การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 87
บทที่ 87 – เวทมนตร์มั่วซั่ว
บนโลกนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าใครสักคนไม่ได้ต้องการอะไรเลยสักอย่าง ทุกการกระทำล้วนปรารถนาสิ่งตอบแทน
จะมีสักกี่คนที่ทำบางอย่างโดยไม่มีความปรารถนาในบางอย่างเป็นการตอบแทน และหากเป็นเช่นนั้นแล้วการกระทำที่เรียกว่า ‘ต้องการผลตอบแทน’ นั้น
จะถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่ดีเหรอ? ไม่ว่าจะเป็นต่อสู้จนตัวตาย สุดท้ายแล้วก็เพราะคาดหวังในเกียรติยศ
หรือใครสักคนที่ทำทาน เขายังปรารถนาที่จะได้บุญเป็นการตอบแทน ดังนั้นจึงมีคำถามขึ้นมาว่าการปรารถนาผลตอบแทนคือสิ่งที่ผิดหรือไม่?
หรือแท้จริงแล้วมันเป็นแค่กฎของธรรมชาติที่เรียกว่าเหตุและผลเหมือนกัน เมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล นั่นคือกฎเกณฑ์ที่ใครๆ ต่างก็ทราบ
เช่นนั้นแล้วจะบอกได้หรือว่าทสึรุเป็นคนน่ารัวเกียจ คาดหวังที่จะได้ความรักจากเลทิเซีย แม้สถานะพวกเธอทั้งสองจะแตกต่างกัน
ทสึรุเป็นแค่คนธรรมดาไร้บ้าน อันที่จริงหากเป็นยุคเมื่อหลายร้อยปีก่อน เธอคงเป็นทาสของอาณาจักรสักอาณาจักร
กับตัวตนที่แทบอยู่จุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์อย่างองค์หญิงที่ไม่เพียงแต่มีฐานะสูงส่ง ทั้งสติปัญญาเรียนเก่ง งดงามไร้ที่เปรียบ
เรียกได้ว่าเป็นคนที่ชี้หน้าใครก็พร้อมจะมีคนเข้าหา.. ใช่ ทั้งสองคนต่างกันเหมือนสุนัขที่แหงนมองสวรรค์
แต่ทสึรุแค่ปรารถนาเท่านั้น เธออยากได้รับความรัก แล้วกฎเกณฑ์ธรรมชาติมันมีแบ่งแยกชนชั้นที่ไหน ดังนั้นถ้าเธอต้องการให้เลทิเซียมอบความรักให้
มันผิดอะไรกันล่ะ?
อันที่จริงแม้จะบอกว่าเป็นเพราะเลทิเซียมาบอกรักในคืนนั้น เลยทำให้ทสึรุเข้าใจผิดพอทราบความจริงทำให้เธอจิตใจพังทลาย
มองเผินๆ เหมือนเป็นความผิดของเลทิเซีย .. เอ่อ.. อันที่จริงเลทิเซียก็ผิดนั่นแหละ แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะทสึรุเชื่อคนง่ายเกินไป
หากเธอมีความระแวงสักเสี้ยวเดียวของเลทิเซียเธอคงไม่เป็นแบบนี้ อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นเพราะในชีวิตนี้เธอไม่เคยได้รับความรักมาก่อน
ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีญาติมิตรสหาย ไม่รู้จักความสัมพันธ์หรือความสุข อ่อนต่อโลกโดยสิ้นเชิง
พอมีสิ่งหอมหวานมายั่วยวน ไม่แปลกใจที่เธอจะเดินไปคว้ามันและชื่นชอบมันโดยง่ายดาย แต่พอทราบความจริงต่อให้มีจิตใจที่แข็งแกร่งแค่ไหน มันก็ล้วนพังทลายลงในชั่วพริบตา
และในตอนแรกเธอกลัว กลัวที่จะเผชิญหน้ากับความจริง มันไม่ใช่ความขี้ขลาด แต่เป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็ต้องมีกลัวกันบ้าง
หากจิตใจพังทลายแบบเธอละก็.. ทว่าเมื่อบอกว่าในตอนแรก ก็หมายความว่าไม่ใช่สำหรับตอนนี้
เพราะตอนนี้จิตใจของเธอเหมือนกับแข็งแกร่งขึ้นมาจากการพูดกับตัวเองเมื่อครู่นี้แล้ว
เธอไม่ใช่เทพธิดาที่สร้างสิ่งต่างๆ โดยไร้สิ่งตอบแทนเธอเป็นแค่คนธรรมดาที่อ่อนแอ และไร้ประสบการณ์ ไม่รู้จักความอบอุ่น
เธอจึงคาดหวัง.. แต่พอเธอผิดหวังเธอเลยไปต่อไม่ได้ เธอยอมรับตัวเองแล้ว แต่ว่าในตอนนี้จิตใจเธอมั่นคงขึ้นมาก
