การถือกำเนิดเส้นทางผู้เหนือกาลจักรลำดับที่หนึ่ง - ตอนที่ 148 หน่วนปราบปรามเศษซากร่องรอยอารยธรรม
- Home
- การถือกำเนิดเส้นทางผู้เหนือกาลจักรลำดับที่หนึ่ง
- ตอนที่ 148 หน่วนปราบปรามเศษซากร่องรอยอารยธรรม
บทที่ 148 – หน่วยปราบปรามเศษซากร่องรอยอารยธรรม
พลังเทพมังกร… เป็นพลังที่ไร้เทียมทานมาก แม้แต่ในโลกนี้ที่มีคนมีพลังแข็งแกร่งอยู่มากมายนับไม่ถ้วนนี้
พลังของเทพมังกรยังคงใกล้เคียงกับคำว่าไร้เทียมทาน เอาเข้าจริงพอมิวมองย้อนกลับไปเธอยังงงว่าผู้กล้าเอริเนียผนึกตัวเองได้นี่มันแค่โชคช่วย
ที่ในตอนนั้นเธอไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเฉยๆ แถมมิวยังรู้สึกว่าผู้กล้าเอริเนียดูน่าสงสารมากกว่าจะมองเป็นศัตรู หากมิวมองว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู
รวมถึงเข้าใจพลังเทพมังกรได้แบบในตอนนี้.. บางทีโอกาสที่จะถูกผนึกเอาไว้คงมีไม่ถึงหนึ่งในร้อยแน่ๆ
อย่างไรก็ตามผู้กล้าเอริเนียก็แข็งแกร่งจริงๆ ถึงขั้นจัดการเผ่ามังกรลงได้ด้วยตัวคนเดียว ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเพราะดาบพิลึกกึกกือที่มิวก็ไม่เข้าใจคุณสมบัติมัน
แถมว่ากันตามตรงแล้วดาบเล่มนั้นเป็นอาวุธชนิดเดียวที่สามารถโจมตีฝ่า อัตลักษณ์ ‘นิรันดร์’ ของมิวได้ด้วย
และหนึ่งในสิ่งที่มิวมั่นใจว่าพลังของเทพมังกรที่ตัวเธอเองเข้าใจในตอนนี้นั้นยังมีไม่ถึงเสี้ยวก็คือ.. การอัญเชิญสิ่งที่มิวไม่รู้จักออกมาอีกแล้ว
อันที่จริงตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังออกจากหอคอย มิวก็พยายามอัญเชิญอะไรต่างๆ ออกมาอยู่หรอก แต่ถ้ามิวไม่รู้ว่าจะเรียกใครออกมา สิ่งนั้นก็จะไม่ตอบสนอง
นอกเสียจากจะใช้ความต้องการแรงกล้า.. พูดให้ถูกก็คือถ้ามิวไม่อยากใช้มันจริงๆ มันจะไม่ออกมา.. ถ้าไม่ใช่สิ่งที่มิวรู้จัก
แต่ถ้าแบบผู้กล้าเอริเนียไรงี้ แค่นึกภาพก็เรียกออกมาได้แล้ว
จะว่าไงดีมันก็เหมือนกบการที่ถ้าเราไม่รู้ว่าตัวเองมีหัวใจอยู่ไหม เพราะมองไม่เห็น แม้จะจับไปที่อกและสัมผัสว่าหัวใจกำลังเต้นอยู่
แต่เราก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรมันกำลังเต้นอยู่ แค่มันอยู่ในตัวเรา.. ตรงข้ามหากเรารู้ว่าหัวใจอยู่กำลังเต้นอยู่เราจะรู้ว่าอะไรกำลังทำให้เรามีชีวิตอยู่
เข้าใจฟังก์ชันว่ามันทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ยังไง… การอัญเชิญอัตลักษณ์ก็เหมือนกัน แม้มิวจะรู้ว่ามีอะไรหลายอย่างหลับใหลอยู่ในตัว
แต่มิวก็ไม่สามารถเรียกมันได้ว่ามันคืออะไร เพราะเธอไม่รู้จักมัน.. แต่มันก็มีอยู่.. หากมิวไม่อยากใช้ฟังก์ชันนั้นแบบจริงๆ จังๆ มันจะไม่ตอบสนอง
สรุปง่ายๆ เลยก็คือถ้าไม่ใช่สถานการณ์แบบนี้ ถ้าคิดแค่ว่าอยากจะลองดูเฉยๆ มันจะไม่สามารถเรียกให้สิ่งที่ไม่รู้จักปรากฏได้
