การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 80
บทที่ 80 – ความหวัง
เลทิเซียวิ่งออกมาจนรู้สึกเหนื่อย เหงื่อของเธอไหลออกมาไม่หยุดผมสีดำสนิทของเธอก็เด่นชัดในป่าเขียวขจี ท้องฟ้าเองก็เริ่มมืดลงช้าๆ
“แฮ่ก.. แฮ่ก…”
เธอหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยความเร็วเริ่มช้าลงเรื่อยๆ ต่างจากตอนแรกที่วิ่งค่อนข้างเร็ว ก่อนที่ความเร็วจะตกลง
จนจากวิ่งกลายเป็นการเดิน และขาเริ่มที่จะก้าวไม่ออก และขาก็ไปสะดุดรากไม้ที่โผล่ขึ้นมาจากดินและล้มลงหน้าคว่ำลงกับพื้น
เธอนอนแน่นิ่งไปในป่าที่เงียบสงบ ในส่วนลึกของป่านี้ ดวงตะวันที่ค่อยๆ ลาลับท้องฟ้าและความมืดใกล้มาเยือน
ร่างกายเลทิเซียเย็นลงและร้อนขึ้นในเวลาเดียวกัน ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจเบาๆ ของเธอ ในตอนนี้ร่างกายเธอเริ่มดูไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
เพราะความเหนื่อยล้าจากการวิ่งหนีสุดชีวิต และอาจจะเป็นครั้งแรกของเธอที่วิ่งสุดชีวิตโกยไม่สนสภาพร่างกาย
ด้วยอากาศที่เริ่มเย็นลง ไม่แปลกใจที่เธอจะเป็นไข้ขึ้นมา หน้าของเธอเริ่มแดงขึ้นและลมหายใจเริ่มที่จะเบาลง
เธอกำลังเป็นไข้พิเศษ.. หากเป็นยามปกติเธอคงใช้เวทมนตร์รักษาได้อยู่แล้ว แต่สภาพจิตใจของเธอย่ำแย่มาก
เธอในตอนนี้แทบไม่มีความรู้สึกอยากที่จะลุกขึ้นมาจากพื้นดิน … ตรงกันข้ามเธอกลับอยากที่จะหายไปในพื้นดินนี้
โลกใบนี้ไม่มีใครสำหรับเธอแล้ว แม้แต่เลวี่เองก็ปฏิเสธเธอหรือไม่ก็เธอปฏิเสธเลวี่เอง จิตใจที่ย่ำแย่
ไม่มีใครมาพยุงเธอให้ลุกยืนขึ้นแบบชาติที่แล้ว ไม่มีใครที่เป็นครอบครัวหรือรู้สึกว่าตัวเองสามารถอยู่ด้วยกันกับคนคนนั้นได้
โลกใบนี้มีแค่ศัตรู … เลทิเซียจึงเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า งั้นจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร.. โลกเดิมก็ไม่สามารถกลับได้
และไม่รู้ว่าลูเซียเป็นยังไงบ้าง พี่สาวก็เสียชีวิต ทุกอย่างในชีวิตของเลทิเซียตอนนี้มันแทบไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น
หากเธอหายไปสักคน คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลง จะได้ไม่ต้องมาคอยหวาดระแวง คอยพยายามจะมีชีวิตอยู่
ไม่อีกต่อไป.. เพียงแค่นอนอยู่แบบนี้ไปจนตาย..
เลทิเซียไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแม้แต่จะพูดในตอนนี้ ในหัวของเธอเต็มไปด้วยคำว่า ‘ตาย’ เธอลืมไปแล้วว่าความกลัวคืออะไร
ความกลัวตายเป็นแบบไหน เพราะเธอในตอนนี้เพียงแค่ปรารถนาที่อยากจะนอนแบบนี้ สบายแบบนี้ และค่อยๆ จางหายไปจากโลกอย่างเงียบๆ
“พี่… เดี๋ยวฉัน.. ก็ไปหาพี่แล้วนะ…”
บางทีเธอก็เคยแอบคิดว่าถ้าเธอไม่เคยเกิดใหม่มาที่นี่ แต่ตายๆ ไปเลย จะได้ไปอยู่ที่เดียวกับพี่คงจะดีกว่านี้
แต่เพราะมีเลวี่คอยอยู่ข้างกายเสมอ ทำให้เธอไม่คิดถึงเรื่องนี้ และหลอกตัวเองว่าเลวี่คือน้องสาวตลอดมา
ทำให้ความคิดแบบนี้ไม่มีอยู่ในสมอง อีกทั้งเธอยังรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม พี่ของเธอเอลน่าทำประโยชน์และทำดีมากมายกว่าเลทิเซียมาก
เป็นคนใจดีไม่เคยโกรธหรือด่าเลทิเซียกับลูเซียเลย ทำผิดเธอก็บอกก็เตือน ทำถูกเธอก็ชมเป็นคนที่อบอุ่นที่สุด
แต่ว่าเธอกลับไม่ได้มาเกิดใหม่เหมือนเลทิเซีย มีแค่เลทิเซียที่สามารถเกิดใหม่ได้ทั้งยังมีความทรงจำจากชาติที่แล้ว
เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรได้รับสิ่งนี้เลยด้วยซ้ำ หากคนที่เกิดใหม่เป็นเอลน่า เธอคงประสบความสำเร็จมากมายช่วยเหลือคนที่ลำบากไปแล้ว
ตรงข้ามกับเลทิเซียที่ช่วยคนยังลังเลอยู่นานสองนาน หากเป็นพี่เอลน่าละก็ เธอคงสามารถทำได้โดยไม่ลังเลเลยสักนิด
แม้ว่าคนที่เธอช่วยอาจจะไม่ได้เป็นคนไม่ดีอะไรก็ตามแต่ เธอก็ยังช่วยพวกเขา เธอช่วยพร้อมกับน้อมรับความเสี่ยงที่จะถูกฆ่า
และอาจจะเป็นเพราะแบบนั้นทำให้เธอตายก่อนที่จะแก่ชราซะอีก… แม้เลทิเซียจะชื่นชมพี่เอลน่าและรู้สึกนับถือ
ทว่าเธอทำเรื่องใจดีแบบนั้นไม่ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เลทิเซียรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรได้รับโอกาสนี้
“คนแบบฉันน่ะ.. ตายๆ ไปได้จะดีกว่าสินะ..”
เธอพึมพำด้วยเสียงที่อ่อนแรง.. และหลับตาลงช้าๆ .. เหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของเลทิเซียได้มอดดับไปทั้งหมดแล้ว
ภาพของเอลน่าลอยขึ้นมาในหัวของเลทิเซีย
“พี่… ฉันกำลังจะไปหา…”
เอลน่ายืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างในความคิดของเลทิเซีย เลทิเซียพยายามที่จะเดินเข้าไปหาแต่ทว่าในตอนนั้นเอง
เอลน่าก็ส่ายหน้าเบาๆ แล้วก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่หรอก.. นี่ไม่ใช่จุดจบของเรานะ.. เรน ไม่สิ.. เลทิเซีย”
“พี่…”
เสียงอันอ่อนโยนของเธอทำเอาร่างของเลทิเซียสั่นเทิ้ม ดวงตาของเธอมีน้ำตาไหลออกมา เป็นเสียงที่ไม่ได้ยินมานานแสนนาน
กี่สิบปีกันนะ หรือยี่สิบปีกันแน่.. แต่มันนานมากจนแทบลืมเสียงนี้ไปได้แล้ว แต่เลทิเซียกลับจำได้ชัดเจนทุกอย่าง
พี่สาวแท้ๆ ของเลทิเซียที่เคยเสียชีวิตไปเมื่อนานมาแล้ว เอลน่า
“ทำไมล่ะ…? พี่น่ะ..”
“ตายไปแล้ว ใช่.. พี่อาจจะตายไปแล้วสำหรับโลกใบนั้น แต่ว่าพี่จะไม่ได้ตายไปจากความทรงจำของเราไงล่ะ..และยัง….”
