การถือกำเนิดเส้นทางผู้เหนือกาลจักรลำดับที่หนึ่ง - ตอนที่ 151 คนที่หลบอยู่มุมมืด
บทที่ 151 – คนที่หลบอยู่มุมมืด
แม้จะยังมีหลายเรื่องที่น่าสงสัยในเหตุการณ์นี้ เช่นว่า ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติไม่ควรจะปรากฏขึ้นทันทีที่บอร์เดอร์โผล่ออกมา
แต่จะปรากฏขึ้นเมื่อผ่านเงื่อนไขบางอย่างก่อน หรือไม่ก็ปรากฏขึ้นหลังมีการบอร์เดอร์เอาท์เสียก่อนถึงจะปรากฏขึ้น
แต่ว่าเธอเลือกที่จะเงียบเรื่องนี้ไว้ไม่กล่าวถึง แม้มิวอาจจะรู้จักมันอยู่แล้ว แต่หากเธอเป็นคนพูดมันขึ้นมาเองมันก็จะเกิดคำถามต่อมาว่า… แล้วพวกเธอเตรียมรับมือเหตุการณ์ที่ไม่ปกตินี้ปรากฏขึ้นทันทีที่มันปรากฏขึ้นได้ยังไง
และเรื่องเหล่านั้นมันก็คือความลับขั้นสูงของสำนักเธอ เธอจึงเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้ในบทสนทนาที่ผ่านมา และโชคยังดีที่มิวเองก็ไม่ได้สังเกตเหมือนกัน
ดังนั้นเธอจึงโล่งอกที่ไม่ได้พูดออกไปหลังฟังคำพูดมิว แม้เธอจะไม่เคยได้ยินว่ามีอะไรแบบนั้นอยู่ว่ามีคนที่เกิดมาพร้อมพลังพิเศษที่สามารถต่อต้านได้แม้แต่พลังเหนือจินตนาการนี้ได้
แต่เธอที่อยู่มานานแล้วรู้ดีกว่าใครว่าโลกนี้ลึกลับขนาดไหน.. คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ว่าในโลกที่เต็มไปด้วยวิทยาศาสตร์แห่งนี้มีหลายอย่างที่พวกเขาอธิบายไว้ผิด
ถึงจะบอกว่าผิดมันก็ไม่ถูกซะทีเดียว แค่มันไม่ครอบคลุมทุกอย่างในโลกนี้ต่างหาก หากพวกเขารู้จักพลังของสำนักเธอบางทีพวกเขาอาจจะอธิบายมันด้วยปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้…. แต่ก็นะเพราะพวกเขาไม่รู้จักเลยอธิบายไม่ได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโลกในปัจจุบันที่มีทั้งหอคอย ทั้งประตูลึกลับที่นำพาปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้มาคร่าชีวิตคนด้วย
แต่จะยังไงก็ตาม ปี้อันที่อยู่บนโลกนี้มานานก็สามารดูออกว่ามิวไม่ได้พูดโกหกอยู่ นี่ไม่เกี่ยวกับพลังพิเศษ เธอเพียงแค่สามารถแยกแยะออกผ่านน้ำเสียง ท่าทาง ลมหายใจ
แม้แต่อัตราการเต้นของหัวใจยังไม่บ่งชี้ว่าอีกฝ่ายโกหกเลยแม้แต่น้อย แน่นอนเรื่องที่ว่ามิวจะโกหกในระดับที่ซ่อนทุกอย่างที่ว่ามายิ่งเป็นไปไม่ได้
ดูจากหน้าตามิว ต่อให้จะหน้าเด็กอย่างมากก็ไม่เกิน 25 ปี… เอาแบบสุดตัวเลยก็คงไม่เกิน 27 ปีหรอก แน่นอนอายุที่ห่างงกว่าเธอหลายเท่านี้
ไม่มีทางซ่อนเรื่องพวกนี้จากเธอได้หรอก… แน่นอนว่าปี้อันไม่ทราบเลยว่าแท้จริงแล้วคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นซากดึกดำบรรพ์น่ะนะ
แต่ก็นะ มิวก็ไม่ได้โกหก ถึงจะโกหกคงถูกจับได้ เพราะเห็นแบบนี้มิวก็อายุไม่ถึง 30 หรอก.. อายุจริงๆ ภายในน่ะนะ
อีกอย่าง เรื่องที่แปลกไม่ใช่แค่เรื่องนั้น
“เอาล่ะ ในเมื่อเป็นแบบนั้นฉันก็คงต้องขอลบความทรงจำเธอเลยแล้วกัน นี่ก็เพื่อตัวเธอเอง ก่อนที่โรคประหลาดจะเริ่มกัดกินไปมากกว่านี้”
ปี้อันพูดขึ้นพร้อมกับร่ายวิชาคาถาบางอย่าง เหมือนหลุดออกมาจากหนังจีนย้อนยุคสายตาเธอเหลือบไปมองที่ฝ่ามือมิวที่น่าจะเริ่มติดโรคประหลาด
แต่ทว่าเมื่อมองไป อีกฝ่ายก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ
“หือ..?”
