาล้างแค้น!! จะจับแกมาถลกหนังทำเนื้อตากแห้ง แล้วเอามากินทั้งเป็น!”
“อย่าคิดว่าวันนี้จะเหมือนวันก่อนเชียวนะเฟ้ย! เพราะวันนี้ คุณ บาร์-ธา-ซ่าร์ ได้เอาของดีมาให้พวกเราติดมืออย่างระเบิดสังหารภูติ เพื่อกลับมาล้างแค้นแกด้วย!”
บนท้องฟ้าที่ดวงตะวันกำลังขึ้นสูง มีกลุ่มเผ่าปีศาจกำลังกางปีกกว้างอยู่ฝูงหนึ่ง
น่าจะมีจำนวนราว 200 คน ได้
ร่างกายของพวกมันเต็มไปด้วยบาดแผล กับผิวหนังที่ดูเหมือนกับพึ่งถูกปะเย็บติดใหม่เข้าไปสด ๆ
สวมเสื้อผ้าสีดำกับติดเข็มกลัดหม้อต้มกระดูก… ไอพวกคาร์นิวอยนี่หว่า?
ฟังจากที่ตะโกนออกมาแล้ว สงสัยคงถูกยัยแม่รี่ทำอะไรสักอย่างเอาไว้ก่อนหน้านี้แหง่
แล้วพวกมันหลุดมาจากตัวร้ายหนังเกรดต่ำหรือยังไง? ถึงได้บอกอาวุธลับที่เตรียมมาให้อีกฝ่ายรู้กันเนี่ย?
“พวกแกอีกแล้วเรอะ!! ไอพวกไม่สำนึกในบุญคุญของลูกพี่หญิงที่ยอมปล่อย ไว้ชีวิตพวกแกเอาไว้!”
“หึ! แค้นไม่ชำระ พวกข้านอนไม่หลับหรอกว้อย! ถ้าพวกแกไม่อยากตาย ก็จงไปเรียกลูกพี่ของพวกแกออกมาซะ!”
“อย่างพวกแกไม่ต้องถึงมือลูกพี่หญิงหรอก! อีกอย่าง! อย่าคิดว่าวันนี้จะรอดกลับไปเชียว! เพราะวันนี้ไม่เหมือนวันก่อน ดูซะว่าพวกเรามีกี่ตีน! ฝ่ายที่จะจมดินคือพวกแกต่างหากว้อย!!”
“คนเยอะแค่ไหน อาหารก็เป็นได้แค่อาหารวันยังค่ำละวะ”
“ว่ายังไงนะแก!”
ผู้ชายที่เป็นเผ่าลิซาร์ดแมนเกล็ดสีเขียวกำลังตะโกนแข่งกับอีกฝ่ายที่มารุกราน
ดูท่าจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายในเร็ว ๆ นี้…
รีบหนีออกไปก่อนที่จะถูก—
“ท่านครับ! ดูที่กระท่อมขยะตรงนั้น—! ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นนักบวชเอโซกับนักบวชลาพิสแห่งสามแสบผู้โด่งดัง ที่เป็นเพื่อนของยัยภูติตัวแสบครับ!”
“หืม? ไม่จำผิดตัวแน่นนะ? ดีเลย! ในเมื่อตัวการไม่ยอมออกมา งั้นก็เอาความแค้นไปลงกับเพื่อนของมันแทนแล้วกัน!”
พวกเผ่าปีศาจกำลังพากันหันลงมาจ้องที่พวกเราเป็นสายตาเดียวกัน
อ่าว …?
อยู่ ๆ ก็กลายเป็นที่รองรับความแค้นแทนยัยบ้านั่นไปหน้าตาเฉยเลยเว้ยเฮ้ย?
***ในเวลาเดียวกัน***
เวลา 15:30 น.
