การถือกำเนิดเส้นทางผู้เหนือกาลจักรลำดับที่หนึ่ง - ตอนที่ 149 Civilization Contaminate
บทที่ 149 – Civilization Contaminate
“หน่วยปราบปรามเศษซากร่องรอยอารยธรรม?”
มิวพึมพำเบาๆ ตามที่อีกฝ่ายแนะนำตัว มิวไม่เคยอ่านเจอข้อมูลขององค์กรนี้มาก่อนเลยในเน็ต.. นอกจากนี้ชื่อเจ้าตัวรวมถึงชุดที่ใส่น่าจะมาจากจีน
รวมถึงชื่อองค์กร น่าจะเป็นองค์กรจากจีนไม่ผิดแน่ๆ แต่คำถามคอมันทำงานเกี่ยวกับอะไร ทำงานยังไง
แถมไอ้การรักษาเหตุประหลาดที่เกิดขึ้นได้ ทั้งที่มิวยังทำอะไรไม่ได้นี่ทำให้มิวรู้สึกสับสนมาก..
ก่อนอื่น เธอรู้ว่าฝนนั้นคือฝนเหนือธรรมชาติที่เคยอ่านเจอ.. เมื่อประตูบอร์เดอร์ปรากฏขึ้นมา มันจะนำพาปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติมาด้วย
บ้างก็ฝนตกเป็นไฟ บ้างก็หิมะตกในเขตร้อน บ้างก็มีเมืองกลับหัวกลับหางปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
ดังนั้นผู้คนจึงเรียกว่าปรากฏการณ์นี้ว่า ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนธรรมชาติรูปแบบหนึ่ง เหมือนฝนตก ฟ้าร้อง
แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกลับอยู่นอกเหนือสามัญไปจนหมด.. แต่มิวไม่ยักรู้เลยว่าหากโดนปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติจะไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีของมิว
อย่างน้อยๆ คนที่ได้รับผลกระทบก็ถูกช่วยเอาไว้ได้ตลอด ซึ่งการช่วยเหลือจากคนธรรมดาควรจะอ่อนด้อยกว่าพลังของมิว
แต่ทำไมมิวถึงรักษาไม่ได้ แถมคนที่มารักษาจริงๆ ก็เป็นองค์กรไม่สามารถระบุตัวตนได้ชัดเจนอีก
ในหัวมิวมีแต่คำถามเต็มไปหมด
ในขณะเดียวกันปี้อันมองมิวตั้งแต่หัวจรดเท้า และอย่างที่คาดมิวไม่มีผลกระทบที่ได้รับจากฝนเหนือธรรมชาติเลยแม้แต่นิดเดียว
นอกจากนี้ผู้หญิงที่ได้รับบาดเจ็บสองคนยังมีบาดแผลเดียวกัน แถมมีอาวุธน่ากลัวนอนกองอยู่บนพื้นเต็มไปหมด
ต่อให้ปี้อันมองจากนอกโลกยังรู้ ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดา และสถานะของเจ้าตัวอาจจะสุดยอดกว่าที่คิด
อันที่จริง.. หากเธอได้อ่านข่าวหรือเนื้อหาต่างๆ บนโลกอินเทอร์เน็ตคงรู้จักมิวทันที.. น่าเสียดายที่ผู้ฝึกตนนั้นปลีกวิเวกจากโลกด้านนอกโดยสิ้นเชิง
จึงไม่รู้จักมิวเลย.. แถมมีความเป็นไปได้ว่ามิวจะเป็นตัวอันตรายอีกด้วย ทว่าเมื่อพิจารณาถึงมิวที่สามารถยืนอยู่กลางฝนได้ด้วยตัวเปล่าแล้ว
ปี้อันก็อดไม่ได้ที่จะปรากฏตัวออกมาตรงๆ..
หลังจากทั้งสองเงียบลงพักใหญ่… มิวก็ถามขึ้น
“มันคืออะไร”
ดวงตาของปี้อันลังเลเล็กน้อย เธอไม่อยากเปิดเผยข้อมูลที่พวกเธอมีสู่โลกภายนอกเท่าไหร่ เพราะตลอดมาก็เป็นแบบนั้น
แต่จากท่าทางอีกฝ่ายที่ไม่รู้จัก ‘อารยธรรมที่ปนเปื้อน (Civilization Contaminate) ’ กลับสามารถต้านทานฝนได้.. หากพวกเธอมีความสามารถนั้นบ้างละก็…
กลิ่นผลประโยชน์นั้นหอมหวานเกินไป
ปี้อันมองไปที่ดวงตาของมิวราวกับจะตรวจสอบว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนดีหรือเปล่า แต่เมื่อมองลงไปในหุบเหวมืด หุบเหวมืดก็จักจ้องมองกลับมา
เมื่อปี้อันมองลงไปยังดวงตาของมิว สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงความมืดมิดไร้ก้นบึ้ง ไร้ขอบเขต..