ความรู้สึกที่เคยกลัวที่จะช่วยเลทิเซียนั้นหายไปหมดสิ้น ในตอนนี้เธอรู้สึกแค่ว่า หากเลทิเซียเป็นอะไรไป เธอก็พร้อมที่จะลาโลกไปพร้อมกับเลทิเซีย
เพราะเธอรักเลทิเซีย
“แม้สุดท้ายแล้วเลทิเซียจะไม่ได้รักข้าก็ตาม … แต่ข้าก็จะไม่ยอมแพ้หรอก… แม้พวกเราจะเป็นผู้หญิงด้วยกันก็ตามที”
จริงอยู่ที่ในอดีตเธอคาดหวังให้เลทิเซียมอบความรัก หรือความอบอุ่นแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้เธอกลับไม่คิดเช่นนั้น
อาจจะเพราะเธอเข้าใจตัวเองมากขึ้น หรือบางอย่างในจิตใจได้แข็งแกร่งขึ้นความกลัวจึงหายไป ในเมื่อเธอไม่รักทสึรุ
ทสึรุก็หาทางทำก็พอ จะมามัวนั่งเสียใจทำไมกันล่ะ?! และแม้ว่าเลทิเซียจะไม่ได้รักเธอก็ตาม อย่างน้อยก็แค่อยากยืนอยู่ข้างๆ เลทิเซีย
เหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงยึดติดเลทิเซียมากนักนั้น.. ใครจะสนกันล่ะ? อาจจะเป็นเพราะเลทิเซียคือคนที่เปลี่ยนมุมมองในชีวิตของเธอ
หรือเป็นคนเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น แม้นั่นอาจจะเป็นของปลอม แต่ทสึรุก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอไม่ได้มีความสุขกับสิ่งนั้น
แล้วจะปฏิเสธได้งั้นเหรอว่านั่นมันของปลอม เพราะนั่นคือความจริงสำหรับทสึรุในตอนนั้น แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตามที
ใช่ อย่างน้อยในตอนนี้ทสึรุก็มีคนสำคัญแล้ว ไม่ใช่ในฐานะพ่อหรือแม่ หรือแม้แต่ญาติพี่น้องที่รู้จัก แต่เป็นสิ่งที่ห่างไกลความคิดของทสึรุไปมากนัก
คนที่สำคัญที่ว่าคือ ‘ความรัก!’
แล้วคนคนนั้นคือเลทิเซีย
“ฟิ้วว!”
และในตอนนั้นเอง สายลมก็พัดผ่านมาทางด้านนี้กลิ่นเลือดโชยมาตามสายลม ยามเย็น ทำให้ทสึรุขมวดคิ้ว มันมาจากทางที่เลทิเซียวิ่งไป
ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้นมาด้วย แต่ก็น่าแปลกเพราะกลิ่นเลือดมันบางมาก ทำไมทสึรุถึงประสาทสัมผัสเฉียบคมถึงขนาดนี้กัน?
หากมีเลทิเซียยืนข้างๆ ในตอนนี้ ถ้าไม่เสริมประสาทการรับรู้ด้วยเวทมนตร์ เธอก็ไม่มีทางได้กลิ่นแน่ๆ นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าทสึรุคือปีศาจในคราบมนุษย์
เธอรีบมุ่งหน้าต่อ ใช้เวลาไม่นานมากเพราะความเร็วของเธอค่อนข้างสูง และพระจันทร์ก็ค่อยๆ แขวนบนฟากฟ้าแล้ว
เมื่อเธอมาถึงจุดจุดหนึ่งก็หยุดลงฟ้ามืด ในตอนนี้ตรงหน้าของทสึรุมีต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาอยู่ต้นหนึ่ง และศพของหมีป่าตนหนึ่ง
ต้นไม้นั้นเหมือนเกิดมาจากในท้องของหมีป่า ทำให้ทสึรุรู้ทันทีว่านี่ต้องเป็นหนึ่งในอุปกรณ์หรือยาที่เลทิเซียมีแน่ และในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียง “โครมมมม!”
เสียงนั้นมันดังลั่นไปทั่วผืนป่า แน่นอนว่านั่นเป็นเสียงของเถาวัลย์พันไม้ที่เลทิเซียใช้นั่นเอง แม้จะห่างไกลกันมาก
แต่เพราะความเงียบสงบของป่ายามวิกาล และหูที่ดีสุดแสนของทสึรุทำให้เธอได้ยินเสียงนั้นก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงอะไร
และมันยังดังติดต่อกันเป็นทอดๆ ทำให้ทสึรุรู้ทันทีว่าเลทิเซียถูกบีบบังคับให้ใช้เมล็ดพันธุ์นี้อย่างเลี่ยงไม่ได้… เธอกำลังถูกไล่ต้อน!
“เลทิเซียรอข้าก่อนนะ!”
