บทที่ 0 จุดเริ่มต้นของเทพตกสวรรค์
ตอนที่ 1 เสมือนหนึ่งไม่มีใบหน้า
***วันที่ 30 เรตนิว ปีที่ 105 ทวีป คริสตัล ดาว ไดม่อน***
ท่ามกลางฤดูหนาวที่เต็มไปด้วยหิมะโปรยปราย
บนพื้นโลกสีขาวหน้าวิหารที่ก่อเรียงด้วยหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ กำลังมีเสียงร้องไห้ดังลั่น
เสียงที่ลั่นดังยามราตรีได้ปลุกผู้หลับนอนบนเตียงนุ่มฟูแสนอบอุ่น ให้ลุกขึ้นมาบ่นอุบ
ความหนาวที่กรีดแทงลงบนผิวซึ่งกำลังพ้นเหนือผ้าห่มที่ทรมานจิตใจ ทำให้รู้สึกเสมือนว่าเตียงนอนของเธอมีแรงดึงดูดอันน่าประหลาดแสนเย้ายวนที่มิยอมให้ลุกขึ้นออกไปจากเตียงนั้นได้
“——แง๊!! ”
แต่ทว่าเสียงร้องไห้ที่แว่วลอยมาตามลมนั้น ทำให้หญิงชราเผ่ามนุษย์จำยอมต้องลุกขึ้นจากเตียง
เธอสวมชุดคลุมกันหนาวที่มีสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหยิบเครื่องเงินที่มีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมด้านเท่าสองชิ้นกลับหัวซ้อนทับกัน ประกอบเส้นวงกลมติดทับด้านบนมาคล้องเอาไว้ที่แขน
เสียงย่ำเท้าอย่างไม่พอใจของสตรีผู้ชราภาพ ดังสะท้อนไปมาบนทางเดินที่ประดับด้วยเสาดอริกนับร้อย
เธอเดิน จนกระทั้งไปหยุดลงบนหน้าประตูไม้เก่าคร่ำครึที่ดูพร้อมจะพังลงมาทับได้ทันทีที่เปิดมันออก
“ตายจริง~ เด็กทารกสามคน? ใครนะ ช่างทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้ได้ลงคอกัน? ”
สิ่งที่รอเธออยู่นอกบานประตูไม้ คือร่างของทารกน้อยสามคน ที่มาจากสามเผ่าพันธุ์ที่แต่งต่างกัน
***20 ปีต่อมา***
วันที่ 55 เอนมูว์ทัวร์ ปีที่ 125 ทวีป ออโรร่า ดาว ไดม่อน
ฤดูใบไม้ร่วงที่แสนเศร้า และพระจันทร์ที่ส่องแสงสีแดงอมชมพู
แสงออโรร่าทอดตัวคลี่ม่านสีรุ้งฟาดผ่าน สร้างสีสันแต่งแต้ม เติมราตรีอันมืดมัวให้สดใส
ท่ามกลางราตรีสีรุ้ง ภายในเมืองของมนุษย์ยังคงครึกครื้นไปด้วยชีวิตของผู้คนที่ไม่ยอมหลับไหล
ผู้คนที่ไม่ยอมหลับไหลในยามราตรี ต่างกำลังต้องการหาที่พักเหนื่อยแล้วดื่มด่ำไปกับบรรยากาศค่ำคืนอันหนาวเหน็บ
ต้องการเหล้าเลิศรสให้ไหลผ่านริมฝีปากและลำคอ เพื่อเสริมสร้างความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วกาย
ต้องการอาหารแกล้มอันล้ำลึก เพื่อเติมเต็มพลังงานที่สูญหายไปจากการทำงานตรากตร่ำเหงื่อ
