การถือกำเนิดเส้นทางผู้เหนือกาลจักรลำดับที่หนึ่ง - ตอนที่ 153 ภาพวาดของดอกกุหลาบ
บทที่ 153 – ภาพวาดของดอกกุหลาบ
แน่นอนว่าวันนี้เองก็คือวันที่ผู้กล้าเอริเนียรอคอยมาตลอดหลายวัน วันที่ 15 ก.ค. วันที่ The AirBlue จะได้เฉิดฉาย วันที่ไอดอลอันดับหนึ่งของโลก (เอริเนียแต่งตั้งเอง) จะได้แสดง เต้น ร้องเพลง ในที่ที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกนี้
เธอคิดถึงเรื่องของมิวไม่ผิดแน่ แต่เธอก็คิดถึงเรื่องของคอนเสิร์ตการแสดงสดของไอดอลยูโกะจังที่เธอรักเช่นกัน
เช้าวันที่ 15 The AirBlue ก็เปิดต้อนรับคนตั้งแต่เช้าตรู่ โดยจะต้อนรับคนเข้าจนถึงเวลา 17.00 ก่อนจะเริ่มการแสดงคอนเสิร์ตที่นับเป็นตัวหลักของงาน
ส่วนเรื่องจะเอา The AirBlue ลอยขึ้นตอนไหนนั้นไม่มีใครทราบ เพราะไม่มีการประกาศออกมา แต่ก็คงหลัง 17.00 เป็นต้นมานั่นแหละ
เพราะหลังจากนี้ The AirBlue จะไม่รับคนเข้าอีกแล้ว แม้จะมีตั๋วก็ตามที… แน่นอนว่าเลทิเซียที่มัวแต่คิดเรื่องส่วนตัว เลยโดนเอริเนียลากมาได้ง่ายๆ ตั้งแต่เช้า
สิ่งที่กระตุ้นให้มิวหลุดออกจากโลกแห่งความคิด ก็คือเสียงคนวุ่นวายที่อยู่เต็ม The AirBlue ไปจนหมดทำให้มิว
“หือ ที่นี่ที่ไหนล่ะเนี่ย ?”
“พูดอะไรน่ะ นายท่าน ที่นี่คือ The AirBlue ไง”
“……”
มิวมองหน้าเอริเนียที่ตอนนี้เหมือนลืมเรื่องวายป่วงต่างๆ บนโลกไปแล้ว…
“นี่เธอคงไม่ลืมไปแล้วใช่ไหมว่า โลกในตอนนี้น่ะ….”
“ฉันเข้าใจน่านายท่าน แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปยุ่งด้วยได้นี่น่า อย่างมากนายท่านก็แค่ทำให้ตัวเองไม่เป็นอะไรได้ แต่ก็ช่วยใครไม่ได้สักหน่อย”
คิ้วมิวกระตุกเล็กน้อย แต่มันก็จริงอย่างที่เจ้าตัวว่า คนที่โดนลบหายไปแล้วไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้ คนที่ติดโรคไม่สามารถรักษาได้
อย่างมากเธอก็แค่….. ทำให้ตัวเองปลอดภัย เป็นความจริงที่น่าเศร้า..
