***วันที่ 60 เอนมูว์ทัวร์ ปีที่ 125 ทวีป ออโรร่า ดาว ไดม่อน
วันสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วงที่แสนเศร้า
เวลา 24:00 นาฬิกา
เวลาเที่ยงตรงของวัน
เวลาที่เหมันต์ฤดูกำลังจะมาเยือนโลกใบนี้
“จากคันที่หนึ่ง เห็นทุ่งหญ้าสีแดงแล้วครับหัวหน้า! ”
“จากคันที่สอง เห็นหมอกแล้วครับหัวหน้า! ”
“จากคันที่สาม เตรียมอุปกรณ์และอาวุธพร้อมแล้วครับหัวหน้า! ”
“จากคันที่สี่ สามสาวเรียกร้องขอให้ตั้งแคมป์ย่างปลา กินมื้อเที่ยงกันก่อนครับหัวหน้า! ”
“ทำไมรายงานจากคันที่สี่มันฟังดูแปลก ๆ จังฟะ? เอาเถอะ พวกเราเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ทุกคน อนุญาตให้ตั้งค่ายพักผ่อนก่อนได้! ”
“โอ๊ววววว! ”
เสียงคำรามดังลั่นไปทั่วใต้ท้องฟ้าที่กำลังมีเมฆหิมะหนาก่อตัว
คณะกลุ่มเดินทาง ในที่สุดก็สามารถวิ่งพ้นจากเขตมหาสมุทรสีขาว เข้าสู่เขตทุ่งหญ้าสีแดงเลือด
จากจุดของพวกเขาห้างออกไปในระยะสายตามองเห็น คือแนวหมอกสีเทาที่ปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณของส่วนใจกลางทวีป
ที่แห่งนี้คือ [ดินแดนทุ่งหญ้าแดง]
ดินแดนที่อยู่ใจกลางทวีป เป้าหมายหลักในการเดินทางของพวกเขา
กลุ่มหนึ่งมาเพื่อหวังเงินรางวัล
กลุ่มหนึ่งมาเพื่อสืบสวน
กลุ่มหนึ่งมาเพื่อออกล่าตามหาวิญญาณหลงทาง
ทั้งสามกลุ่มที่บังเอิญได้มีโชคชะตามาร่วมเดินทางกัน ได้มาถึงที่หมายกันแล้ว
[หิวแล้วค่ะ o_u]
“ข้าวกลางวัน~”
“เพื่ออนาคตข้างหน้าอันไม่รู้จบสิ้น การเติมพลังงานคือสิ่งจำเป็น เจ้าพ่อบ้าน! จงรีบเตรียมอาหารสำหรับสุภาพสตรีจำนวนสามที่ให้กับพวกเราเดียวนี้! ”
“ครับ…”
ว่าแล้วเหล่ายักษ์กับพ่อบ้านจำเป็นจึงเริ่มลงมือเตรียมค่ายพัก
นำเตาย่างลอยอากาศแบบพกพาออกมาวางใจกลางอากาศ
ปูพรมและเครื่องใช้มาวางเรียงบนพื้นหญ้าสีแดงซึ่งสูงเพียงระดับฝ่าเท้า
เริ่มปรุงอาหาร โรยเกลือบนเนื้อสด ส่งกลิ่นหอมของอาหารลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณ
นำยานเหาะคันใหญ่ทั้งสี่คัน มาจอดเรียงล้อมเป็นวงกลม ทำเป็นแนวกำแพงปิดกั้นจากสัตว์ร้าย
ออน-เอ็ซท หันไปมองทาฑิมกับพรรคพวกของเขาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะละความสนใจไปเตรียมอาหารให้กับสามสาวที่กำลังนังรออาหารอยู่ข้างหลัง
นั่งรอชันหัวเข่าเหมือนลูกนกตัวน้อยผู้น่ารัก—
“เร็ว ๆ หน่อยสิยะ! ”
—โอเค ไม่น่ารักเลยสักนิด…