ย่านร้านรวงที่เปิดติดกันพร้อมส่องแสงแข่งขันชิงชัยเพียรหาลูกค้า ส่งสตรีโฉมงาม บุรุษใบหน้าคมคาย มายืนเพื่อส่งเสียงเรียกเหล่าบุรุษและสตรีผู้เหนื่อยกายามาสู่ร้านของตน
“ยินดีต้อนรับสู่ร้านเหล้า [ออโรร่า] ของดี ของขึ้นชื่อของทวีปออโรร่าที่มีอายุสืบทอดมาอย่างยาวนานนับ 100 ปี ของ [เอซ] กับ [ดิวซ์] สองพี่น้องผู้ล่วงลับ ผู้ให้กำเนิดทวีปนี้ค่ะ! ”
เสียงอ่อนนุ่มที่ชวนให้คนรู้สึกผ่อนคลายดังไปทั่วห้าช่วงตึก สองช่วงถนน
ผู้คนแห่งยามราตรีในเมืองนี้ ล้วนต่างไม่มีใครที่ไม่รู้จักร้านเหล้า [ออโรร่า] ที่ตั้งตามชื่อทวีป [ออโรร่า] อันยิ่งใหญ่ของเผ่ามนุษย์ ซึ่งถูกค้นพบเมื่อราว 100 ปีก่อนโดยสองนักบุกเบิกผู้ใหญ่ที่ลงบันทึกในประวัติศาสตร์
มันคือตัวเลือกแรกสำหรับพวกเขา ที่จะมาเยือนดื่มกินในราตรีของปลายฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเหน็บ
“งานบุกเบิกพื้นที่วันนี้หนักชิบหาย! “
“แกเป็นคนบอกเองว่าอยากวัดพละกำลังกับสัตว์ร้ายพวกนั้น เลยไม่ยอมใช้รถถังขับไล่ไม่ใช่เรอะ? “
“วะ ฮะ ฮะ ฮะ! พวกเผ่ายักษ์นี่บ้าดีแท้! เอ้า! มาดื่มฉลองให้กับงานวันนี้หน่อยเว้ยพวกเรา! “
“โอ๊วววว!!! “
เสียงคนงานเฮลั่นดังอื้ออึง
ทั่วทั้งร้านเหล้า [ออโรร่า] ที่รองรับได้ถึง 100 ที่นั่ง ต่างเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเหงื่อของแรงงานนักบุกเบิกที่สกปรกหยาบคาย
ถึงจะดูน่าเศร้าเพราะมีคนหยาบคายเหล่านี้นั่งเต็มร้าน จนไม่มีลูกค้าปกติกล้าแวะเวียนเยี่ยมชม แต่พวกเขาก็นับว่าเป็นหนึ่งในลูกค้ามือหนัก ที่ทำกำไรให้เป็นอย่างดี
กลิ่นไม้เชอร์รี่และกลิ่นเหล้าที่หมักโดยสูตรของเผ่ามนุษย์ ต่างเป็นที่ถูกต้องตาใจเหล่ายักษ์ จนเงินที่อาบเหงื่อหามา ถูกละลายหายไปพร้อมกับปริมาณของเหลวอันร้อนแรงที่ไหลผ่านลำคอ
“ฮะ ฮะ ฮะ! ถ้าพูดถึงคนที่พยายามมากที่สุด คงต้องยกให้กับลูกพี่ [ทาฑิม] นั่นละ! “
“แด่ลูกพี่ [ทาฑิม] ! ลูกหลานของวีรบุรุษ [บานา] กับวีรสตรี [แครอท] ลูกชายเพียงหนึ่งเดียวของผู้สืบสายเลือดวีรสตรีเผ่ายักษา [พรุน] ผู้โด่งดัง! “
ทั้งร้านต่างคำรามก้องราวกับพึ่งได้รับชัยชนะจากสงคราม
