การถือกำเนิดเส้นทางผู้เหนือกาลจักรลำดับที่หนึ่ง - ตอนที่ 150 โรคประหลาด
บทที่ 150 – โรคประหลาด
“เดี๋ยวนะ.. ไม่ใช่ว่านี่อันตรายสุดๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอ”
มิวรีบพูดขึ้น ถ้าหากเป็นจริงดั่งว่าแล้ว ขืนปล่อยไปแบบนี้มนุษยชาติได้สูญพันธุ์แน่ๆ โดยที่สุดท้ายแล้วจะเหลือเพียงไม่กี่คนบนโลก
แถมเมื่อได้ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมิวก็ชักหวั่นๆ เรื่องครอบครัวตัวเองแล้วเหมือนกัน หากเธอไปต่างโลก พอถูกผนึกแล้วก็ถูกส่งข้ามโลกมาอยู่โลกเดิมด้วยเหตุผลบางอย่างจริงๆ
หากโลกนี้คือโลกเดิมเธอจริงๆ ไม่ใช่ว่าครอบครัวของเธอถูกลบให้หายออกไปจากโลกแล้วเหรอ..
ความคิดและความกังวลมากมายถูกแสดงออกมาทางสีหน้าของมิว ซึ่งอยู่ในการสังเกตของปี้อัน
“ใช่.. เพราะงั้นถึงมีพวกเราหน่วยปราบปรามเศษซากร่องรอยอารยธรรมไง”
“แต่พวกเธอก็ช่วยได้ไม่หมดใช่ไหมล่ะ เรื่องแบบนี้ควรจะ…”
มองจากดาวอังคารยังรู้ว่า สถานการณ์นี้มันไม่ง่ายขนาดที่แค่ใช้องค์กรระดับเล็กไม่กี่องค์กรจะสามารถช่วยไว้ได้.. แถมไอ้ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินี้เกิดขึ้นทุกที่ในโลก
ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ก็คงกำลังเกิดเหตุการณ์นี้ในที่ไหนสักแห่งในโลก.. รวมถึงคนรู้จักเธอก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกัน
“ควรจะเปิดเผยเรื่องนี้ ? .. นั่นเป็นไปไม่ได้ หากเปิดเผยเรื่องพวกนี้ออกไปละก็ ทุกคนจะหวังใช้ผลประโยชน์จากเศษซากร่องรอยอารยธรรมเหล่านี้เพื่อแย่งชิงช่วงชิง.. มนุษย์เป็นแบบนั้นมาตลอด”
เมื่อเธอกล่าวถึงจุดนี้ดวงตาของเธอก็เผยแววลึกล้ำที่มิวไม่อาจเข้าใจได้ ทำให้เธอไม่สามารถตอบโต้อะไรได้
“นอกจากนี้…”
เธอกล่าวต่อพร้อมกับก้มหัวให้มิวราวกับกำลังขอโทษเธออยู่ ก่อนที่เจ้าตัวดึงแขนเสื้อที่ปกปิดแขนทั้งสองข้างของเธอขึ้นมา
เมื่อมิวมองเห็นมือทั้งสองข้างอีกฝ่ายก็ผงะ.. ผิวหนังของมือสองข้างนั้นไม่ใช่สีขาวผุดผ่องเหมือนผิวพรรณส่วนอื่นๆ ของเธอ
เพราะมันเป็นสีแดงและจางลงเรื่อยๆ จนไปเป็นผิวปกติช่วงศอก.. แต่ก็เห็นชัดเจนว่ามันกำลังลามขึ้นไปเรื่อยๆ
มิวมองไม่ผิดว่านั่นคือผิวหนังเธอจริงๆ.. แต่ทำไมมันถึงเป็นสีแดง
“พวกเราเรียกมันว่า ‘โรคประหลาด’ … ที่พวกเราเรียกมันแบบนี้เพราะว่ามันไม่ได้ติดต่อผ่านการรับเชื้อโรคผ่านทางกายภาพ”
“พูดให้เข้าใจง่ายๆ เลยคือ.. โรคนี้จะติดต่อผ่านทางความคิด ความเชื่อ ความเข้าใจและเจตจำนง”
“และการที่ได้ความรู้เรื่อง ‘อารยธรรมที่ปนเปื้อน’ นี้เข้าไปก็เท่ากับว่าเธอได้ติดโรคประหลาดนี้ไปแล้ว”
“เพราะมันติดต่อผ่านทางความคิด.. และนั่นหมายความว่ายิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งเป็นผลดี ไม่ว่าจะในแง่กลัวคนชั่วใช้ผลประโยชน์หรือคนดีได้รับผลกระทบไปด้วย”
เธอกล่าวพร้อมกับมองไปที่มิว..
