การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 92
บทที่ 92 – สั่นสะเทือน
บนเกาะร้างแห่งหนึ่ง.. เกาะนี้มีลักษณะทรงกลมที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเกาะประมาณสี่ถึงห้ากิโลเมตร รอบเกาะมีชายหาดสีขาวสะอาดตา
บนชายหาดรอบเกาะไม่มีกิ่งไม้สักกิ่งที่ลอยตามทะเลมาติดอยู่บนชายทะเลเลย เรียกได้ว่าเป็นชายหาดที่สะอาดเหมือนมีคนดูแล
และเพราะแบบนั้นทำให้เกาะแห่งนี้ดูเปล่าเปลี่ยวมากกว่าเดิม ส่วนทะเลสีครามนั้นทอดยาวออกไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา
ราวกับว่าเป็นเกาะเดียวที่มีอยู่ในมหาสมุทรที่ไร้จุดสิ้นสุดแห่งนี้เลยก็ว่าได้ .. แต่บนชายฝั่งที่สะอาดตาตอนนี้หากมองจากมุมบน
จะเห็นจุดสีดำๆ สองจุดที่นิ่งอยู่บนชายหาดทางด้านทิศเหนือของเกาะ มองดีๆ แล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นคนสองคนที่ไม่ได้สติเกยตื้นขึ้นมาจากไหนไม่รู้
แน่นอนว่าทั้งสองคนนี้คือทสึรุกับเลทิเซีย.. ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วแต่ในตอนนั้นเองทสึรุก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
แผลทั่วร่างหายเป็นปลิดทิ้ง อันที่จริงมันหายตั้งนานแล้วแหละ ทสึรุลืมตาขึ้นช้าๆ ดูเหมือนว่ากำลังสะลึมสะลือ
“ที่นี่คือ…”
ขณะที่เธอพยายามดันตัวขึ้นจากพื้นชายหาด และความทรงจำก่อนที่จะหมดสติก็ไหลทะลักเข้ามา
ความทรงจำสุดท้ายของเธอคือ เธอถูกเลทิเซียกอด.. และในตอนนั้นวิสัยทัศน์ทั้งหมดก็มืดดับลง
ดวงตาของทสึรุเบิกกว้างทันทีที่นึกขึ้นได้
“เลทิเซีย!”
เธอลืมตาขึ้นหันซ้ายหันขวา ก็เหลือบไปเห็นเลทิเซียนอนคว่ำลงบนซ้ายมือข้างขวาที่เหลืออยู่จับมือของทสึรุไว้แน่น
หากไม่มั่นใจว่ามันแน่นขนาดไหน ก็ดูที่มือของทสึรุมันมีรอยช้ำจากฝีมือของเลทิเซีย.. ใจทสึรุเต้นแรง
“เลทิเซีย!!”
เธอจับมือเลทิเซียไม่ปล่อยเช่นกัน และทสึรุก็เขย่าร่างของเลทิเซียเบาๆ แต่ทว่าเลทิเซียไร้การตอบสนอง
สีหน้าของทสึรุบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความสับสน มือของเลทิเซียตอนนี้เย็นชืดและแข็งเหมือนกับหิน.. ราวกับเป็นศพที่ตายไปแล้ว
แต่ทสึรุไม่เชื่อเธอพลิกร่างเลทิเซียกลับขึ้นมาดู ใบหน้าเลทิเซียตอนนี้กลายเป็นสีขาวซีดไร้สีเลือด
อันที่จริงร่างเธอเริ่มผอมลงไปด้วยแล้วเห็นแม้แต่กระดูกภายในร่างกาย สีหน้าของทสึรุบิดเบี้ยว
“เลทิเซีย! ตื่นขึ้นมาสิ!!”
ทว่าแม้เธอจะเขย่าแรงแค่ไหนร่างของเลทิเซียก็ไร้การตอบสนอง… ดวงตาของเธอปิดสนิทหากมีผู้เชี่ยวชาญด้านศพมาอยู่ใกล้ๆ
คงมองออกทันทีว่า อย่างน้อยก็ตายมาแล้วมากกว่าสามวัน ทสึรุไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ตอนนี้เธอเห็นแค่ศพของเลทิเซียที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง.. ความเศร้าถาโถมเข้ามาทำเอาเสียงกรีดร้องของเธอดังขึ้น
ในป่าอันเงียบสงบ เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความสิ้นหวังดังสนั่นไปทั่วเกาะ หน้าของทสึรุทรุดลงกับร่างของเลทิเซีย
น้ำตาที่เต็มไปด้วยความเศร้า หยดลงไปโดนใบหน้าขาวซีดของเลทิเซีย
“ทำไม!! ทำไม!!! ทำไมถึงเป็นแบบนี้!”