แต่ถ้าจวนตัวหรือต้องการใช้สัญชาตญาณร่างกายจะทำงานเรียกสิ่งที่ดีที่สุดโดยอัตโนมัติ.. ซึ่งนี่แหละที่ทำให้เรื่องราวยุ่งยากขึ้น
หมายความว่าถ้ามิวไม่รู้จัก และสัญชาตญาณของเธอไม่สั่งอัตลักษณ์ว่าจำเป็นจริงๆ เธอแทบจะยุ่งเกี่ยวอะไรกับการอัญเชิญอัตลักษณ์ไม่ได้เลย
ซึ่งเป็นเหตุผลที่มิวไม่อยากหวังพึ่งการอัญเชิญอัตลักษณ์เท่าไหร่ เนื่องจากไม่รู้ขอบเขต ความสามารถหรือสิ่งที่ต้องให้
และเงื่อนไขที่ว่าสัญชาตญาณของเธอจะตอบสนองต่อความต้องการเธอต้องอยู่ระดับไหนถึงจะเรียกออกมาได้ เรียกได้ว่ามิวมีพลังก็เหมือนไม่มี
เพราะสุดท้ายแล้ว คำว่าสัญชาตญาณมันก็เลื่อนลอยเกินไป เหมือนกับการที่มนุษย์เห็นของสีฟ้าแล้วความอยากอาหารจะลดลง
ซึ่งอาจจะเป็นผลลัพธ์มาจากการที่บรรพบุรุษของมนุษยชาติกลัวพิษและพอวิวัฒนาการขึ้นมามันยังหลงเหลือในสัญชาตญาณอะไรทำนองนั้น..
และสิ่งที่ปรากฏตัวตรงหน้ามิว.. มิวก็รู้สึกว่ามันไม่สัมพันธ์กับความต้องการของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่า….
เธอ… ไม่ยักรู้สึกเลยว่านี่มันคือคนที่จะสามารถรักษาคนอื่นได้.. มองยังไงมันก็สายโจมตีชัดๆ
“เธอ..รักษาคนได้ไหม ตอนนี้ยัยนี่เป็นอะไรดูได้หรือเปล่า ?”
แต่มิวไม่มีเวลามานั่งตบมุกเธอรีบถามขึ้นพร้อมชี้นิ้วไปที่ร่างที่โชกไปด้วยเลือดของผู้กล้าเอริเนีย..
“เอ่อ…”
มิลลี่เงียบและมองไปทางผู้กล้าเอริเนีย..
“โดนฟันค่ะ..”
ก่อนที่สายตาจะหันไปเห็นดาบที่อยู่ในมือมิว
“โดนนายท่านฟันค่ะ”
“….”
เออ นั่นก็จริง แต่ไม่ใช่สิ.. ก่อนที่มิวจะทันได้ตอบกลับดาบสองเล่มพุ่งออกจากจักรด้านหลังของมิลลี่ เล่มหนึ่งพุ่งไปแทงผู้กล้าเอริเนีย อีกเล่มหนึ่งพุ่งแทบเข้าตัวเธอเอง
และจังหวะนั้นเอง… ความเจ็บปวดทั้งหมดก็ถูกส่งตรงเข้ามายังร่างของมิลลี่ ร่างที่ไร้แผลก็มีแผลโผล่ขึ้น เลือดสีแดงพุ่งออกจากรอยแผลที่อยู่จุดเดียวกับแผลของเอริเนีย
ไม่เพียงแค่นั้นจังหวะที่เลือดพุ่งออกมานั้น หอกสองเล่มก็พุ่งเข้ามาแทงมิลลี่ อีกเล่มก็พุ่งแทงใส่กำแพง.. มองดูไกลๆ แล้วภาพนี้สยองไม่น้อยเลย
เด็กคนหนึ่งโดนดาบเล่มหนึ่งหอกเล่มหนึ่งแทง ผู้หญิงอีกคนนอนแน่นิ่งโดนดาบปัก.. โดยมีมิวยืนถือดาบเล่มหนึ่งอยู่
มองยังไงก็มิวคือคนร้ายฆาตกรสุดโฉด
แต่ตอนนี้มิวก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที เพราะเวลาพริบตาต่อมานั้นเอง ดวงตาของมิลลี่เบิกโพลง
ดาบทั้งสี่เล่มแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ร่างของเธอเริ่มมีเลือดไหลออกตามรูขุมขนบ้าง บาดแผลที่อยู่ในตัวของเธอต่างไม่หายไป.. รวมถึงร่างของเอริเนีย บาดแผลก็ไม่ได้หายไปไหนด้วย
“ห้ะ.. นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
มิวอุทานเสียงหลงออกมา ถึงจะรู้ว่าเมื่อกี้มิลลี่พยายามทำอะไรบางอย่าง แต่การที่มันเกิดภาพนี้ขึ้นหมายความว่าไม่สำเร็จเป็นแน่
มิวพุ่งตัวเข้าไปดูทั้งสอง.. ทว่า..