“จริงอยู่ที่นายท่านเป็นเทพมังกรที่ไร้เทียมทาน บางทีนายท่านอาจจะเก่งกว่าที่ฉันรู้ ฉันเข้าใจ หรือแม้แต่กว่าที่นายท่านจะเข้าใจตัวเอง”
“แต่มันคือพลังที่ใช้เพื่อทำให้ตัวท่านแข็งแกร่ง ไร้เทียมทาน ไม่ได้ทำให้ชีวิตนายท่านเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้”
เอริเนียพูดเหมือนเข้าใจตัวของมิวดี อันที่จริงก่อนหน้านี้เธอก็ไม่แน่ใจว่ามิวเป็นคนยังไง แต่ตอนนี้เธอพอรู้ว่ามิวในตอนนี้เป็นคนยังไง
ซึ่งบางทีมันคงเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในหอคอยตอนนั้น ทำให้นายท่านมิวของเธอดูอ่อนไหวต่อความตายมากขึ้น
อาจจะไม่ใช่ความตายของตนเอง แต่เป็นของคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับตนเองมากกว่า เพราะแม้มิวจะไม่รู้พลังของตัวเองทั้งหมด แต่สัญชาตญาณดั้งเดิมเธอก็คือเทพมังกร
และคงไม่แปลกเท่าไหร่ที่เธอจะไม่กลัวอะไรเลย ทว่าเรื่องในหอคอยคงเป็นบทเรียนให้สัญชาตญาณนั้นเป็นอย่างดีเลยล่ะ
มิวตอบกลับเอริเนียไม่ได้
“เพราะงั้นแหละ ถ้าเป็นเรื่องที่ยังไม่เข้าใจได้ในตอนนี้ก็โยนมันทิ้งก่อน”
“มาสนุกกันดีกว่า”
แม้อันสุดท้ายจะดูเป็นมนุษย์ไม่ได้ความอยู่บ้าง แต่ก็จริงแบบที่เจ้าตัวว่า ตอนนี้มิวยังมีข้อมูลน้อยเกินไป
มิวพยักหน้าพร้อมวางแผนชีวิตหลังจากนี้ให้เป็นรูปร่างคร่าวๆ ใหม่… โลกในตอนนี้ไม่เหมือน 6-7 วันก่อนหน้านี้แล้วในมุมมองเธอ
เมื่อมิวหลุดออกจากห้วงความคิด เธอก็สังเกตว่าที่นี่มีชีวิตชีวามาก ผลรายงานออกมาเหตุเมื่อก่อนหน้ามีผู้เสียชีวิตเป็น 0 ซึ่งมิวรู้ดีว่าไม่ใช่
แต่คนทั่วไปมันคือความจริง เพราะไม่มีคนรู้จักตัวเองตายเลยสักคน
แม้จะมีบ้านเมืองเสียหายไม่น้อย แต่ทว่าในที่แห่งนี้กลับไม่มีบรรยากาศของการสูญเสียเลยสักคน เป็นภาพที่ชวนขนหัวลุกแปลกๆ ในมุมมองของมิว
อย่างไรก็ตาม เอริเนียก็ดึงมิวพาเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ของเก่า เช่นของตกทอดจากยุคโบราณ เช่น เครื่องปั้นดินเผา ประติมากรรม รูปปั้น ฯลฯ
ภายในนั้นมีระบบความปลอดภัยแน่นหนาทุกอย่างจัดเรียงกันอย่างงดงามและเป็นระเบียบ มิวไม่ใช่สายนี้เท่าไหร่
แต่ก็รู้ดีว่าของพวกนี้มันมีความสวยงามในแบบหลายร้อยปีก่อน ทางด้านเอริเนียที่น่าจะไม่ใช่ของพวกนี้เหมือนกัน เธอกลับดูสนใจเป็นพิเศษ
เอริเนียเดินไปยืนมองดาบเล่มหนึ่งที่วางอยู่ ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกมันคือกระบี่มากกว่า ก่อนที่ไกด์จะเดินมาอธิบายว่า
“นี่คือกระบี่ Goujian ที่ว่ากันว่ามีอายุมามากกว่าสองพันปี ถูกค้นพบในสุสานของประเทศจีน ความพิเศษของมันคือตลอดเวลากว่า 2000 ปีที่ผ่านมามันไม่ขึ้นสนิมเลย”