“และนั่นก็หมายความว่าตอนนี้เธอได้ติดโรคประหลาดนี้เข้าแล้วเหมือนกัน..เรื่องนั้นฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่ฉันสัญญาว่าจะลบความทรงจำให้”
เธอมองไปที่มิว ในมือของเธอทำท่าทางแปลกๆ ราวกับเตรียมรับมือหากมิวเป็นคนชั่วเธอจะลงมือกุมขังแล้วก็ใช้กำลังบังคับสอบถามข้อมูล
และรีบลบความทรงจำซะ..
ใช่แล้ว สาเหตุที่เธอช่วยคนไว้และคนพวกนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเธอมีพลังที่สามารถลบความทรงจำคนอื่นได้
แม้มันจะยุ่งยากไปสักหน่อย แต่นี่ก็เป็นวิธียับยั้งโรคประหลาดเพียงอย่างเดียวที่พวกเธอรู้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าหายจากโรคประหลาด
เพราะเธอแค่ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับอารยธรรมที่ปนเปื้อน ไม่ได้แปลว่าเธอไม่เคยรู้เรื่องนี้.. กล่าวคือหากเป็นแล้วก็คือเป็นเลยนั่นแหละ
ไม่มีวิธีหายขาด แค่ยับยั้งไม่ให้มันลุกลามไปมากกว่านี้เฉยๆ
หากยังปล่อยให้มันลุกลามต่อไป สุดท้ายแล้วคนคนนั้น… จะเป็นต้นกำเนิดให้เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติโดยที่… ไม่มีประตูบอร์เดอร์
และระดับความรุนแรงจะเหนือกว่าตอนมันมาพร้อมประตูบอร์เดอร์แบบเทียบไม่ติด!
“เธอต้องการอะไรจากฉัน”
พูดมาถึงจุดนี้มิวก็พอเข้าใจแล้วว่าสาเหตุที่อีกฝ่ายพล่ามอธิบายทุกอย่างจนปากเปียกปากแฉะ รวมถึงการที่อีกฝ่ายกล้าเปิดเผยเหตุผลนี้ให้มิวรับรู้
ทั้งที่มิวอาจจะเป็นคนชั่ว.. มิวเข้าใจแทบทันทีว่าอีกฝ่ายคงเดิมพันกับตัวเองไว้นั่นแหละนะ แน่นอนว่าพอเข้าใจจุดนี้
ก็พอข้าใจเรื่องว่าอีกฝ่ายอยากได้อะไรบางอย่างจากมิว.. แถมมิวที่ฟังมาถึงจุดนี้ก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้มันไกลตัวขนาดนั้น
เพราะนี่อาจจะเป็นเรื่องสำคัญที่อาจจะเกี่ยวข้องกับครอบครัวของเธอก็ได้.. หากมันลบครอบครัวของเธอออกไปจริงๆ
คำขอที่เธอควรขอจึงไม่ใช่กลับโลกเดิม เพราะเธออยู่โลกเดิมแต่แรกแล้ว.. เธอต้องขอให้ทุกคนฟื้นคืนชีพกลับมามากกว่า
พรขอได้แค่หนึ่ง.. ดังนั้นหากขอพลาดจะเป็นเหมือนรอบที่มิวขอให้ตัวเองย้อนเวลากลับไปฆ่าตัวเอง ไม่มีประโยชน์
“ทำไม.. เธอถึงไม่เป็นอะไรหลังจากที่โดนเศษซากร่องรอยอารยธรรมเข้าไป..?”