เธอสะดุ้ง เหงื่อไหลเย็น…
“พลังจิตฉัน.. สู้เธอไม่ได้เหรอ”
เธอไม่เคยเห็นพลังจิตใครทรงพลังขนาดต้านทาน “เนตรตื่นรู้” ของเธอได้ ในโลกนี้เธอไม่เคยเจอมาก่อนเลย.. ความกลัวจึงมีมากขึ้นไปอีก
ไม่รู้ว่าเป็นคนดีหรือคนเลว ไม่รู้ว่าทำอะไรได้..
แต่หากมีพลังที่สามารถต้านทานอารยธรรมที่ปนเปื้อนได้ละก็….
นอกจากนี้ อย่างน้อยที่สุดหากอีกฝ่ายเป็นคนไม่ดี เธอก็ยังมีหนทางที่รับมืออยู่เหมือนกัน วิธีที่เธอใช้ปกปิดความลับละนะ
ถ้าอีกฝ่ายเก่งแค่ด้านพลังจิตก็คงพอใช้วิธีนั้นได้อยู่ ดังนั้นนี่จึงเป็นการเดิมพันที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง แต่เพื่อชีวิตคนอีกหลายล้านมันก็คุ้มค่า
และแม้จะเป็นการดึงอีกฝ่ายเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยก็ตามที.. แต่มันก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีแก้ไข อีกอย่างถ้าอยากได้วิธีการของอีกฝ่ายจะไม่เดิมพันเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
ของฟรีไม่มีในโลก
“พวกเราคือหน่วยที่จะจัดการและคอยควบคุมอารยธรรมที่ปนเปื้อน (Civilization Contaminate) ”
“อารยธรรมที่ปนเปื้อน ก็ตามชื่อของมันเลย.. เป็นอารยธรรมที่ถูกปนเปื้อนด้วยพลังงานบางอย่างที่พวกเราไม่รู้จักและไม่รู้จักจะดีกว่า”
“คนบนโลกนี้เรียกมันว่า ‘ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ’ และมันก็ถูกแต่ก็แค่ส่วนหนึ่ง เราไม่รู้หลักการของมันมากนัก”
“แต่ทว่าทุกสิ่งอย่างที่สัมผัสกับตัวมัน ผลลัพธ์กับต้นเหตุจะกลายเป็นสิ่งเดียวกัน..”
เมื่อมิวได้ยินแบบนั้นมิวก็เลิกคิ้วขึ้น
“หมายความว่าไง”
“หมายความคือ.. สมมุติเธอตีไม้ ไม้หัก.. ตีไม้คือต้นเหตุ ผลลัพธ์คือไม้หัก.. หากทั้งสองอย่างรวมกันหมายความว่าไม้ต้องหักก่อน ถึงตีไม้ได้ และต้องตีไม้ได้ก่อน ไม้ถึงหัก.. เพราะทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียวกันมาตั้งแต่แรก”
“หมายความว่าไง”
มิวยังไม่เข้าใจเท่าไหร่
“หรือก็คือการที่เกิดอะไรบางอย่างกับสิ่งที่โดนอารยธรรมที่ปนเปื้อนไป จะไร้ซึ่งตรรกะเกณฑ์ในการวัด เพราะต้องให้เหตุเกิดก่อนผล และให้ผลเกิดก่อนเหตุ”
“มันเป็นไปไม่ได้ในทางตรรกะเชิงความคิด ถ้าให้ผลลัพธ์เกิดก่อนเหตุ นั่นคือการข้ามเวลา และการให้เหตุเกิดก่อนผลนั่นคือปกติ แล้วอะไรคือการที่ต้องทำให้ทั้งสองอย่างนี้เกิดขึ้นก่อนกันทั้งคู่ได้ล่ะ”
“ใช่ ไม่มีทางเกิดขึ้นได้โดยเด็ดขาด”
แน่นอนว่าหากจับจุดตรงนี้ได้ก็จะมองออกอย่างหนึ่ง.. การทำให้เกิดแบบนั้นได้คือต้องผ่านตัวกลางที่เรียกว่าอารยธรรมที่ปนเปื้อนซึ่งมาในรูปแบบของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ
และปรากฏการณ์พวกนี้ก็ไม่ส่งผลโดยตรงต่อวัตถุที่ไม่สามารถสร้างต้นเหตุและผลลัพธ์ด้วยตัวมันเองได้
หรือก็คือสามารถเก็บ อารยธรรมที่ปนเปื้อน ไว้ได้..และสามารถนำมันไปใช้ก่อวินาศกรรมต่างๆ ได้
แม้ในโลกนี้จะมีหลายแห่งพยายามจะวิจัยอารยธรรมนี้สุดท้ายก็เป็นไปไม่ได้ในทางหลักตรรกะ เพราะตัวมันเองอยู่นอกเหนือแนวคิดของเวลาทั้งปวง
ไม่มีทางที่คนจะสามารถวิเคราะห์และเข้าใจว่าอารยธรรมที่ปนเปื้อนนี้ทำอะไรได้.. จะว่าไงดีไม่มีคนคิดถึงว่าสามารถใช้กระปุกแก้วเก็บไอ้น้ำฝนไปสาดใส่คนอื่นนั่นแหละ