ไกด์ยังคงแนะนำถึงเรื่องราว เรื่องเล่าไปอย่างต่อเนื่อง แต่เอริเนียขมวดคิ้วเดินวนดูไปอยู่หลายหน เสียงไกด์ไม่อยู่ในหัวเธอเลย
“นี่มันแปลกๆ”
เธอพึมพำกับตัวเอง แต่ไม่ได้บอกอะไรมิว ก่อนจะเดินไปหาโบราณวัตถุอีกอัน แล้วก็ได้แต่สับสนเท่านั้น เจ้าตัวไล่ดูเหมือนกับเป็นแฟนตัวยงของวัตถุโบราณเหล่านี้
แต่ไม่ว่าจะหาเหตุผล หรือหาอะไรมารองรับมันก็ฟังไม่ขึ้นทั้งหมดอยู่ดี ทำให้เจ้าตัวได้แต่ระงับความสงสัยพร้อมกับเดินออกมาจากพิพิธภัณฑ์แห่งนั้น
มิวก็ไม่ได้ถามอะไรเธอ เพราะมิวคิดว่าเอริเนียคงจะชอบอะไรแบบนี้ที่ดูขัดกับคาแร็คเตอร์นิดหน่อย ในระหว่างวันเอริเนียและมิวเดินไปตามสถานที่ต่างๆ มากมายในโดมแห่งนี้
ตอนแรกเอริเนียก็ดูสนใจเป็นพิเศษกับทุกอย่าง แต่มองไปมองมาเหมือนจะมีเยอะเกิน หรือสิ่งที่เธอสงสัยมันมีเยอะเกินจนเจ้าตัวปลงตก
จนปล่อยวางและสนุกไปกับการชมความงดงามของศิลปะ ที่มิวอาจจะเข้าไม่ถึงนิดหน่อย ระหว่างทั้งสองเดินชมนั้นเองมิวกับเอริเนียก็ไปสะดุดเข้ากับที่หนึ่งเข้า
มันไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ แต่มันเป็นเหมือนแผงลอยเล็กๆ ซึ่งจะไปมีแผงลอยในสถานที่จัดแสดงงานศิลปะได้อย่างไร
เวลานี้เป็นเวลาสี่โมงกว่าเห็นจะได้แล้ว เกือบจะใกล้ถึงเวลาแสดงของคอนเสิร์ตแล้ว
ด้วยความสงสัยมิวกับเอริเนียเลยเดินไปดู แถวนี้มันค่อนข้างเงียบและไม่มีคนผ่านไปผ่านมาอย่างน่าประหลาด
พอเดินไปใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่แผงลอย แต่เป็นคนคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นพร้อมผ้าปู ด้านข้างมีรูปขนาดใหญ่สูงราวๆ หนึ่งเมตรได้วางอยู่
คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนจะเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า แต่มีผมที่ยาวออกมารวมถึงเยงที่กำลังจะเปล่งออกมาหลังจากนี้นั้นเป็นเสียงของอิสตรี
พอมิวกับเอริเนียเดินไปถึง ทั้งคู่ก็แทบผงะกับภาพวาดตรงหน้าที่มืดมน หม่นหมอง แต่ดูสดใสในความโหดร้ายบางอย่าง เหมือนกับเก็บซ่อนความโหดร้ายเอาไว้ด้วยสีที่สดใสและฉูดฉาดตรงหน้า
มันคือภาพแจกันและดอกไม้… แจกันสีขาว ดอกไม้สีแดง ถ้าหากมิวดูไม่ผิดมันคงจะเป็นภาพวาดของดอกกุหลาบดอกหนึ่ง
มิวไม่แน่ใจว่าสีที่ใช้วาดเป็นสีแบบไหน แต่เหมือนว่าตอนวาดคนวาดจะจุ่มสีน้ำมากไป เพรสีบางส่วนบนกลีบดอกกุหลาบสีแดงนั้นไหลย้อยลงมา
ราวกับดอกกุหลาบสีแดงนี้กำลังอาบเลือดอยู่ อย่างไรก็ตามแม้ดอกกุหลาบนั้นมีสีสดเหมือนกับเลือดจริงๆ แต่เพราะมันเป็นดอกไม้จึงยากจะมองว่าเป็นเลือด