แน่นอนว่าทางด้านปี้อันก็รู้เช่นกันว่ามิวเข้าใจจุดประสงค์ของเธอ แต่ก็ไม่มีท่าทางเปลี่ยนไป ตรงข้ามอีกฝ่ายก็เข้าประเด็นสำคัญเลยทันที
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนประเภทที่เธอกลัวเอาไว้ กลับกันอีกฝ่ายยังตามเรื่องที่คุยทันด้วย หากเป็นคนปกติมีมึนงงไปหลายนาทีพอควร
ดังนั้นทางด้านปี้อันที่เข้าใจการกระทำของมิวก็เลยตรงเข้าประเด็นทันทีแบบไม่รีรอ..
อันที่จริงแล้ว ที่ทั้งสองคุยกันนั้น คนที่รักษาเอริเนียกับมิลลี่อยู่ต่างหากที่ตามไม่ทัน ไม่เข้าใจว่าทำไมปี้อันถึงบอกความลับกับคนนอก
ไม่เข้าใจว่าทำไมคนนอกถึงใจเย็นขนาดนั้น.. ทั้งสองเข้าสู่บทสนทนาที่เหมือนนักต่อรองกันไปแล้วนั่นเอง!
พอได้ยินคำถามอีกฝ่าย มิวก็ร้อง อ้อ ออกมาแทบจะทันที.. อีกฝ่ายคงสงสัยว่าทำไมมิวไม่เป็นอะไรสินะ
ก็แน่ล่ะ หลังจากที่คุยมามิวก็รู้ว่าไอ้ฝนนี่อันตรายขนาดไหน ไม่มีทางหยุดหรือรักษา ทางเดียวที่ทำได้คือตามแก้ไข
แต่ไอ้ภัยนี้กลับไม่มีอะไรแก้ไขได้ มองดูยังก็ตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ขีดสุดเลย แต่น่าเสียดายที่มิวช่วยอะไรไม่ได้เพราะ..
“ขอโทษที ถ้าอยากได้วิธีป้องกันจากฉันก็ไม่มีให้หรอกเพราะว่า…”
มิวลังเลนิดหน่อย แต่ก็พูดไปตามความจริงว่า
“ฉันมีพลังที่ไม่เกี่ยวข้องกับทุกอย่างที่เธอรู้จักในโลกนี้ และมันเป็นความสามารถติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะอะไรก็ไม่สามารถสัมผัสถึงตัวฉันได้”
“แต่พวกเธอก็มีชุดที่ต้านทานได้ไม่ใช่เหรอ.. อีกอย่างปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินี้ก็ไม่ส่งผลต่อวัตถุโดยตรงนี่”
มิวพูดออกไปแบบนั้น ปี้อันจึงตอบกลับว่า
“ไม่เหมือน ชุดพวกนั้นคือการอาศัยความสามารถของตัวมันในการหักล้างมันเอง.. และวัตถุถ้าอยู่เฉยๆ มันก็ไม่มีผลลัพธ์หรือต้นเหตุได้ด้วยตัวเองได้”
“แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีอยู่.. พูดให้ถูกก็คือ สุดท้ายแล้วมันก็ยังมีเหตุที่ว่าใครสร้างมันและผลลัพธ์ของการถูกสร้างก็คืออยู่ตรงนี้”
“หรือก็คือถ้ายังโดนต่อเนื่องไปอีกพักใหญ่ สุดท้ายก็จะพังทลายสลายหายไปอยู่ดี”
เธอชี้นิ้วไปยังตึกที่อยู่ตรงข้าม บนตึกเหมือนมีรูปร่างที่เปลี่ยนไป..