ออน-เอ็ซท ถอนหายใจเป็นรอบที่สองของวัน แล้วเริ่มลงมือจัดแจงอาหารอย่างช่ำชอง
เตรียมชาต้มในระหว่างที่รอย่างเนื้อให้สุก
ควบคุมไฟอย่างพอดีเหมาะเจาะ เพื่อรีดไขมันส่วนเกินออกมา เหลือแต่เพียงไขมันส่วนน้อยทิ้งเอาไว้ใต้ผิวอย่างพอเหมาะแก่เหล่าสตรีร่างบาง
โรยเกลือเสริมเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติอย่างเป็นสีสัน แล้วตบท้ายด้วยการนำหญ้าสีแดงที่ขึ้นรายรอบ มาบดขยี้เป็นผง เพิ่มรสขมแทรก เพื่อดึงความหวานที่อยู่ภายในเนื้อให้เด่นชัด
“เสร็จแล้วครับ”
เนื้อย่างธรรมชาติสด ๆ สามที่กำลังส่งกลิ่นหอมลอยแตะสมูก จนแม้แต่คนที่สัมผัสกลิ่นผิดเพี้ยนอย่างลาพิสยังต้องน้ำลายไหล
[รู้สึกได้เลยว่าอร่อยค่ะ :d]
“ว่าจะพูดตั้งนานแล้ว ว่าแต่นายนี่ทำอาหารเก่งไม่เลว ถ้าพัฒนาฝีมือด้านนี้ไม่หยุด รับรองเลยว่าตายไป ต้องได้เป็นเทพแห่งการทำอาหารแน่ ๆ ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมขอเก็บเอามาใช้งานเยี่ยงทาสคนเดียวนะ เพราะผมเป็นคนเจอเขาก่อน”
“พูดเล่นอะไรกันอยู่ครับนั่น…”
ช่างสงบสุข
ไม่มีวี่แววหรือเงาของสัตว์ร้ายใด ๆ นอกจากสายลมเย็นกับทุ่งหญ้าสีแดงสดเป็นฉากหลัง
“เงียบจนน่ากลัวเลยวุ้ย… ปกติมันควรต้องมีสัตว์สักสองสามชนิดปรากฏตัวให้เห็นแล้วบ้างสิ? ”
“คิดมากน่าเจ้าหน้าใหม่ ไม่มีสัตว์ร้ายรบกวนก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก ฮะ ฮะ ฮะ! ”
ทาฑิมหัวเราะอย่างอารมณ์ดีไปพร้อมกับคว้าเอาเนื้อติดมันติดกระดูกขนาดสองเมตรมายัดเข้าปากของตัวเอง
*คลื่น! *
ราวกับจะเป็นการขานรับความปราถนาถึงความสงบสุขของทาฑิม
วินาทีนั้นเอง ที่หมอกซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลมากกว่า 300 เมตร ได้เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นมา—
***
“เอาละสิ เพราะดันปากพล่อยพูดจาหาเรื่องเองแท้ ๆ เจ้ายักษ์โง่”
เรากำลังบ่นกับตัวเองไปพร้อมกับเคี้ยวเนื้อนุ่ม ๆ อยู่ในปาก
ว่าแต่เจ้านายตำรวจคนนี้ทำอาหารอร่อยเป็นบ้าเลยแฮะ
กำแพงหมอกสีเทากำลังเคลื่อนไหว
มันหมุนตัวเป็นวงก้นหอยในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา จนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่คล้ายกับน้ำวนที่ถูกดูดลงไปในห้วงลึกของนรก
ที่ใจกลางของหลุมลึกนั้น มีพายุงวงช้างกำลังยืดยาวออกมา
มันใหญ่ยิ่งกว่าขุนเขา
ใหญ่ยิ่งกว่าปลาวาฬสีขาวที่พวกเขาพึ่งได้เห็นกับตามาเมื่อวันก่อนหน้า