กิ่งก้านของดอกกุหลาบนั้นมีหนามแหลมอยู่เต็มไปหมด แต่เมื่ออยู่ภายใต้ความงดงามของกลีบดอกกุหลาบที่สดใหม่มันทำให้หนามแหลมนั้นไม่น่ากลัวเหมือนต้นไม้หนามอื่น
แจกันสีขาวนั้นเหมือนเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในภาพ เพราะผ้าที่ใช้วาดเป็นผ้าสีดำ โดยรอบๆ แจกันจะถูกแต่งเติมสีขาวให้ความรู้สึกเหมือนว่าแจกันนั้นกำลังเรือนแสงปัดเป่าความมืดออกไปจนหมด
แม้มิวจะไม่สันทัดเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อมองไปแล้วกลับสัมผัสได้ว่าเหมือนภาพนี้จะมีความหมายหลายอย่างอยู่พอสมควร
“ภาพวาดของดอกกุหลาบ”
“ใช่แล้ว นี่คือ ‘ภาพวาดของดอกกุหลาบ’ เธอเห็นอะไรในนี้บ้างล่ะ”
เสียงของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดังขึ้นเป็นเสียงของผู้หญิงที่แยกไม่ออกว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมนั้นเหมือนจับจองมาที่มิว
“ฉันไม่ค่อยสันทัดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ขอโทษที่คงให้คำตอบที่เธอคาดหวังไม่ได้”
มิวตอบออกไปแบบนั้น
อีกฝ่ายเหมือนรู้คำตอบแต่แรกอยู่แล้ว เธอเพียงยิ้มที่มุมปาก
“ในตอนสุดท้าย ฉันจะมาถามเธออีกครั้งหนึ่ง”
อีกฝ่ายพูดแบบนั้นพร้อมกับค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ มิวไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายจะสื่อเท่าไหร่เพียงแต่
“ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ฉันก็คิดว่ามันเป็นภาพที่วิเศษมาก”
การกระทำของคนปริศนาหยุดชะงัก
“ภาพวาดนี้ถูกวาดโดย ‘แม่มด’ ”
“แม่มด ?”
“เธอวาดมันขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องสักการะแด่พระองค์”
“….”
มิวไม่ได้ตอบเพราะคิดว่าคนคนนี้น่าจะมีอะไรไม่ปกติ
“ฉันจะมอบปาฏิหาริย์ให้เธอหนึ่งครั้ง”
พูดแบบนั้นเจ้าตัวก็ยื่นกลีบดอกกุหลาบดอกหนึ่งให้กับมิว
แล้วเธอก็คลุมผ้าบนรูปพร้อมแบกใส่หลังแล้วก็เดินจากไป มิวไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจากไปตอนไหนเพราะมัวแต่มองกลีบกุหลาบที่แสนธรรมดาในมือของเธอ
ทางด้านเอริเนียก็พูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและจับมิวลากไปทางคอนเสิร์ตทันที…
……
….
…
“จะดีเหรอ”
มีอะไรไม่ดีล่ะ
“ฉันคือผู้ส่งสารของแม่มด”
ฉันก็เป็น ‘นักพเนจร’
ไม่ต้องห่วงหรอก
คนที่ตัดสินใจไม่ใช่ฉัน
แต่เป็นเธอ
เธอก็รู้เรื่องนั้นดี
“ฉันรู้ เพราะงั้นฉันถึงถามเธอ ไม่ใช่เธอ”
“และที่ทำให้ฉันถามแบบนี้ ก็คือเธอเอง”
“เพื่อจะให้ ‘พวกเขา’ รู้”
ก็นั่นสินะ แต่ที่เธอถามมันไม่ใช่เพราะฉันหรอกนะ
แต่เป็นเพราะเธอเป็นคนแบบนั้นต่างหาก
และเพราะงั้นแหละ มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะกล่าวบรรยายตอนนี้
โรส