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าอะไรถูกลบหายไปโดยสายฝนเหล่านั้น แต่ตึกที่ฉันเคยเห็นไม่มีตึกแบบนั้นอยู่บนโลกนี้”
เมื่อมิวมองตามสิ่งที่อยู่ตรงนั้นคือตึก.. ที่มีรูพรุนจำนวนมากเต็มไปหมดทั้งตึก.. ซึ่งน่าจะเกิดจากการได้รับผลกระทบจากฝน..
และแน่นอนต่อให้ปี้อันหรือคนอื่นจะไม่รู้ว่าตึกแปลกไปยังไง อย่างมากก็ทำได้แค่เปรียบเทียบกับตึกอื่นๆ
แต่ว่ามิว..กลับรู้ดีว่าตึกนั้นก่อนหน้านี้เป็นยังไง
ราวกับเธอไม่ได้รับผลกระทบจากอารยธรรมที่ปนเปื้อน
ที่จะลบตัวตนของทุกสิ่งอย่าง!!
…………………..
[เอกสารว่าด้วยเรื่องอารยธรรมที่ปนเปื้อนของสำนักเหวินหมิง]
ระดับความสำคัญ – สูงที่สุด (หน่วยปราบปรามควรทราบทุกคน)
Civilization Contaminate (อารยธรรมที่ปนเปื้อน) – ไม่รู้แหล่งที่มา เกิดขึ้นได้ยังไง จากอะไร และเกี่ยวข้องกับประตูบอร์เดอร์ยังไง
แต่มันจะสร้างปรากฏการณ์ที่คนบนโลกเรียกว่า “ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ” ซึ่งจะมาในรูปแบบภัยพิบัติต่างๆ ที่ยากจะอธิบาย เช่น ฝนที่เป็นไฟ ฟ้าผ่าเป็นสายน้ำ แสงวิ่งด้วยความเร็วที่ช้ากว่าเสียง ฯลฯ ทุกอย่างที่อยู่เหนือจินตนาการเกิดขึ้นได้หมด
และหากบางสิ่งบางอย่างโดนปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติสัมผัสเข้า ผลลัพธ์และต้นเหตุจะถูกหลอมผสานเข้ากัน จะทำให้เกิดบางสิ่งอย่างที่คาดเดาไม่ได้ แต่ทุกอย่างที่เกิดล้วนเกี่ยวข้องกับการเจ็บปวด (คาดว่ามันไปปนเปื้อนความเสถียรภายในตัวตนของสิ่งต่างๆ ที่มันสัมผัส) หากโดนไปสักพักตัวตนจะถูกลบหายไปจากทุกๆ อย่างบนโลก ร่องรอย ความทรงจำ ทุกสิ่งอย่างจะไม่มีอยู่อีกต่อไป (มีแค่คนในสำนักที่ทราบเรื่องนี้ ไม่ควรเผยแพร่ออกนอกสำนัก หากเผยแพร่โทษสถานเดียวที่รับคือตาย)
วัตถุจะไม่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติในช่วงแรก เนื่องจากมันคือวัตถุที่ไม่สามารถสร้างต้นเหตุและผลลัพธ์ของมันได้เอง แต่หากผ่านไปสักพักก็จะเหมือนสิ่งมีชีวิตคือจะถูกลบหายไปในเวลาต่อมา (ขึ้นอยู่กับความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ยิ่งดัง ยิ่งรู้จักเยอะยิ่งหายไปเร็ว ยิ่งธรรมดา ยิ่งคนรู้จักน้อยยิ่งหายช้า สาเหตุไม่ถูกระบุไว้)
เพิ่มเติม – โรคประหลาด คือผลลัพธ์เมื่อเข้าใจถึงอารยธรรมที่ปนเปื้อน จะทำให้ติดโรคนี้หากยังติดต่อไปจะทำให้เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่รุนแรงที่สุดแบบตอนที่มาพร้อมกับประตูบอร์เดอร์เทียบไม่ได้
ในประวัติศาสตร์ของสำนักยังไม่เคยมีปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะจะป้องกันโดยการลบความทรงจำก่อนที่จะถึงขีดอันตราย… หรือถ้าหากไม่ทันการ…
ก็จะต้องถูกประหาร