ณ ลานกว้างหน้าอนุสรณ์สถานวีรบุรุษทั้งห้า
มันคือลานแห่งประวัติศาสตร์ ที่ว่ากันว่าเป็นสถานที่สำคัญ แห่งการจุติและแตกดับของยุคแห่งพระเจ้า
ที่ใจกลางลาน มีรูปปั้นของวีรบุรุษเผ่าทั้งห้า ผู้ปลดปล่อยโลกจากการปกครองของเทพเจ้า สร้างประดิษฐ์สถานอย่างโดดเด่นเป็นสง่า
มีลานเอกประสงค์ทรงกลมขนาดใหญ่ล้อมรูปปั้น พร้อมกับมีสวนพืชพรรณ กับลานน้ำพุอันสวนงาม ปลูกประดับอย่างเป็นระเบียบเป็นรั้วกำแพง
ที่ด้านนอกสุดของลาน คือโรงแรมกับพิพิธภัณฑ์หินอ่อนอันสวยงาม
ไม่มีอาคารสูง ไม่มีถนนลอยฟ้า คอยมาบดบังวิสัยทัศน์ของลาน อีกทั้งมันยังถูกประดิษฐาน ณ ระดับดินที่สูงที่สุดของเมือง จนกลายเป็นสถานที่ฟ้ากว้าง มองเห็นโลกได้กว้างไกลจนถึงขอบเขตเมือง และเส้นขอบฟ้าไกล
ช่างดูสงบนิ่ง และเป็นการเคารพต่อสถานที่ ที่รูปปั้นวีรบุรุษทั้งห้าได้ประดิษฐานเอาไว้
เลยออกไปไม่ไกลในทิศเหนือ ทิศด้านหลังของรูปปั้น จะมีส่วนเปิดโล่งกว้าง กับถนนที่ทอดยาวออกไป
มันคือถนนคนเดิน ที่ถูกขนาบด้วยถนนยานยนต์ซ้ายและขวา
ทอดยาวออกไปไกล มุ่งสู่วิหารแห่งเทพทั้งสาม อันยิ่งใหญ่สุดตระการตา
แผนงานปีใหม่เดิมนั้น เหล่าผู้นำจะมารวมตัวในวิหารแห่งนี้ แล้วใช้ถนนคนเดินโดยรอบเป็นลานจัดงาน
พิธีจะถูกจัดขึ้นบนระเบียงด้านหน้าของวิหารตลอดทั้งวัน ต่อหน้าผู้คนที่มารวมตัวจนแน่นขนัดเต็มถนนที่ทอดยาวไปไกลถึงลานวีรบุรุษ
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง การจัดงานในปีนี้จึงได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นที่ลานหน้าวีรบุรุษแทน
เวลานี้โนอาร์กับเหล่าผู้นำทวีป น่าจะเข้าไปอยู่ข้างในลานกันแล้ว เพื่อเตรียมกล่าวสุนทรพจน์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงกลางวัน
ส่วนน้องไซต์ กำลังไปรวมตัวกับพี่น้องโคลน พร้อมกับนักบวชคนอื่น ๆ ที่ตรงหน้าลาน เพื่อขับร้องบทเพลงด่าทอเทพทั้งสามของวิหาร ให้กับผู้คนที่กำลังมารวมตัวรอรับฟังงานกล่าวสุนทรพจน์ประจำปี
“ใกล้ถึงแล้ว”
ข้าน้อยบ่นอุบกับตัวเอง ในระหว่างที่กำลังวิ่งไปตามเงาของขอบถนนลอยฟ้ารอบนอกสุดของพื้นที่
ถนนลอยฟ้า ก็คือถนนลอยฟ้าตามชื่อของมัน
เป็นเส้นทางสัญจนของยานเหาะชนิดไม่มีล้อยาง วิ่งไปตามเส้นโลหะสนามพลังงานลอยอากาศ ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นเส้นนำทางยาวไปตลอดสองฝั่ง
แท่นเหยียบที่มีความกว้างเพียงหนึ่งข้อมือจากตัวรางปล่อยสนามพลังงานที่ว่า กำลังถูกข้าน้อยผู้นี้เหยียบย่ำไปตามความยาวของมันด้วยความเร็วสูง
ถึงจะรู้สึกรำคาญเพราะขนฟู ๆ ตามร่างกายถูกสนามไฟฟ้าสถิตคอยดูดขน แต่ก็ยังดีกว่าไปเดินบนพื้นที่ออกจะแตะตาผู้คน
ยานเหาะที่วิ่งด้วยความเร็วสูงไปตามการนำของสนามพลังงานของเส้นนำทางนะ ไม่มีใครทันสังเกตุเงาคนสวมชุดคลุมสีขาวตรงนี้หรอก
ข้าน้อยวิ่งมาถึงมุมโค้งรอบลานกว้างในทิศตะวันออก
ที่มุมตรงนี้จะมีต้นลูกโป่งจำนวนมากถูกปลูกเอาไว้
มันคือต้นพืชประหลาดที่มีใบไม้อัดแน่นไปด้วยแก๊สเบาประเภทต่าง ๆ จนทำให้ตัวมันเองลอยสูงเหนือพื้น โดยมีรากห้อยโยงลงมาในอากาศ จนดูเหมือนกับเป็นลูกโป่งที่มีสีเขียว
“ฮึบ!”