ที่ใจกลางร้าน บนโต๊ะไม้ตัวกลมขนาดใหญ่ที่สุด มีเผ่ายักษ์เพศชายผิวสีแดงเลือดหมูนั่งอยู่คนหนึ่ง
ดวงตาสีทองและมีผมสีส้มราวกับเป็นเปลวเพลิง
ผิวกายดูเป็นเงามัน คล้ายดั่งเป็นผิวเกราะเหล็กกล้า
ร่างกายของเขาสูงใหญ่จนแทบจะจรดเพดานร้านที่สูงถึงสี่เมตร
ใบหน้าของชายผู้นั้นกำลังแสยะยิ้มอย่างรื่นเริงใจ พร้อมกับยกถังไม้ขนาดหนึ่งเมตรที่บรรจุสารเหลวสีแดง ขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดอย่างภาคภูมิใจท่ามกลางเสียงเชียร์ของเหล่าคนงาน
“ดื่มให้แด่ท่าน [พรุน] ที่ให้กำเนิดวีรบุรุษผู้นี้! “
“ดื่มให้แด่นิสัยอันหยาบคายของท่าน [ทาฑิม] จนถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลของวีรบุรุษ! “
“เพราะมีนิสัยเลวร้ายจนตระกูลหลักรับไม่ได้ แม้แต่ท่านพรุนเองก็รับไม่ได้ เลยต้องระเห็ดมาทำงานอาบเหงื่อแบบพวกเรา! “
“ดื่มให้แด่—“
” อย่ามาตีเนียนหลอกด่าข้าแบบนี้สิวะไอพวกกระจอก!! “
” หัวหน้าโกรธแล้วว้อยยย!! “
” เพราะขี้โมโหอารมณ์ร้ายแบบนี้ไง ถึงถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลักนะหัวหน้า! “
” ค่าซ่อมร้านคราวก่อนยังผ่อนไม่หมดเลยนะหัวหน้า ถ้าพังข้าวของ เดียวก็ได้ขายไตมาชดใช้หนีกันพอดี! ใจเย็นก่อนหัวหน้า!! “
“ข้าไม่สน! วันนี้พวกเอ็งต้องถูกตืบเรียงหัวทุกตัว!! เป็นเด็กเก็บมาเลี้ยงแล้วมันหนักหัวใครกันวะ!!! ท่านแม่พรุนไม่ผิดสักหน่อย! “
“แว๊กกก!?! ไม่ได้มีใครว่าหัวหน้าเรื่องนั้นกันสักคนเลยนะครับ! “
เหมือนเช่นทุกครั้ง
ร้านเหล้าที่ควรเป็นที่พักพิงของเหล่าผู้หลีกหนีจากความวุ่นวายของโลก ได้กลายเป็นสนามรบไปในท้ายที่สุด
เหล่านักดนตรี เริ่มเปลี่ยนแนวเพลงบรรเลง
จากเพลงเคล้าอารมณ์ เป็นเพลงร๊อครุนแรง กระทืบจิตใจของผู้ฟังให้ว้าวุ่น
แผ่นดินสะเทือน
ฝุ่นบนฝ้าเพดานร่วงหล่น
ผู้คนต่างปลิวว่อน
กระจกร้านแตกพังทลาย
พื้นไม้แตกทะลุหักกระจัดกระจาย
เครื่องเรือนถูกบดขยี้สิ้นไม่มีเหลือ
เหลือแต่เพียงพื้นที่บาร์สั่งอาหาร กับมุมวงดนตรี และโต๊ะอาหารของเขา ที่ยังคงยืนหยัดรอดมาจากความวุ่นวายนั้น
“ค่อยสงบหน่อย”
ชายผู้ก่อเรื่องเริ่มยกเหล้าขึ้นแตะริมฝีปากอีกครั้ง
ดวงตาของเขา กวาดมองผลงานของตัวเองอย่างพึ่งพอใจไปพร้อมกัน
“หืม… มีคนอื่นในร้านด้วย? หายากนะนี่”