“ลบความทรงจำฉัน..?”
มิวหวนนึกถึงสิ่งที่ผู้กล้าเอริเนียบอกตัวเอง.. จะว่าไปคนที่อยู่ตรงหน้าเธอจะลบความทรงจำมิวได้จริงอะ ถ้าจำไม่ผิดจิตมังกรคือจิตที่แข็งแกร่งที่สุดนี่น่า…
ทางด้านปี้อันเองก็เดินพรวดเข้ามาจับมือมิว แล้วพลิกไปพลิกมา
“เอ้ะ มีไรอะ ?”
มิวสะดุ้ง เพราะจู่ๆ ก็โดนจับมือ แบบนี้จะเรียกว่าถูกลวนลามไหมนิ.. ไม่สิ แต่อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงนี่น่า..
แต่เดี๋ยวนะ โลกตอนนี้เปิดกว้างทางเพศแล้วป่ะ ในขณะที่มิวกำลังสับสน แถมข้อมูลที่ได้มาก็ยังย่อยไม่ทันด้วยมันสมองระดับปลาซิวของเธอ
“ทำไม.. ไม่มีโรคประหลาด ?”
“มันอาจจะยังไม่เริ่มหรือเปล่า ?”
มิวถามออกไปด้วยความใสซื่อ แต่ว่าจากประสบการณ์เป็นมังกรมาหลายเดือน ข้อสันนิษฐานหนึ่งลอยเข้ามาในหัวมิวแทบจะในวินาทีนั้น
แน่นอนว่าเพราะเธอเป็นเทพมังกรไงล่ะ
คิดว่านะ
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ ผลลัพธ์ของโรคประหลาดไม่ขึ้นอยู่กับเวลา มันขึ้นอยู่กับการคลุกคลีอยู่กับข้อมูลที่ปนเปื้อนเหล่านั้นด้วย”
“พูดง่ายๆ ก็คือขอแค่เธอรู้ก็การันตีว่าเธอต้องโดนโรคนี้แล้วไง”
“แต่ทำไม… ทำไมถึงไม่มี”
อีกฝ่ายเดินอ้อมตัวมิว จับเสื้อผ้า หน้าผมมิวด้วยความสงสัยใคร่รู้ … แต่ในตอนนั้นเองไหล่ของอีกฝ่ายก็ถูกจับฉุดดึงออกมา ดาบในมือมิวหลุดออกจากมือเธอไปตอนไหนไม่รู้
ก่อนที่คมดาบเล่มนั้นจะจ่อคอปี้อันอยู่ พร้อมกับผู้กล้าเอริเนียที่ตอนนี้ไร้บาดแผลกำลังเอามีดจ่อคออีกฝ่ายด้วยสายตาพร้อมฆ่า
“ยัยนี่ไม่เหมือนผู้กล้าเข้าไปทุกที…”
นั่นคือสิ่งที่มิวคิดในหัว แต่ว่า..
“คิดจะทำอะไร ?”