เป็นพายุงวงช้างที่มีขนาดใหญ่ จนสามารถกลืนกินท้องฟ้าให้โลกใบนี้มืดบอดกลายเป็นราตรีอันมืดมิด
*แกร๊ง–*
เสียงจานเหล็กหล่นกระทบก้อนหินบนพื้นดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดที่ไร้ผู้คนเคลื่อนไหว
แต่สำหรับเราคนนี้ที่เห็นสิ่งมีชีวิตวิญญาณในนรกจนชาชินแล้ว มันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่น่ากลัวอะไรเลยแม้แต่น้อยนิด
“ทะ— ทุกคนเตรียมพร้อมรับมือสัตว์ร้ายขนาดยักษ์! ”
เจ้ายักษ์หัวเพลิงส่งเสียงคำรามที่สั่นอย่างขลาดเขลาออกมา
“คะ— ครับผม! ”
ลูกน้องของพวกเขาล้วนต่างขานรับอย่างพร้อมเพรียง
รวมไปถึงเจ้าหมนุษย์หนุ่มเอง ยังออกตัววิ่งไปร่วมวงโดยไม่สนใจพวกเรา
รักกันจริงนะเจ้าพวกนี้
เห็นแบบนี้แล้วเริ่มรู้สึกอยากแกล้งขึ้นมาเลยแฮะ
“ตะ— ตัวใหญ่กว่าที่คิดเสียอีก! ไหนข้อมูลมันบอกว่าแค่ขนาดประมาณปลาวาฬขาวเองไม่ใช่เรอะ!? คุณหัวหน้าทาฑิมครับ ผมว่าพวกเราควรรีบหนีจะดีกว่านะครับ! ”
“มะ– ไม่! กะ—การหนีคือทางเลือกสุดท้าย ยังไงพวกเราก็ตั้งใจจะมาทำภารกิจสำรวจพื้นที่ใจกลางทวีปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว! อิ— อีกอย่าง ข้านะเตรียมแผนรับมือเอาไว้แล้วด้วย! ”
ถึงจะเสียงสั่น แต่เจ้ายักหัวเพลิงก็ตอบเจ้ามนุษย์หนุ่มอย่างมั่นใจ
“หัวหน้า อาวุธลับพร้อมแล้วครับ! ”
“เยี่ยม! ได้ระยะโจมตีเมื่อไหร ให้ยิงออกไปได้! ”
เราหันไปมองตามต้นเสียงที่ขานรับเจ้ายักษ์หัวเพลิง
ที่บนยานเหาะกระทิงเหล็กทั้งสี่คัน ตรงตำแหน่งด้านท้ายของรถซึ่งติดตั้งปืนยิงฉมวกยักษ์เอาไว้ มีบางอย่างกำลังถูกนำมาบรรจุบนแท่นฉมวกเหล็ก
สิ่งนั้นมีลักษณะคล้ายกับจรวดขีปนาวุธขนาดสี่เมตร
แต่เป็นขีปนาวุธที่ไม่มีส่วนขับดันเพื่อใช้ในการขับพุ่งส่งตัวเองสู่เป้าหมาย
อีกทั้งยังไม่มีส่วนผิวเกราะที่ควรปกปิด จนสามารถเห็นโครงสร้างจุดฉนวนระเบิดภายในได้อย่างเปิดเผยชัดเจน
ที่ใจกลางของตัวจุดฉนวนระเบิดนั้น มีตรารูปรังสีปรมาณูแปะติดเอาไว้อยู่หนึ่งแผ่น
ภาพแบบนี้ คงไม่ใช่ว่าสิ่งนั้นคือ—
“อย่าบอกน่าว่านั่นคือระเบิดนิวเคลียร์!?! นี่เล่นพกของแบบนั้นมาด้วยเรอะ!!! ”
“ถูกต้อง ข้าดูประวัติมาแล้ว ตลอด 40 ปี ที่ผ่านมาของภารกิจ ไม่เคยมีสักครั้งที่ใช้อาวุธหนักเลยนี่? นั่นละคือเหตุผลที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะภารกิจนี้ได้ยังไงละ”
“มันผิดกฎหมายหมายครับ (โว๊ย) ! คุณท่านหัวหน้า!!! ”