เธอกัดฟันและพุ่งขึ้นไปเหนือป่า และเหยียบใบไม้สีเขียวบนต้นไม้ราวกับไร้น้ำหนักพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง
แต่ยิ่งวิ่ง ก็เหมือนยิ่งได้ยินเสียงระเบิดของเถาวัลย์พันไม้บ่อยขึ้นอีก ทสึรุรู้ว่าของแบบนี้ไม่นานก็หมดแน่ๆ ทำให้เธอร้องออกมา
“โธ่เอ้ย! หากใช้เวทมนตร์ได้ละก็! อย่างน้อยก็ยืมพลังภูตได้ล่ะก็…”
เธอกัดฟันและมองไปรอบด้านหากมีภูตกระแสลมคอยช่วย พวกมันจะสามารถรวบรวมอนุภาคบางอย่างจนเกิดเป็นสายลมละมั้ง?
อันที่จริงทสึรุก็ไม่รู้หรอก แต่ที่ฟังๆ มาเหมือนว่าลมจะเกิดจากอนุภาคที่เล็กมากๆ และทำให้เกิดคลื่นลมขึ้นมาละมั้ง…
เธอคิดพลางลองสื่อสารกับภูตด้วยเวทมนตร์ แม้จะแทรกแซงไม่ได้ก็ตามที แต่เวทมนตร์อันร้อยนิดในร่างก็ไม่หายไป เธอพอรู้มาว่าภูตเก่งมาก
แม้เป็นในโลกนี้พวกภูตก็อาจจะใช้เวทมนตร์ได้ เธอคิดแบบนั้น..
“แล้วก็การใช้เวทมนตร์ก็ต้องใช้ความรู้..”
เธอพูดแล้วคำนึงถึงหลักการการเกิดลม อันที่จริงเธอแค่เอาความรู้ที่พอจำได้มายำรวมกันซึ่งเวทมนตร์ที่ต้องใช้ความรู้คือเวทมนุษย์
มันไม่เกี่ยวอะไรกับเวทภูตเลย และเวทภูตคือแค่พวกมันเป็นตัวแทนแห่งลม อากาศทั้งหมดล้วนเกิดลมได้
ส่วนอนุภาคต่างๆ เธอคงจะเอามาจากทฤษฎีอนุภาคนิวตรอนหรืออะไรสักอย่างที่เคยเรียนมาละมั้ง เธอแค่เอามายำรวมมิตรกันมั่วๆ แค่นั้น
เธอจำไม่ได้นี่น่า จะโทษว่าเธอผิดก็คงไม่ได้.. อีกอย่างนี่คงพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอไม่ประเทืองด้านนี้ขนาดไหน…
แต่ในตอนที่เธอคิดแบบนั้นเอง.. พลังเวทอันน้อยนิดของเธอก็ราวกับถูกสูบออกไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเธอซีดเผือดทันที
“นี่มันอะไรกัน..”
เธอไม่เคยสูญเสียพลังเวทมาก่อนเลยไม่เข้าใจ อีกอย่างใช้เวทมันไม่ได้สูบพลังขนาดนี้นี่น่า แถมใช้เรียกภูตนี่ยิ่งไม่จำเป็นต้องใช้พลังอะไรเลยนะ!
แต่ทว่าในขณะที่เธอกำลังงุนงงอยู่นั้นเอง ลมจำนวนมากก็โหมซัดใส่หลังเธอ.. ร่างของเธอก็พุ่งราวกับสายฟ้าด้วยความเร็วที่เหนือล้ำความเข้าใจของเธอเอง
เวทมนตร์มั่วซั่วของเธอมันสำเร็จขึ้นมาจริงๆ?!
แต่เพราะมันเร็วเกินไป ความดันอากาศที่ได้รับจึงสูงขึ้นพรวดเดียวทำให้เธอเวียนหัว.. ทำให้เธอแทบสำลักอาหารออกมา
แต่โชคดีที่เวทมนตร์เธอมีน้อยยิ่งกว่าน้อย มันเลยหยุดลงแทบจะทันที โดยผ่านไปไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำ
แต่เพราะว่าสายลมนั้นหายไป แรงเฉื่อยยังคงเหลือความเร็วของเธอไม่ได้หยุดลงในทันที และสภาวะหลุดพ้นแรงโน้มถ่วงที่เกิดจากความเร็วเมื่อคู่ก็หายไป
ด้วยความที่ทสึรุยังไม่ทันตั้งตัว ร่างของเธอก็เสียหลักลอยไปข้างหน้าและดิ่งลงพื้นเป็นแนวทแยง…
ตรงหน้าเธอมีร่างของเลทิเซียที่กำลังมองหมาป่าฝูงยักษ์ และแขนข้างหนึ่งก็ขาดไปแล้ว ขาก็หัก ดวงตาของทสึรุมืดทะมึนลง
เธอพลิกตามกลางอากาศทิ้งน้ำหนักดิ่งลงใส่กลุ่มหมาป่า ด้วยความเร็วสูงจนในชั่วพริบตานั้นเอง
“ตู้มมมม!!!”
หมาป่าหลายสิบตัวกระเด็นหรือโดนแรงกระแทกจนแหลกเป็นเศษเนื้อเลยก็มี ทุกอย่างดูเหมือนเชื่องช้าทว่า…
มันเกิดขึ้นแทบจะเสี้ยวพริบตา แม้แต่เลทิเซียก็ยังไม่ทันได้ตอบสนอง!
……….