ชายเผ่ายักษ์ขมวดคิ้วจนผิวหน้ายับ ๆ ย่นเข้าหากันด้วยความแปลกใจ
ท่ามกลางความวินาศสันตะโร มีลูกค้าทั่วไปกำลังนั่งทานอาหารคนเดียวอยู่ตรงมุมในสุดของร้าน
เธอนั่งโต๊ะอาหารสำหรับสามคนที่มีจานชามวางอยู่เพียงชุดเดียว
เธอมีเส้นผมสีฟ้าเงางามยาวบรรจบพื้น ราวกับเป็นผืนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
ใบหน้าคมคาย ร่างบอบบาง ตัวเล็ก และมีผิวขาวดั่งเป็นไข่มุข
สวมชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มเรียบง่ายสวมใส่ และเน้นโชวผิวเหนือหน้าอกอย่างไม่อายฟ้าดิน
มีหางกับหูหนูอันเป็นเอกลัษณ์ของเผ่าหนู หนึ่งในสายพันธุ์ย่อยของมนุษย์สัตว์ โดดเด่นอย่างเป็นเอกลักษณ์
ถึงใบหูจะขาดแหว่งจนดูอัปลักษณ์ และสวมใส่ผ้าคาดตาสีดำปิดดวงตาทั้งสองดวงเอาไว้ แต่ก็มิได้ทำให้ความงามภาพรวมของเธอมัวหมองลง
ในทางกลับกัน ความพิกลพิการของสตรีตัวน้อย กลับยิ่งขับความรู้สึกชวนอยากให้ปกป้องถนุถนอมยิ่งกว่า
“สะ— สวยหยาดเยิ้ม!!! “
“หะ—หัวหน้า—โลลิค่อน—“
“ปากเหม็นน่า! “
เธอเป็นที่ถูกใจของยักษา ทาฑิม
เขาถึงกับรีบลุกจากที่นั่ง แล้วเดินตรงเข้าใส่โดยไม่หยุดคิด
“ว่าไงจ๊ะสาวน้อย มานั่งดื่มคนเดียวคงเหงาแย่ สนใจจะมาดื่มกินกับพี่ยักษ์ตรงนี้ไหมจ๊ะ? “
“—“
สตรีเผ่าหนูที่มีความสูงเพียง 120 เซนติเมตร นั่งนิ่งอย่างสงบ
สองมือของเธอเริ่มบรรจงหั่นชีสเค้กที่วางตรงหน้าเป็นก้อนพอดีคำอย่างใจเย็น ก่อนจะใช้ส้อมจิ้มมันเข้าปากด้วยทวงท่าที่งดงาม
“ทำเป็นเมินหรือจ๊ะคนสวย~ ด้วยขนาดร่างกายของพี่ คงไม่บอกว่ามองไม่เห็นหรอกใช่ไหม? “
“…”
ทว่าสตรีผมเงินยังคงนั่งกินต่อไป ราวกับมิได้รับรู้การมีอยู่ของชายตรงหน้า
“… ข้าพูดกับเจ้าอยู่ ไม่ได้ยินหรือยังไง!!! “
ทาฑิม รู้สึกเสมือนหนึ่งถูกเอาก้อนอุจจาระปาใส่หน้า
เขาเกลียดการถูกเมืนอย่างเป็นที่สุด
เขาเริ่มใช้ฝ่ามือที่ใหญ่กว่าใบหน้าของสตรีสีฟ้า คว้าผ้าคาดตาของเธอ แล้วฉีกมันออกเพื่อเปิดเผยใบหน้าจริง
“!!! “
เขาหยุดชะงัก
“นะ– นางฟ้า!? มะ— ไม่สิ! นี่เจ้า… ตาบอดอย่างงั้นหรือ? “
สตรีที่ถูกฉีกฝ้าปิดตาอย่างหยายคายยังคงนั่งกินเค้กต่อไป
เธอหยิบขวดน้ำปลาหมัก แล้วเทลงบนชีสเค้ก ราวกับเป็นการเทน้ำหวาน