“ไม่ผิดหรอก มันก็แค่ [ฉมวกเหล็กที่บังเอิญติดพลุไฟก้อนโตเอาไว้] ก็เท่านั้นเอง~”
” จะเลี่ยงบาลีหรือเอาไปดัดแปลงเพื่อเลี่ยงบาลี แค่พกสารประกอบนิวเคลียร์มันก็ผิดกฎหมายเต็ม ๆ แล้ว! ”
” น่ารำคาญวะเจ้าหน้าใหม่ ถ้าไม่คิดช่วย ก็ไปดูเงียบ ๆ อยู่กับพวกสาว ๆ ไป๊”
มนุษย์หนุ่มถูกเจ้ายักษ์จับโยนออกมาเหมือนเป็นลูกบอลกลับมาทางพวกเราแทบจะในทันที
*งั่ม*
ส่วนพวกเรานั้น ยังคงทานอาหารแสนอร่อยต่ออย่างสบายใจ
ระห่างจากหมอกพายุงวงช้างกับพวกเรานั้น กำลังถูกร่นลงมาเหลือเพียง 200 เมตร
” เปิดม่านบาเรีย! ”
ที่แนวหน้า เหล่ายักษ์ต่างนำโล่ยาวของตัวเองไปวางเรียงปักเป็นแถวรอบค่าย
โล่แต่ละอันที่ปักลงดิน มีขายึดสมอเหล็กงอกออกจากส่วนล่างของโล่ ทิ่มแทงลงไปในผิวดิน พร้อมกับที่มีแสงสีเงินวิ่งตัดผ่าใจกลางโล่ แตกแยกออกเป็นสองส่วน ก่อนจะแผ่ม่านรังสีกระจายออกไปรอบตัว
จากโล่หนึ่งเชื่อมต่อกับอีกโล่หนึ่ง
เชื่อมต่อกันผ่านโล่นับสิบที่วางเรียงรอบค่าย จนกลายเป็นโดมทรงกลมขนาดใหญ่เข้าปกคลุมพวกเราเอาไว้
มีเพียงแค่ฝั่งด้านหน้าสุด ในทิศทางเดียวกับที่หมอกงวงช้างกำลังพุ่งเข้าใส่ ที่ยังไม่ถูกปักโล่ลงไปเพื่อเชื่อมม่านบาเรียให้เข้าหากัน
” ศัตรูเข้าสู่เป้าหมายระยะยิง! ”
ช่างใหญ่โต
ยิ่งเข้ามาใกล้ตรงหน้า เงาแห่งความมืดก็ยิงทอดตัวยาวลงมาปกคลุมพวกเราเอาไว้
ความรู้สึกของแมลงที่กำลังจะถูกบี้ทิ้ง คงให้ความรู้สึกประมาณนี้สินะ?
“ระยะ 150 เมตร! ”
“ยิงงง!!! ”
เกิดเสียงดีดคันรั้งอย่างรุนแรงมาจากทางฝั่งด้านหลัง
ฉมวกทั้งสี่ได้ถูกสับไกยิงออกไป
ฉมวกดัดแปลงที่มีสารจุดระเบิดนิวเคลียร์ทั้งสี่ลูกได้ถูกยิงออกไป
พร้อมกับที่แนวโล่ได้ถูกปักลงด้านหน้า เพื่อสร้างแนวบาเรียปกคลุมพวกเราเอาไว้อย่างสมบูรณ์
ฉมวกที่กำลังวิ่งตัดอากาศกำลังดังกึกก้อง
พุ่งตรงออกไปอย่างห้าวหาญอย่างไร้ความขลาดเขลา
บรรทุกนิวเคลียร์ขนาด 1 กิโลตันต่อหนึ่งดอก พร้อมจะเป่าเจ้าหมอกร้ายให้มลายสลายหายไป
ส่วนฝั่งเจ้าหมอกงวงช้าง ดูแล้วไม่มีทีท่าว่าจะหักเลี้ยวหลบหลีกหนี
มันยังคงตรงเข้าหาพวกเรา โดยไม่สนใจอาวุธมฤตยูที่พุ่งเข้าหา ราวกับเป็นสัตว์ที่ไร้สมอง
“เล่นมันเลยยยย!! ”
เหล่ายักษ์ต่างคำรามกึกก้องเสมือนหนึ่งได้ชัยชนะมาอยู่ในกำมือ
ฉมวกทั้งสี่วิ่งปะทะเป้าหมายอย่างแม่นยำในระยะห่างที่ 100 เมตร
วิ่งปะทะ แทงทะลุเข้าไปในหมอก
ทะลุเข้าไป
จมลงไป
จมหายจากไป
หายเข้าไปข้างใน