ผู้กล้าเอริเนียถามด้วยน้ำเสียงโทนที่มิวไม่เคยได้ยิน มิวได้แต่สงสัยว่ายัยนี่โกรธอะไรขนาดนั้น กับอีแค่มิวโดนจับซ้ายจับขวาเฉยๆ
“เอ่อ…”
ปี้อันยังพูดไม่ออกเหมือนกัน เพราะจังหวะที่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวนั้นแม้แต่เธอก็ยังตามไม่ทันเช่นกัน เมื่อรู้สึกตัวอีกที ก็โดนดาบจ่อคอไปแล้ว
ส่วนลูกน้องปี้อันอีกสองคนก็เหมือนจะตอบโต้ แต่ทว่าอาวุธขวาน กับอาวุธหอกก็จ่อคอทั้งสองคนนั้นไว้ด้วยฝีมือของมิลลี่
มิวมองภาพนี้ก็ได้แต่ตกใจ เมื่อกี้พวกเธอยังนอนสลบปางตายอยู่เลย ตอนนี้กลับตื่นขึ้นมาซะแล้ว แถมทำตัวโคตรห้าวอีก
หารู้ไม่ว่าคนที่พวกเธอเอาดาบจ่อคอนั่นคือคนที่ช่วยพวกเธอจากความตายมาเมื่อกี้…
โดยไม่ได้รีรอให้อีกฝ่ายได้โชว์หล่อเท่ มิวก็ดึงคอเสื้อทั้งสองคนกลับมาหาเธอ จนปลายอาวุธหลุดออกจากระยะสังหารคนทั้งสาม
“คนพวกนี้คือคนที่ช่วยเราเอาไว้นะ”
“เสียมารยาทจริงพวกเธอเนี่ย”
ถึงแม้จะยังตามเรื่องทั้งหมดไม่ค่อยทันเท่าไหร่ แต่มิวก็รู้ดีว่าคนตรงหน้ามีพระคุณต่อเธออยุ่ไม่มากก็น้อย
อีกอย่างถ้าเอาตามที่อีกฝ่ายคิดจะทำคออยากจะช่วยโลกใบนี้ มองยังไงสำหรับมิวพวกนี้คือฮีโร่ผู้ผดุงความยุติธรรมในเงามืดชัดๆ
หลังจากนั้นมิวก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้มันสมองอย่างผู้กล้าเอริเนียฟัง แม้ทางฝั่งปี้อันจะพยายามห้ามไม่ให้มิวเผยแพร่ข้อมูลมากกว่านี้
แต่มิวรู้ดีว่า ถ้าเธอไม่เป็นอะไร ทั้งผู้กล้าเอริเนียหรือมิลลี่ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ต่อให้เป็นก็แค่ให้ปี้อันลบความทรงจำก็พอ ยังไงซะทั้งคู่ก็ไม่ใช่มิวที่ลบความจำไม่ได้อยู่แล้ว
นอกจากนี้สำหรับมิวแล้ว สิ่งที่ผู้กล้าเอริเนียรู้มันสำคัญกับเธอมาก… อีกทั้งเรื่องที่เธอรู้เมื่อกี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เธอหาครอบครัวไม่เจอ
อาจจะเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ที่คิดว่าโลกนี้เป็นโลกเดิม.. แต่ลองนึกภาพรอยต่อของช่วงเวลาที่มิวตายดูสิ
ทุกอย่างมันเหมือนกับว่าเป็นช่องว่างให้มิวจินตนาการได้ว่านี่อาจจะเป็นโลกเดิมเธอมากเกินไป ไม่ว่าจะหอคอยที่โผล่มาในปีที่เธอตาย
หรือเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่เปลี่ยนไปหลังจากเธอตาย.. ทุกอย่างมันสามารถจินตนาการ “สมมุติว่า….” ได้เกือบทั้งหมด
ดังนั้นไม่ว่าจะวิธีหนึ่งหรือวิธีสอง มิวต้องสืบค้นคว้าให้ได้คำตอบชัดเจนว่าไม่ใช่จริงๆ เธอถึงจะตัดสินใจยอมแพ้ ยังไงซะตอนนี้ก็มีแต่ช่องว่างที่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้เกือบทั้งหมด