“นะ— นั่นมันไม่ใช่น้ำผึ้งนะเว้ย!? “
กลิ่นเหม็นของน้ำปลาหมักเริ่มลอยโชยไปทั่วโต๊ะจน ทาฑิม ต้องย่นจมูกให้ใบหน้ายับยู่ยี่มากกว่าเดิม
แต่สตรีผมฟ้ายังคงตีสีหน้านิ่งเฉย ประหนึ่งว่าไม่รับรู้กลิ่นเหม็นที่ผสมปนเปไปทั่วอากาศ
เธอเทสิ่งที่น่าจะมีรสเค็มจนชีสเค้กชุ่มช่ำไปด้วยสารเหลวสีดำ ก่อนจะนำเข้าปาก กินส่วนที่เหลือลงคอ
เธอสามารถกินเค้กที่รสชาติชวนอ้วกนั้นเข้าไปได้ ราวกับไม่รับรู้ถึงความผิดปกติของรสชาติที่พึ่งสัมผัสปลายลิ้นไป
“…อะไรของผู้หญิงคนนี้เนี่ย? “
เธอกินเค้กชวนอวกราวกับไม่รับรู้ถึงความผิดปกติ
ราวกับ…
ราวกับว่าเธอไม่สามารถใช้อวัยวะใด ๆ ที่ประดับบนใบหน้าเพื่อสัมผัสถึงความผิดปกติสิ่งที่เป็นอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ได้
เสมือนหนึ่งว่าไม่มีใบหน้าอยู่จริง—
“… แบบนี้ก็สนุกข้าเซ่”
ทาฑิม แสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย
เขาเคยฉุดผู้หญิงมามากเพื่อสนองความใคร่ของตัวเอง
ถึงจะไม่เคยทำสำเร็จสักครั้งเดียว เพราะถูกยัยแก่มากระทืบก่อน…
แต่ครั้งนี้มันผิดกับที่ผ่านมา
บนทวีปของเผ่ามนุษย์แห่งนี้ ไม่มีทางที่ยัยแก่จะตามมากระทืบเขาได้แน่นอน
ชายผู้หยาบคายกำลังคิดเช่นนั้น
“หึ หึ หึ! มากับข้าซะแม่หนูน้อย ข้าจะทำให้เจ้าสนุกไม่ได้หลับนอนจนถึงเช้าเลย! “
“หัวหน้าแสดงสันดานเสียออกมาอีกแล้ว! ใครก็ได้รีบไปหยุดหัวหน้าเร็ว! ”
“ท่านยายพรุนฝากพวกเราให้ช่วยคุมนิสัยของหัวหน้าเอาไว้ ถ้าปล่อยให้เกิดเรื่อง มีหวังจะเป็นพวกเราเองที่ถูกกระทืบแทนแน่! ”
“ไม่ทันแล้วโว้ยไอพวกงี่เง่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ”
ทาฑิม หัวเราะลั่น
มือสองข้างของยักษ์ผู้หยาบคายเริ่มพุ่งเข้าใส่หมายคว้าร่างเล็ก ๆ ที่บอบบางดั่งเปลือกแก้วมาครอบครอง
ด้วยขนาดมือของเขา ช่างดูน่ากลัวว่าจะสามารถทำลายร่างกายสตรีเผ่าหนูให้พังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพีนงแค่ปลายนิ้วสัมผัส
นั่นคือสิ่งที่ทุกคนคิดเอาไว้…
*ตึ่ง! *
“เฮ้ย…? ”
โลกทั้งใบของ ทาฑิม กำลังพลิกกลับด้าน
ขาสองข้างชี้ตรงขึ้นไปบนฝ้าเพดานไม้ของร้าน
ทั่วทั้งตัวเปื้อนไปด้วยฝุ่นกับขี้เลื้อยไม้ที่แตกหัก
ปลายสายตา คือภาพของสตรีผมสีฟ้าที่กำลังนั่งกินเค้กชวนอ้วกอยู่ที่เดิม