“…? ”
หายเข้าไป โดยไม่แม้แต่จะมีการปะทุระเบิดใด ๆ เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
ราวกับว่าเจ้าหมอกตรงหน้า มิได้มีตัวตนอยู่จริงบนโลกใบนี้
ก็แห่งละ
นั่นมันก็แค่หมอกธรรมที่เกิดจากการรวมตัวของไอน้ำเท่านั้น
เป็นสิ่งผิดธรรมชาติที่เกิดจากวิญญาณหลงสิงสู่
จะทำลายมัน ทีแต่ต้องเล่นงานที่วิญญาณซึ่งสิงสู่ต่างหาก
“ไอฉิบหาย! อนุญาตให้ใส่ตีนผีหนีโลด! ”
“พร้อมเผ่นตั้งแต่เกิดแล้วครับหัวหน้า! ”
เหล่ายักษ์พร้อมใจกันหันหลังหนี
ทิ้งโล่บาเรียราคาแพงที่อยู่ตรงหน้า แล้วถอนโล่ที่อยู่ฝั่งด้านหลังออก
กระโดดขึ้นบนหลังยานกระทิงเหล็ก พร้อมเรียกมังกรทั้งสี่ให้มาขึ้นนั่ง
บิดคันเร่ง เปิดบูสเตอร์ เปิดประทุนรอผู้โดยสาร พร้อมพุ่งทะยานวิ่งออกไปดั่งจรวด
*คลืนนนนน!! *
แต่ทว่าหมอกงวงช้างนั้นเร็วกว่า
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้บินทะยาน มันก็เข้าปะทะกับผิวม่านรังสีที่ถูกกางเอาไว้ก่อน
เกิดเสียงสายฟ้าฟาดดังกึกก้องไปทั่ว พร้อมกับที่เกิดประกายแสงไฟสุกสว่างส่องกระจาย
เพียงไม่ถึงหนึ่งวินาที ทั้งม่านรังสีกับโล่ขาว จักถูกสูบหายเข้าไปในวังวนหมอกในพริบตา
“ชิ! ส่วนพวกแกจงหนีออกไปกันซะ พาพวกสุภาพสตรีกลับไปที่เมืองให้ได้! ข้าจะถ่วงเวลามันให้เอง! ”
เจ้ายักษ์เหลิงว่าเช่นนั้น แล้วกระโดดขึ้นขี่มังกรเกล็ดน้ำตาลที่ตัวใหญ่ที่สุดไป
“ไปกันเลย [No. 1] ”
*กรรร!! *
ทั้งคู่ต่างส่งเสียงขานรับกันและกัน แล้วบินเข้าเผชิญหน้ากับหมอกงวงช้างที่ใหญ่กว่าถึงล้านเท่าตัว
[ดูท่าจะรับมือไม่ไหวแน่]
“ใช่ไม่ไหวหรอก”
” เหนื่อยเปล่าแท้ ๆ ”
” แล้วทำไมพวกเธอถึงยังนั่งกินข้าวต่อได้สบายใจเฉิบแบบนนี้กัน (วะ) ครับ!?! ”
*งั่ม—*
เราใช้ส้อมกับมีดบรรจงหั่นเนื้อบนจาน แล้วนำเข้าปากอย่างใจเย็น โดยไม่สนใจนายตำรวจหนุ่มที่กำลังโวยวายอยู่ข้างตัว
” โอ๊ววว!!! ฝากเล่าวีรกรรมของข้าให้ยายพรุนรู้ด้วย! อ๊ากกก!!! ”
” หัวหน้าาาาาาาา!!!! ”
ยังไม่ทันขาดคำ
ยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไร
เจ้ายักษ์ก็จมหายไปในหมอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พวกลูกน้องจองเหล่ายักษาต่างร้องห่มร้องไห้อย่างไม่น่าดู
อ๊า…
รู้สึกสะใจเป็นบ้า
ได้เห็นพวกสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำดิ้นรนเอาชีวิตรอดแบบนี้ ช่างสาแก่ใจยิ่งนัก
ว่าแต่แกล้งแค่นี้คงพอแล้วละมั้ง?