ข้าน้อยไม่รอช้า รีบห่อตัวจนเล็ก กระโดดตัดผ่านกระแสยานเหาะที่วิ่งตัดผ่านหน้า ไปสู่ต้นลูกโป่งที่ลอยเรียงรายตรงนั้น
เสียงสายลมวิ่งตัดผ่านข้างหู ความเย็นกรีดแทงแก้มและดวงตาจนแทบลืมไม่ขึ้น
สองมือไขว้อกเพื่อลดแรงต้านลม ก่อนจะกะจังหวะยื่นออกไปคว้ารากของต้นลูกโป่ง เพื่อห้อยโหนร่างกาย
สัมผัสได้ถึงน้ำหนักจากแรงโน้มถ่วงที่กดทับ และแรงต้านลอยจากมือที่กำลังจับยึดราก
พุ่งตัวเหวี่ยงไปตามแรงโมเมนตัม โหนตัวเองส่งจากต้นหนึ่งไปสู่อีกต้นหนึ่งอย่างลื่นไหลประดุจร่ายเริงระบำ
จนกระทั้งมาถึงสุดปลายทาง ปล่อยให้ร่างกายตัวเองถูกเหวี่ยงเป็นวิถีโค้งไปในอากาศ ลอยข้ามทางเดินกว้างกว่า 20 เมตร ที่อยู่ข้างล่าง
ราวว่า ณ เวลานั้นโลกรอบตัวเองกำลังเคลื่อนตัวช้าลง
ข้าน้อยกำลังใช้สัมผัสวิญญาณ เพื่อตรวจรับรู้ตำแหน่งของผู้คนที่กำลังเดินขวักไขว่
ถึงจะยังไม่สามารถแยกแยะในระดับเพศ ความสูง เผ่าพันธุ์ ได้อย่างคุณลาพิส แต่ระดับข้าน้อยในตอนนี้คือสามารถแยกแยะได้แล้ว ว่าใครมีจิตหวาดระแวง มีจิตมุ่งร้าย หรือมีจิตของนักสู้ที่ผิดจากคนทั่วไป
หลับตา แล้วมองโลกด้วยคลื่นวิญญาณ
ข้าน้อยกำลังมองเห็นเป็นโลกมิติที่ว่างเปล่า ตั้งอยู่บนพื้นสีขาวดำ
ภายในระยะรัศมี 30 เมตร ข้าน้อยกำลังมองเห็นทุกสิ่งในโลก กลายเป็นเส้นสายสีขาวที่กำลังก่อตัวเป็นโครงร่างชีวิต
ดวงวิญญาณ— ที่มีลักษณะของความหวาดระแวง มีอยู่ท่ามกลางฝูงชนทั่วไปแค่ 2 คน เท่านั้น?
โลกเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งด้วยความเร็วปกติ ในตอนที่ข้าน้อยหยุดใช้สัมผัสวิญญาณ
ข้าน้อยม้วนตัวเป็นก้อนกลม แล้วปล่อยให้ตัวเองพุ่งลงไปจมในกองพุ่มไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่อีกริมฝั่งของสวนลูกโป่ง
*พุบ—*
“หืม? เมื่อกี้เหมือนจะมีอะไรตกลงไปในพุ่มไม้ข้าง ๆ หรือเปล่าค่ะคุณแม่? ”
“ก็ไม่เห็นจะมีอะไรนี่ลูกรัก? คงจะเป็นหมาแมวละมั้ง? ”
“—? อ๊ะ! มีตุ๊กตามิโนทอร์อยู่ตรงนั้นด้วย!”