“เออ… ทำไมหัวหน้ากระเด็นไปอยู่ที่อีกฝั่งของมุมห้องได้ละ? ”
“เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น? มีใครมองทันหรือเปล่า? ”
“ไม่รู้สิ…”
“ฮึม! ขะ— ข้าแค่ลื่นสะดุดเปลือกกล้วยเท่านั้น! วะ ฮะ ฮะ! ”
ทาฑิม หัวเราะกลบเหลือนแล้วลุกขึ้นเดินตรงไปทางสาวน้อยเป็นรอบที่สอง
ทว่าสายตาของตนที่จับจ้องไป ไม่เหลือแววของสัตว์กระหายทางเพศอีกต่อไป
แต่เป็นแววตาของนักสู้ที่กำลังจับจ้องสัตว์ประหลาดกินเนื้อขนาดยักษ์แทน
สาเหตุเดียวที่เขากระเด็นไปอยู่ตรงมุมอีกฟากของห้อง
คงมีแค่ตัวเขานั้นรู้ดียิ่งกว่าใคร
“— แม่หนู… เมื่อกี้มันก็แค่โชคช่วยหรอก! ”
ทาฑิม กำหมัด แล้วชกออกไปสุดแรงเกิด
หมัดที่ชกออกไปนั้น ถึงกับทำให้เกิดลมพายุพัดโหมกระหน่ำ
ข้าวของเครื่องใช้ล้วนต่างพัดปลิวกระจายว่อน
แม้แต่เสาไม้อาคารที่ค้ำจุนชั้นลอย ยังแตกหักครึ่งทรุดพังถล่มลงเพียงเพราะแรงลมที่กระจายออกมาจากแรงส่งหมัดของเขา
บรรดาลูกน้องและพนักงานร้านต่างรีบวิ่งเข้าหาที่กำบัง
มือสองข้างรีบเปิดจี้ห้อยคอของตน เปิดเครื่องสื่อสารทางไกล แล้วเร่งรุดถ่ายภาพเหตุการณ์ตรงหน้า
บางส่วนรีบร้อนติดต่อเจ้าหน้าที่ ส่งเสียงอื้ออึงขอความช่วยเหลือ
ภายในใจ ได้แต่เฝ้าปราถนาให้สตรีผู้โชคร้ายอยู่รอดพ้นภัยจากหมัดที่รุนแรงเทียบเท่าดังลูกปืนใหญ่ของชายเผ่ายักษ์ที่น่าชิงชัง
*ปึ่ง! *
เสียงกระแทกหมัดดังกังวาลดั่งเป็นแผ่นโลหะที่ถูกรถบดอัดกระแทกใส่
ลมหวนพัดม้วนตัวกลับสู่ศูนย์กลางปะทะ ก่อนจะพัดปลิวว่อนกระจายรอบทิศทางเป็นคลื่นระลอกสอง
บรรดาคนที่อยู่ในร้าน ล้วนต่างปิดเปลือกตาไม่กล้ามองสภาพร่างที่แหลกเหลวของสตรีเผ่าหนู
“โอ๊ก—! ”
ทว่าเสียงอาเจียนที่คุ้นเคย กลับกระตุ้นความอยากรู้ให้ต้องยอมเผยดวงตาจับจ้องมอง
“… เฮ้ย? ”
ทุกคนต่างดวงตาขาวถล่นจากเป้า ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองมองเห็น
บุรุษเผ่ายักษ์ที่พวกตนยกให้เป็นผู้มีพละกำลังสูงสุด กลับกำลังบิดตัวงออย่างทุกทรมาน
บิดตัวงอ— เพราะถูกแขนที่เรียวบางของสตรีร่างเล็กแทงสวนเข้าไปตรงช่องท้อง
แขนที่บอบบางดั่งเป็นเปลือกแก้วข้างนั้น สามารถชกทะลุมวลกล้ามเนื้อเหล็กของชายผู้นี้ได้เยี่ยงไรกัน?