หลังจากผู้กล้าเอริเนียได้ฟังก็อย่างที่มิวคาด อีกฝ่ายไม่เป็นอะไร อันที่จริงพวกเธอเหล่านี้คืออัตลักษณ์ของมิว แม้จะยังเข้าใจตัวตนพวกเธอในตัวมิวได้ไม่มาก
แต่แม้อัตลักษณ์จะถูกทำลายหรือหักล้างได้ แต่อัตลักษณ์ไม่สามารถถูกทำให้ป่วยหรือติดโรคได้นั่นเอง
ทางด้านปี้อันก็ได้แต่งงเป็นไก่ตาแตก.. ไอ้คนสามคนตรงหน้ามันเป็นใคร ทำไมไม่ได้รับผลกระทบจากโรคประหลาด ไม่ได้รับผลจากข้อมูลที่ปนเปื้อน
ทั้งๆ ที่สองคนก่อนหน้านี้โดนฝนไปยังแทบตาย แต่พอได้รับข้อมูลที่ปนเปื้อนไปกลับไม่เป็นอะไร คำถามเต็มหัวเธอไปจนหมด
“……”
ผู้กล้าเอริเนียครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ามาคุยกับมิว.. แต่ในตอนนั้นเองกลุ่มคนที่มาพร้อมกับปี้อันก็มารายงาน
“คนทั้งหมดถูกอพยพออกจากเขตอันตรายแล้ว และคาดว่าอีกไม่นานปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติจะลดระดับเข้าสู่ภาวะเหนือธรรมชาติทั่วไปครับ”
“ถึงเวลาต้องกลับแล้ว”
ปี้อันพึมพำ.. ตัวตนพวกเธอจะถูกเปิดเผยไม่ได้ นอกจากนี้ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติถูกเปลี่ยนเป็นภาวะเหนือธรรมชาติ
หมายความว่าไม่มีการแพร่ระบาดของเศษซากอารยธรรมที่ปนเปื้อนแล้ว เหตุการณ์จะเข้าสู่ภาวะเหนือธรรมชาติทั่วไป เช่น ฝนตกเป็นไฟ ฯลฯ
ซึ่งนี่คือสิ่งที่คนธรรมดาเรียกว่า “ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ” แต่องค์กรของปี้อันเรียกมันแค่ว่า “ภาวะเหนือธรรมชาติ” เท่านั้น
ปี้อันโค้งคำนับมิว
“ถึงเวลาที่พวกเราต้องไปแล้ว แต่จากที่คุยกับเธอไม่นาน ฉันมั่นใจว่าเธอไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร และไม่ใช่คนที่จะเอาเรื่องนี้ไปเผยแพร่ให้ใครฟังจนได้รับผลกระทบหรือแม้แต่ใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์ธรรมชาติ”
เธอกุมมือทั้งสองข้างให้มิว
“ขอแด่เทพผลึกจงสถิตอยู่กับท่าน”
กล่าวเช่นนั้นพวกคนเหล่านี้ก็แตกสลายกลายเป็นเศษผลึก กระจัดกระจายหายไปตามอากาศอย่างรวดเร็ว ทิ้งมิวให้เต็มไปด้วยความงุนงง
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่การเปิดม่านสู่เรื่องราวบทใหม่
ที่มีชื่อว่า…..
ในมุมมืดแห่งหนึ่งห่างออกจากที่มิวอยู่ไม่ไกลหนัก.. มีเด็กสาวคนหนึ่งเอามือกุมปากตัวเองเอาไว้ ร่างกายเธอเบาบางเหมือนจะสลายหายไปได้ทุกเมื่อ
เบาบางในระดับที่มิวก็ไม่สังเกต ปี้อันรับรู้ไม่ถึง อันที่จริงเธอเหมือนอยู่ก้ำกึ่งระหว่างความมีอยู่และไม่มีอยู่
เธอหอบหายใจอย่างสับสน แขนทั้งสองข้างเริ่มเปลี่ยนสีไปเป็นแบบเดียวกับแขนของปี้อัน ดวงตาเธอเผยแววสับสน
ก่อนที่…
“แต่แค่นี้…”
เธอจะยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความบิดเบี้ยวและน่าเกลียดน่ากลัว