เพราะแค่การดำรงอยู่ของมันก็อยู่นอกขอบเขตการตีความไปแล้ว
แต่หากมีคนมาบอกว่า.. ‘มันทำอะไรได้’ ขึ้นมาละก็การจะคิดใช้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ เพราะพวกเธอก็ใช้มันมาทำเป็นชุดเพื่อต่อต้านอารยธรรมที่เป็นเปื้อนเอง
ดังนั้น. ข้อมูลที่พวกเธอมีมันจึงเป็นข้อมูลที่ควรจะเก็บไว้ลับที่สุดโดยไม่ให้คนนอกที่อาจจะเป็นคนชั่วรู้ได้โดยเด็ดขาด
เพราะการเข้าใจความรู้นี้.. เท่ากับเข้าใจกฎบางส่วนของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินั่นเอง
นอกจากนี้หากรู้เรื่องนี้เข้า.. ต่อให้ไม่ใช่คนไม่ดีก็…
ปี้อันแสดงสีหน้ารู้สึกผิดต่อมิวเล็กน้อย
“และนั่นก็หมายถึง ‘Error’ ซึ่งถ้าเอาตามแนวคิดนี้แล้วหากถูกฝนจากอารยธรรมที่ปนเปื้อนตกใส่ควรจะไม่มีต้นเหตุหรือผลลัพธ์ กลายเป็นว่ามันต้องไม่เกิดอะไรขึ้น”
มิวพยักหน้า เพราะเธอก็คิดได้แบบนั้น แต่ที่เอริเนียโดนเป็นอาการบาดเจ็บมากกว่า
“อย่าลืมส่าสิ่งที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติขึ้นคืออารยธรรมที่ ‘ปนเปื้อน’ ซึ่งตัวตนของเราดำรงอยู่ภายใต้กรอบของเหตุและผล กลับถูกทำให้ Error โดยการปนเปื้อน.. นั่นหมายความว่าตัวตนของเราก็จะถูกปนเปื้อนด้วยอารยธรรมโดยไม่มีเหตุผลของสิ่งที่เกิดขึ้นรองรับให้เป็นตรรกะ”
“สรุปเลยก็คือ.. จะเกิดอาการผิดปกติตามร่างกายโดยไม่สนตรรกะหรือเหตุผลใดๆ และท้ายที่สุดก็จบลงด้วย… การดำรงอยู่ถูกลบหายไป”
“นั่นก็แน่นอนอยู่แล้วสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีเหตุผลในการดำรงอยู่บนโลก ก็ต้องหายออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้มิวก็เริ่มตามเรื่องราวทัน ขนเธอลุกซู่พร้อมกับพูดขึ้น
“เดี๋ยวนะ นั่นหมายความว่า…”
“ใช่แล้ว.. ปัจจุบันประชากรทั้งโลกหากไม่นับคนที่ตายไปจากตึกพังถล่มหรือเหลือเพียงไม่กี่ร้อยล้านคนเท่านั้นทั่วโลก”
มิวอึ้งงัน.. จะว่าไปในญี่ปุ่นเมืองที่มีคนเยอะก็มีไม่กี่เมือง แถวบ้านนอกเธอแทบไม่มีคนอยู่ กลายเป็นเหมือนพื้นที่รกร้าง
“ด้วยพลังของฉัน ทำให้ฉันจำได้ว่าประชากรก่อนที่จะเริ่มมีประตูบอร์เดอร์นี้ปรากฏขึ้นมีมากถึงแปดพันล้านคน”
“นั่นหมายความว่าคนราว 80% ของโลกใบนี้ถูกลบให้หายไปจากความทรงจำทุกคนโดยไม่มีใครทราบหรือรับรู้ถึงได้แล้วนั่นเอง แม้พวกเราพอจะหาทางช่วยก็ไม่จะไปได้ทุกที่.. อย่างมากก็แค่ในเอเชียไม่กี่ประเทศ”
หน้ามิวซีดลง.. บางที.. โลกนี้..อาจจะตกอยู่ในวิกฤตกว่าที่มิวจะจินตนาการออกแล้วก็ได้..
เพราะประชากรทั้งโลกถูกลบให้หายออกไป โดยที่ไม่มีใครรู้ เมื่อเห็นสีหน้าของมิวปี้อันยิ่งโล่งอก รู้ว่ามิวไม่ได้ไม่สนใจประชากรที่ตายไป
แต่ก็นะคนที่จำประชากรเดิมได้ในโลกนี้มีแค่เธอนั่นแหละ เพราะเนตรตื่นรู้ของเธอนั่นแหละ.. แต่เธออาจจะไม่รู้มิวก็รู้ว่าโลกนี้มีประชากรมากกว่าแปดพันล้านในปี 2025 ที่เธอตายเหมือนกัน
“แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดในเอเชียตอนนี้ก็คงเป็นประเทศ ‘ไทย’ เพราะคอร์รัปชันโกงกินและความเห็นแก่ตัวของประชากรชั้นสูงในประเทศ”
“ทำให้ตอนนี้ผลกระทบจากบอร์เดอร์แทบจะพรากชีวิตผู้คนไปมากกว่า 60 ล้านคนแล้ว.. โดยที่ไม่มีใครรู้ตัวเลยน่ะ”