เกือบไป…
แม่ลูกเผ่าปีศาจคู่หนึ่งกำลังหันมามองทางจุดที่ข้าน้อยกำลังใช้เพื่อซ่อนตัวเอง
แต่โชคดีที่ความสนใจของพวกเธอถูกสิ่งอื่นดึงความสนใจไปเสียก่อน
“… ตัดผ่านสวนดอกไม้ สวนน้ำ ก็จะเข้าสู่ลานกว้างที่เป็นเต็นท์พำนักของพวกผู้นำทวีปแล้ว”
ข้าน้อยเริ่มวิ่งอ้อมไปตามพุ่มไม้ที่ขึ้นสูงโดยรอบ
นำน้ำหอมกลิ่นหญ้ามาพ่นใส่ตัว เพื่อป้องกันพวกยามจากเผ่าที่มีจมูกไว และดึงผ้าคลุมสีขาวมาปิดให้มิด เพื่อป้องกันการตรวจจับคลื่นความร้อนจากยามหุ่นยนต์ กับยามโกเลม
เปิดหูสองข้างให้กว้างที่สุด เพื่อฟังเสียงสนทนา และเสียงเดินเท้า
ตั้งสมาธิใช้สัมผัสวิญญาณ เพื่อแยกแยะยามกับคนปกติให้ออกจากกัน
ใช้หินที่เก็บได้ข้างทาง ขว้างปาดึงความสนใจของยามไปในจุดที่ไม่อาจผ่านไปได้
“ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้— จะง่ายเกินไปไหมเนี่ย? ”
เพียงแค่ 10 นาที ข้าน้อยก็สามารถอ้อมมาถึงส่วนลานกว้างที่ใจกลางของอนุสรณ์สถานได้สำเร็จ
สภาพตอนนี้คือกำลังซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่ถูกปลูกติดกับส่วนลานกว้าง
ถ้าเป็นเวลาปกติ ลานกว้างนี้จะเป็นลานหินกว้าง ๆ ที่มีรูปปั้นตั้งอยู่ใจกลางลาน และมีต้นไม้ใหญ่ปลูกล้อมลานอีกที
แต่เพราะจะถูกใช้เป็นเวทีจัดงานหลัก มันเลยถูกเนรมิตให้มีเวทีสูงตั้งเอาไว้ที่ด้านหน้าของรูปปั้น พร้อมกับจอทีวีลอยฟ้าขนาดยักษ์อยู่เหนือด้านบน หันออกทั้งแปดทิศ
ที่ด้านข้างของรูปปั้น จะเห็นรูปปั้นเทพทั้งสามสูง 50 เมตร ที่ถูกเอาผ้าคลุมปิดเอาไว้จนมิด มาวางตั้งข้างเอาไว้
รูปปั้นนี้ข้าน้อยรู้มาจากคุณเทเรซ่า ว่ามันจะเป็นทีเด็ดของปีนี้ คือเอามาระเบิดโชว์ให้ทุกคนเห็น
ถัดไปไม่ไกลจากเวที จะเป็นเต็นท์สนามที่วางเรียงราย สำหรับใช้รับรองแขก VIP ทั้งหลาย
มีการกั้นเป็นเขตแดนอย่างง่ายด้วยรั้วเชือก กับเอายามหน้าโฉดจำนวนมาก และหุ่นโกเลมหมีของเผ่าภูติมายืนตั้งแถวขวางทาง
โนอาร์ คงอยู่ข้างในนั้น—
“ว่าแต่การเฝ้ายามหละหลวมมาก หละหลวมจนน่าตกใจ… ”
ข้าน้อยรู้สึกว่าทุกอย่างมันง่ายเกินไป
ถ้าเป็นตามแผนการเดิมที่พวกเขาจะต้องไปจัดตรงวิหาร อย่าว่าแต่จะลอบเข้าไปในเขตที่พักเลย แค่จะเข้าไปข้างในส่วนลึกของวิหารก็ยังทำไม่ได้
เพราะข้าน้อยเคยแอบสำรวจเส้นทางในส่วนลึกของวิหารอยู่ทีหนึ่ง แล้วพบว่ามันมีมุมซ่อนตัวน้อยมาก แถมระบบป้องกันภัยยังเข้มงวดระดับต้องตีฝ่าเข้าไปตรง ๆ ถ้าหากว่าอยากจะบุกเข้าไป
ดังนั้น โอกาศลงมือจึงมีแค่ช่วงเดียว คือตอนที่โนอาร์ออกมานั่งร่วมพิธีบนระเบียงของวิหาร แล้วใช้วิธีบุกจากฝั่งด้านนอกอาคารแทน
แต่ถ้าเป็นตามสถานการณ์นั้น ข้าน้อยจะต้องเจอกับยามจำนวนมาก แล้วยังอาจเสี่ยงต่อการถูกตามจับในภายหลัง เพราะข้าน้อยต้องบุกเข้าไปจับตัวโนอาร์ในระหว่างงานพิธี ที่อยู่ท่ามกลางสายตาของนักข่าวจากทั้งโลก
พูดง่าย ๆ คือถ้าจัดที่วิหาร โอกาสทำสำเร็จของข้าน้อยจะมีต่ำมาก
เคยคิดอยากจะไปบุกโรงแรมที่นางพักอยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นการวางยามที่บ้าเลือดระดับแม้แต่มดก็ลอบเข้าไปไม่ได้ เลยทำให้ไม่อยากเสี่ยง
แต่พอสถานที่จัดถูกย้ายมาลานกลางแจ้งอย่างเร่งด่วน เลยทำให้การวางระบบความปลอดภัยมีช่องโหว่เยอะอย่างน่าตกใจ
ถ้าเป็นการระวังภัยระดับนี้ ไม่ต้องรอให้ถึงช่วงพิธีการหรอก เดียวข้าน้อยจะบุกเข้าไปล้วงคอโนอาร์ออกมาเดียวนี้เลยเจ้าค่ะ!