“ฝากจัดการที”
“ได้เลย~”
สหายเทพไร้ขาตอบรับเราด้วยรอยยิ้ม
เธอกางปีกสีแดงออกกว้างบินทะยานขึ้นท้องฟ้า แล้วเริ่มวาดมือทั้งสองไปในอากาศราวกับเป็นการเต้นรำถวายพระพร
“โอ๊ว— ข้าแด่เทพีแห่งความเศร้าหมอง”
“โอ๊ว— แด่ดวงวิญญาณที่ถูกทอดทิ้ง”
“จิตพญาบาท ความเหงา โดดเดี่ยวเดียวดาย”
“เราผู้นี้จักได้รับทราบถึงความปรารถนาอันว่างเปล่านั้น”
ขวดโหลที่ว่างเปล่าถูกนำออกมาวางบนมือของเธอ
” มาเถิด ให้เราได้เป็นผู้นำพาสู่แดนสุขาวดีด้วยเถิด”
ราวกับมีใครบางคนเอาเข็มแทงลงไปในใจกลางลูกโป่งสีเทา
พริบตาที่เทพไร้ขาเอามือลูบลงไปบนผิวของหมอกอย่างอ่อนโยน มันก็แตกกระจายกลายเป็นละอองไอน้ำไปในทันที
ท้องฟ้าได้ถูกคลีเปิดเห็นแสงตะวัน
ทุ่งหญ้าสีแดงถูกปูพรมลงบนแผ่นดิน
ร่างของเจ้ายักษ์หัวเพลิงกับมังกรของมันเผยปรากฏนอนแผ่หมดสติอยู่บนทุ่งหญ้าสีแดง
แน่นอนว่ายังไม่ตายหรอก
ความลึกลับที่ได้ปกคลุมดินแดนมานานนับ 40 ปี ได้สลายตัว และกลับคืนสู่สิ่งที่มันควรจะเป็นแล้ว
ท่ามกลางไอน้ำจำนวนมากที่ระเหยคืนสู่อากาศจากการสลายตัวของหมอก มีบางสิ่งที่คนธรรมตาไม่อาจมองเห็นปรากฏอยู่
มันคือ [ดวงวิญญาณ]
ดวงวิญญาณที่ไม่อาจกลับสู่มิติคนตายจำนวนมาก กำลังลอยไปมาอย่างอิสระอยู่ตรงหน้าพวกเรา
ตัวจริงของหมอกปีศาจ ก็คือวิญญาณชั้นต่ำของสัตว์ป่าที่ตายอย่างโดดเดี่ยว
พวกมันคงถูกล่าโดยที่ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก แล้วหลงวนเวียนในมิติคนเป็นอย่างค้างคาใจ
ยิ่งนานวัน ยิ่งสะสมมากขึ้น จนก่อให้เกิดกลายเป็นหมอกปีศาจที่คอยออกล่าสิ่งมีชีวิตมาร่วมฝูงกับพวกมัน
พอรวมนานวันเข้า มันเลยใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นหมอกที่ปกคลุมได้มากถึงครึ่งค่อนทวีปส่วนภาคกลางไป
ว่าแต่ปกติวิญญาณจะไม่มีทางมารวมตัวกันเอง จนมีจำนวนมากได้ถึงขนาดนี้หรอก
เพราะโลกคนเป็นกับโลกคนตายมันมี [ระบบ] และ [ธรรมชาติ] ในการคงสมดุลของทั้งสองโลกเอาไว้อยู่
แต่เอาเถอะ
คิดมากไปปวดสมองเปล่า
“มาเถิด”
เทพไร้ขายื่นขวดโหลที่ว่างเปล่าออกไปตรงหน้า
สายลมจักพัดพา
ตอนนั้นเองที่เกิดลมบ้าหมูพัดกรรโชก สูบเอาดวงวิญญาณทั้งหมดเข้าไปเก็บอยู่ในขวดโหลของเธอ
แน่นอนว่านอกจากพวกเราสามคน คงไม่มีใครสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้
ทุกคนจะเห็นเป็นว่าเทพไร้หน้าใช้พลังภูติทำอะไรสักอย่างกับหมอก ทำให้หมอกมันสลายหายไป
คิดว่าหลังจบงานนี้ เพื่อของฉันคงมีชื่อเสียงไปทั่วโลก
แล้วเงินก็จะไหลมาเทมา ไม่ต้องอยู่อย่างยากจนอีก
แถมคงมีงานแปลก ๆ ที่รัฐบาลแก้ไขกันไม่ได้ วิ่งเข้ามาหาพวกเราด้วย
เพราะแบบนี้ การที่บังเอิญมีเจ้าพวกโง่ยักษาอยู่ด้วย จึงเป็นประโยชน์กับพวกเราอย่างมาก
โชคดีจริง ๆ เลย ให้ดิ้นตายสิ
โฮ่~ โฮ่~ โฮ่~
การกักเก็บวิญญาณหลงที่ใจกลางทวีปเสร็จสิ้น—
[ใคร—? ใครกัน ที่มาทำลาย—]
—เสียงอะไรนั่น?
หลังสิ้นเสียงประหลาดที่ดังขึ้นมาอย่างฉับพลัน หมอกวิญญาณที่เคยถูกทำลาย กลับได้ผุดขึ้นมาเหนือที่ว่างตรงหน้าของพวกเราแทบจะในทันที
ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้ากำลังถูกกลืนหายเข้าไปในหมอกอีกครั้ง
ถูกกลืนหายเข้าไปหมอก รวมถึงพวกเราด้วย
MANGA DISCUSSION