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ”
หลังมิวก็มีคนสวมชุดแปลกประหลาดโผล่ขึ้นมาย่างเงียบเชียบ มิวสะดุ้งแม้แต่จิตมังกรของเธอยังสัมผัสไม่ได้..พอมิวหันกลับไปมอง..ก็เข้าใจทันทีว่าเป็นเพราะชุดนั่นแน่ๆ
กลุ่มคนหลายสิบคนปรากฏขึ้น เพราะใช้ชุดประหลาดเหมือนหน่วยพิเศษเลยไม่เห็นหน้า.. ท่ามกลางคนที่ปกปิดใบหน้าเหล่านั้น
ผู้หญิงผมสีขาวซีด คิ้วสีขาวซีด ตาสีขาวซีด ชุดขาวโพลนไปทั้งตัว ที่ดูโดดเด่นในพื้นที่มืดสนิท แต่กลับดูเบาบาง เปราะบางราวกับสามารถหายไปได้ทุกเมื่อ
แถมยังดูเลื่อนลอย.. ดูเก่าแก่.. เป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่มิวไม่อาจบรรยายออกมาได้เลย..
“หากเข้าไปใกล้มากกว่านั้น.. จะติดเอานะ”
“ติด…? นี่เธอพูดถึงเรื่องอะไร ?”
“Civilization Contaminate (อายธรรมที่ปนเปื้อน) ”
โดยไม่รอให้มิวได้ตอบสนอง หญิงสาวผมสีฟ้าก็ยกมือขึ้น
คนที่ล้อมตัวเธออยู่ก็กระจายกำลังออกไปรอบทิศเพื่อตรวจหาผู้ประสบภัย ในขณะที่เหลือไว้ที่นี่แค่สองคนไม่รวมผู้หญิงผมสีฟ้า
สองคนนั้นวาดมือลักษณะแปลกๆ ก่อนที่จะมีเข็มทิศฮ้วงจุ้ยจีนปรากฏขึ้น พร้อมพุ่งไปโอบล้อมร่างของมิลลี่กับผู้กล้าเอริเนียเอาไว้
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเหมือนไม่ได้เกิดจากพลังประเภทใดๆ ในโลกที่มิวรู้จัก.. นี่ไม่ใช่พลังจากอารยธรรมอีกโลกหนึ่ง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นพลังจากระบบที่เกิดขึ้นเพราะพลังของมิวเองเลย เพราะมิวรู้จักระบบดีที่สุด แม้เธอจะไม่มีระบบก็ตามที
ดังนั้นมิวจึงมั่นใจว่านี่ไม่ใช่พลังของอารยธรรม หรือพลังของระบบพิเศษ
พอมองไปยังเอริเนียกับมิลลี่หลังจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนแปลกหน้า บาดแผลทั้งสองเหมือนจะเริ่มบรรเทาลงไปแล้ว ยิ่งสร้างความสับสนให้กับมิว
กับ…. สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น แต่อย่างเดียวที่มิวมั่นใจ กลุ่มคนพวกนี้ไม่เคยถูกกล่าวถึงในเน็ต และไม่ใช่คนไม่ดีรวมถึงมีวิทยาการที่โลกนี้ ไม่น่าจะมีอยู่
“พวกเธอเป็นใคร”
เมื่อมิวถามออกไปแบนั้นหญิงสาวก็กุมมือทั้งสองข้างโค้งเคารพยังกับหลุดมาจากนิยายจีน จะว่าไปเมื่อมิวมองยังชุดสีขาวของอีกฝ่ายก็ดูเหมือนชุดนักพรตจากหนังจีนที่เคยดู เธอพูดขึ้นด้วยมารยาท
“ฉันชื่อว่า ปี้อัน จากสำนักเหวินหมิง หน่วยปราบปรามเศษซากร่องรอยอารยธรรม”