“—”
สตรีผู้มีใบหน้าเรียบเฉยถอยห่างออกจากใต้เงาของยักษา
เธอใช้แขนข้างซ้ายโยนโต๊ะอาหารของตัวเองให้ลอยขึ้นเหนือพื้น ไปพร้อมกับอาหารที่ยังทานไม่หมด
ก่อนจะเริ่มกระหน่ำฝ่าเท้าบรรจบลงบนร่างกายของชายที่กำลังบิดตัวงออย่างไร้ความปรานี
หนึ่งวินาทีต่อหนึ่งฝ่าเท้าบรรจบ
หนึ่งฝ่าเท้าบรรจบเสียงกระหน่ำกระแทกนับสิบคร่า
รัวกระแทกมิหยุดยั้ง รวมสิ้นสามฝ่าเท้า สามวินาที สามสิบกระแทกทลายร่างกาย
“อั๊ก—?!? ”
ทาฑิม เริ่มดวงตากลายเป็นสีขาวโพล้น เข่าทรุดพื้นแทบสิ้นสติ
แต่ทว่าดูเหมือนสตรีผู้บอบบางจะยังไม่สาแก่ใจ
เธอยกขา สร้างจุดศูนย์ถ่วงด้วยหางกับปลายฝ่าเท้าซ้าย แล้วหมุนควงสว่านหนึ่งรอบ ยกเรียวขาขาวข้างขวา วาดขาจากล่างขึ้นบนในแนวแทยงใส่ใบหน้าของ ทาฑิม เต็มแรง
*บรึ้ม! *
ประหนึ่งดังมีใครยิงระเบิดกัมปนาทลงตรงใจกลางร้าน
ร่างของ ทาฑิม ถึงกับลอยปลิวขึ้นท้องฟ้า
พุ่งทะลุฝ้าเพดาน
ทะลุโครงหลังคาไม้ที่ซ้อนเรียงตัวขึ้นไป
ทะลุแผ่นคอนกรีตหนาที่ซ้อนเหนือพื้นดาดฟ้า
ทะลุลอยขึ้นไปสูง ลอยปลิวสู่ฟากฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยแสงออโรร่า
สูง— เหนือขึ้นไป จนไม่มีใครรับรู้หรือมองเห็นเขาได้แม้แต่เงา…
“…”
พร้อมกันนั้น โต๊ะอาหารที่เธอโยนขึ้นไปในอากาศจักลอยร่วงหล่นลงสู่พื้น
หล่นลงวางบนพื้นอย่างเหมาะเจาะบนพื้นไม้ที่สะอาดไร้เศษฝุ่น
สตรีผมสีฟ้าถอนหายใจออกเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปนั่งลงบนโต๊ะอาหาร แล้วเริ่มบรรจงกินเค้กอาบน้ำปลาของตัวเองต่อ
กินต่อไป ราวกับว่าความวุ่นวายเมื่อกี้ มิเคยได้ปรากฏเกิดขึ้นมาก่อนเช่นนั้น
***ย้อนกลับไปในอดีตที่ไกลแสนไกล***
ในอดีตอันนานแสนนานนับหลายพันปี…
เคยมีเผ่ามนุษย์หนูผู้หนึ่งเกิดมาอย่างน่าเวทนา
ไม่อาจสัมผัสกลิ่น
ไม่อาจสดับรับฟังเสียง
ไม่อาจเปล่งเสียงวาจา
ไม่อาจแม้แต่จะมองรับรู้เห็น
เสมือนหนึ่งไม่มีใบหน้าอยู่จริง
ต้องทนใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน
เธอ… จึงฝึกตน
ฝึกจนมองเห็น ทั้งที่ถูกปิดดวงตา
ฝึกจนรับรู้การเคลื่อนไหวของอากาศผ่านผิวสัมผัส รับรู้การสนทนาผ่านผิวหนัง แม้นใบหูจะพิกลการ
ฝึกจิตจนสามารถรับรู้ที่ว่างได้ แม้นประสาทสัมผัสมืดบอด
ฝึก— จนกลายเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคช่วงเวลานั้น
เก่งกล้า จนดวงจิตกลายเป็นเทพเจ้า
ดวงจิตนั้น ได้เวียนว่ายดับสูญ จากชีวิตเทพ กลับคืนสู่สิ่งมีชีวิตในอีกคร่า
[ลาพิส ลาซูลีล]
นั่นคือชื่อของเธอเมื่อครั้งยังมีชีวิต
MANGA DISCUSSION