ทสึรุร้องออกมา แม้ตอนแรกเธอจะไม่เข้าใจเลทิเซียเลย.. ไม่เลยสักนิด เธอเข้าใจว่าเลทิเซียคือคนที่สมบูรณ์แบบที่สุด
เป็นคนที่ทุกอย่างโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ แม้แต่เธอก็ยังอยากที่จะกลายเป็นเลทิเซีย.. แต่เหตุการณ์นั้น
เสียงกรีดร้อง ความเศร้า ความสับสน..ทุกอย่างที่เลทิเซียแสดงออกมาทำให้ทสึรุเข้าใจว่า …
‘อ่า.. เปล่าเลย เธอคนนี้น่ะ.. โดดเดี่ยวมาตลอด เธอไม่เคยเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความรักหรืออะไรทั้งสิ้น.. แม้เธอจะมีคนอยู่ข้างกายมากมาย’
‘แต่สุดท้ายแล้ว สำหรับเธอมันแค่ของจอมปลอม..’
‘ใช่ เธอกำลังเข้าใจผิด.. เพราะทุกอย่างคือของจริงเพียงแค่เธอเข้าใจผิด.. แต่เสียงกรีดร้องที่ราวกับว่าตัวเธอคือคนคนเดียวบนโลกนั้น..’
‘มันทำให้ข้ารู้สึกว่า… อ่า.. เธอคนนี้น่ะ เป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในโลก’
‘เป็นบุคคลที่ไม่เคยคาดหวังกับใครและไม่เคยเข้าใจอะไร’
แน่นอนว่า หากพูดกันตามตรรกะหลักการทสึรุคือคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากคำพูดเลทิเซีย ใช่มันยิ่งกว่าที่เลทิเซียพบเจอ
แต่ทว่าในความจริง เลทิเซียนั้นคือคนที่ไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ด้วยตัวเอง และเธอก็มีบาดแผลในใจที่มากเกินไป..
ดังนั้นเลทิเซียน่ะคือบุคคลที่น่าสงสารที่สุด.. และตอนนี้เธอก็ตายไปแล้วโดยยังไม่ได้รับรู้ความจริงอะไรเลย…
“พระเจ้า… พวกท่านเป็นคนที่คอยควบคุมโชคชะตาใช่หรือไม่.. แล้วทำไม.. พวกท่านถึงได้ทำให้เด็กที่น่าสงสารคนนี้ลำบากถึงขนาดนี้.. พวกท่านมีหัวใจกันบ้างหรือไม่”
ทสึรุที่แทบจะสติแตกถามออกมาด้วยความเศร้า… อาดูร.. บางทีพระเจ้านั้นคงกำลังหัวเราะเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่สิ.. ในมุมมองของพวกเขาทุกอย่างอาจจะเป็นแค่เรื่องราวเรื่องหนึ่ง.. ไม่เคยสลักสำคัญอะไรในชีวิต
เพียงแค่เปิดมาเจอแล้วก็ผ่านตา พวกเขาไม่มีทางคิดลงไปหมากกว่าคำว่า ‘เรื่องราว’ อย่างแน่นอน…
ใช่.. อย่างแน่นอน
……..
เลวิเนียในตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียงของเลทิเซีย ตรงกันข้ามมีชาร์ล็อตกลัดกลุ้มไม่ต่างจากเลวิเนีย
“เลทิเซียกับคุณทสึรุจะไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่ไหม..”
จู่ๆ ชาร์ล็อตก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่กังวล เลวิเนียกำมือทั้งสองข้างพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจเต็มร้อย
“ท่านพี่ ต้องไม่เป็นอะไร!”
ดวงตาของเธอมีภาพของเลทิเซียปรากฏขึ้นมา สำหรับเธอแล้วเลทิเซียเป็นเหมือนเทพเจ้าที่แข็งแกร่งที่สุดในสามโลก
เธอไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าเลทิเซียหายไปจะเกิดอะไรขึ้น ไม่สิ.. เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิดเพราะนั่นมันจะทำให้เธอเจ็บปวด..