ว่าแต่การทำลายวิหารโดยบังเอิญของพวกท่านอาจารย์ ดันกลายเป็นมอบโอกาสให้กับข้าน้อยไปได้
ข้าน้อยนี่ช่างโชคดีจริง ๆ เจ้าค่ะ
“…”
หรือว่า… ท่านอาจารย์จะจงใจให้เป็นแบบนี้?
เพราะรู้ว่าถ้าปล่อยให้เป็นตามแผนเดิม ข้าน้อยจะต้องลำบาก เลยจงใจทำลายวิหาร เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนสถานที่จัดงานอย่างเร่งด่วน?
จะว่าไป— ช่วงนี้ก็มักเห็นท่านอาจารย์ไปป่วนส่งเสียงดัง ในช่วงที่ทุกคนประชุมวางแผนหาสถานที่ใหม่อยู่เป็นระยะด้วย จนทำให้ถูกวิหารแบนพวกท่านออกจากงานพิธีหลักไปเลย
ปากบอกไม่ช่วย แต่ทุกการกระทำนี่มันจงใจช่วยข้าน้อยชัด ๆ เลยเจ้าค่ะ
อาจารย์ท่านนี้ช่างซึนเดเระจริง ๆ เจ้าค่ะ
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”
ข้าน้อยพูดขอบคุณให้ท่านอาจารย์ ก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเตรียมบุก
โยนระเบิดเปลือกน้ำตาล ที่ข้างในบรรจุไปด้วยแมลงสาบนับร้อยตัว
ปาเข้าใส่ฝูงชนที่มายืนออแข่งจ้องตากับพวกยามหน้าโฉด เพื่อเตรียมรับฟังการเปิดงานในช่วงกลางวัน
แน่นอนว่าต้องปาใส่กลางดงเผ่ามนุษย์เป็นหลัก เพราะเป็นเผ่าที่กลัวเจ้าแมลงปีกสีดำชนิดนี้เป็นพิเศษ
“หืม—? ”
“นี่มันอะ—- กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด แมลงสาบบบบบบบบบบบบบบ!! แถมมาเป็นฝูงเลยว้อยยยยยยยยย!!!”
“ตรงนั้นเกิดอะไร— เชี่ย! แมลงสาบบบบบบบบบบ!!!”
“กรุณาอยู่ในความสงบ— อีเชี่ย! มีกี่ร้อยตัววะนั่น!! รีบไปตามคนมาจัดการเร็ว!”
ดีมากไอหนูปีเตอร์ทั้งหลาย
แผนได้ผล
ยามส่วนหนึ่งกำลังถูกแบนความสนใจไปที่ฝูงแมลงสาบ
ด้วยเสียงอึกทึกของฝูงชนกับความวุ่นวาย จะทำให้ไม่มีใครมาสนใจกระต่ายตัวน้อย ๆ อย่างข้าน้อย
สิ่งขวางกั้นเดียวที่เหลือ มีแค่เชือกบาง ๆ กับเสารั้วสูงหนึ่งเมตร และโกเลมโง่ ๆ ที่ใครก็รู้ว่ามีวิสัยทัศการมองที่แย่ต่อหน้าผ้าคลุมป้องกันการตรวจจับคลื่นความร้อน
ไม่มีโดรน ไม่มีกำแพงเลเซอร์ ไม่มีกับดักใด ๆ มาขวางกั้นข้าน้อย
“เหลือแค่หาเต็นท์ของโนอาร์เท่านั้น รออีกหน่อยนะ พวกเด็ก ๆ !”
ข้าน้อยกระซิบกับตัวเอง ก่อนที่ร่างกายจะหายไปกับสายลมหนาวที่พัดผ่าน
ท่ามกลางหิมะขาวที่โปรยปรายลงมาท่ามกลางความวุ่นวายเล็ก ๆ
ณ ที่แห่งนั้น ไม่มีใครได้ทันสังเกตุเลยแม้แต่น้อย ว่ามีกระต่ายสาวคนหนึ่งกำลังวิ่งผ่านแนวกั้นเชือกของพวกเขาไป—
MANGA DISCUSSION