ใช่ สำหรับเธอแล้วเลทิเซียน่ะ… ไม่มีทางตายแน่นอน…
“เพล้ง!”
ในตอนนั้นเองจู่ๆ แก้วน้ำบนหัวเตียงนอนเป็นแก้วของเลทิเซียก็ตกลงพื้นจนแตก สายตาของทั้งสองหันไปพร้อมกัน…
“ท่านพี่….”
“เลทิเซีย…..”
…………..
ในที่ไหนสักแห่งบนโลก ภายในปราสาทใหญ่หรูหราอลังการ และในปราสาทนั้นมีห้องโถงพระราชาที่ขนาดใหญ่มากจนเป็นจุดที่น่าสนใจปราสาท
บนบัลลังก์ที่ตั้งอยู่ท้ายห้องโถงที่เป็นพื้นต่างระดับขึ้นไป มีคนคนหนึ่งนั่งอยู่ ตลอดร่างปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายที่น่ากลัว
ความมืดและความบิดเบี้ยวหรือความขมุกขมัวของพลังเวทมนตร์ที่มากมหาศาลแทบไร้จุดสิ้นสุดนั้น ราวกับเป็นจอมมารแห่งมวลปีศาจ
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าพลังของคนคนนี้จะอ่อนกว่าจอมมารที่สภาพเต็มเปี่ยม แต่แน่นอนว่าแค่นี้ก็เพียงพอต่อการทำให้คนสำลักลมหายใจ
“หากเธอเป็นอะไร เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลาน่า!”
“ข้า….”
สายตาของคนคนนั้นจับจ้องลงไปที่เบื้องล่างซึ่งมีคนสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งคือลาน่าที่ถูกเรียกโดยคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ เธอถูกแรงกดดันบางอย่างดันร่างจนทรุดหน้าลงกับพื้น
อีกหนึ่งดูเหมือนจะเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อย เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นเพราะความมืดมนของเวทมนตร์ที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างของคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
ทำให้ภายในห้องราวกับมีหมอกหนาบดบังทุกสิ่งเอาไว้ ชายคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ลาน่าก็ร้องออกมาและพยายามพยุงลาน่าไว้
“ท่านแม่!”
“เจ้าน่ะหุบปากไปเลย ข้าให้ไปเรียนแต่เจ้าไม่เคยตั้งใจอวดบารมีไปทั่ว! ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง!”
“…ข้าขอโทษ.. แต่อย่าทำร้ายลาน่านะ! ข้าไม่รู้ว่าเธอทำอะไรให้ท่านแม่ แต่ท่านแม่ก็ไม่ควรใช้กำลังกดดันเธอแบบนี้นะ!”
ถึงน้ำเสียงจะดูกลัวพอสมควร แต่ก็ยืนประจันหน้ากับมารดาตัวเองอย่างไม่ยอมแพ้ เขายืนกั้นระหว่างมารดาและลาน่าไว้
คนที่อยู่บนบัลลังก์ก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา.. แต่ในตอนนั้นเองก็มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากหลังบัลลังก์ ก่อนที่จะตบลงบนไหล่ของคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เบาๆ
“ใจเย็นๆ เจ้าเป็นถึงราชินีนะ หากขาดความมั่นใจแบบนี้ก็แย่สิ”
“แต่ว่า.. เลทิเซียน่ะ…”
“ไม่เป็นไร… ไม่เป็นไรเธอต้องไม่เป็นอะไร… ใช่… เพราะเธอต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน ก็เพราะว่าข้าน่ะ…”
ดวงตาของเขาราวกับย้อนนึกถึงเรื่องบางอย่างที่เคยมีอยู่ในหัวมือของชายคนนั้นก็กำเข้าหากัน… แม้อาจจะพยายามทำให้อีกฝ่ายวางใจ
เขาเลยแสดงท่าทางแบบนั้น แต่เห็นชัดเจนว่าเขาเองก็กังวลไม่แพ้กัน แน่นอนว่าทุกสิ่งคือสิ่งที่คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มองเห็น
ราวกับว่าทุกอย่างที่กล่าวมาและแสดงออกมาให้เห็นนั้นเพียงเพื่อจะทำให้ตัวเองและคนอื่นสบายใจเท่านั้น เพราะเขาคือคนที่กังวลมากที่สุดไม่แพ้กัน..
……
….
..
.
……..