เลทิเซียไม่เข้าใจและสับสน แม้ว่านี่จะเป็นแค่นิมิตก่อนตาย หรืออะไรก็ตามแต่สำหรับเลทิเซียแล้วนี่คือความสุขที่ไม่เคยหาได้ในโลกใบนี้
เพียงแค่ได้ยินเสียง เห็นใบหน้า เลทิเซียก็แทบจะไม่เสียใจอะไรแล้ว แต่ทว่าเอลน่ากลับพูดขึ้น
“เราน่ะ ไม่ควรมาตายอยู่ตรงนี้นะ..”
“แต่ว่า.. ฉันน่ะ.. ฉันน่ะ… ควรที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เหรอ…”
“พี่เคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าคติประจำครอบครัวเราคือ…”
“ดิ้นรน ต่อสู้ เพื่อมีอนาคต…”
“ก็จำได้นี่น่า แล้วจะมามัวงอแงเป็นเด็กอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ!”
เอลน่ายิ้มออกมา ด้วยรอยยิ้มที่ไม่ต่างจากทสึรุที่มีความสุข หรือคนบนโลกนี้ที่มีความสุข แต่มันทำให้เลทิเซียนั้นรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขมากที่สุด
เธอแทบไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน…
“แต่ว่า… ฉันน่ะไม่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่”
“เฮ้อ ก็คิดแต่แบบนี้ไงล่ะ มีชีวิตอยู่เพื่อใคร เพราะอะไรงั้นเหรอ พี่เคยบอกให้เรามีชีวิตอยู่เพื่อพี่งั้นเหรอ? พี่บอกว่าเราน่ะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเราเองต่างหาก”
ร่างของเอลน่าค่อยๆ เดินเข้ามาแล้วพูดต่อ…
“คนทุกคนเคยท้อ เคยรู้สึกว่างเปล่า แม้แต่พี่เองก็เคย.. เราเองก็น่าจะรู้ดีกว่าพี่นะ ว่าพี่เป็นคนขี้แพ้ขนาดไหน ดังนั้นถ้าเรามายอมแพ้ตรงนี้น่ะ พี่จะไม่ยกโทษให้เด็ดขาด”
“ไม่! พี่น่ะเป็นคนที่สุดยอดที่สุด”
“เฮ้ๆ พูดแบบนั้นน่ะไม่ห่วงชีวิตพี่ว่าจะโดนลูเซียเอามีดสับหัวบ้างเหรอ”
“พี่…”
เลทิเซียเงียบลง แต่ว่าเอลน่าก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของเลทิเซียและจับเธอหันหน้าไปด้านตรงข้ามของจุดที่เธอเคยอยู่
“เราน่ะเป็นคนฉลาด ฉลาดยิ่งกว่าพี่.. หรือทุกคนบนโลกใบนี้ แม้แต่พวกเธอก็สู้เราไม่ได้ เราน่าจะรู้ดีกว่าพี่ในหลายๆ เรื่อง ดังนั้นอย่ามายอมแพ้อยู่ตรงนี้นะ พี่รู้ว่าเราน่ะแข็งแกร่งขนาดไหน เราน่ะเจอมามากขนาดไหน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้นอกจากตัวเราเอง ดังนั้นไปซะเถอะ.. แสดงด้านเท่ๆ ออกมาซะบ้าง ถึงจะได้สมกับเป็นพี่กลางของบ้านนะ!”
“แต่ว่ามันไม่ยุติธรรมนี่น่า!”
“….”
“ฉันน่ะ มันแค่คนที่คิดอะไรไม่รู้คิดเองเออเองตลอด ฉันมันก็แค่คนเห็นแก่ตัว ฉันมันไม่เหมาะสมที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ ฉันมันสมควรตายแทนพี่!”
น้ำตาของเลทิเซียไหลออกมา และก้มหน้าลง เอลน่าถอนหายใจออกมาก่อนจะเขกหัวเลทิเซียเข้าให้
“ก็นึกว่าจะพล่ามอะไร พี่เคยบอกไปแล้วว่า พี่น่ะรักเราน่ะ.. รักที่สุดในโลกเลย ดังนั้นถ้าให้เลือกว่าเราหรือพี่ควรจะมีชีวิตอยู่ คำตอบน่ะต้องเป็นเราอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?!”
“ฉันเองก็รักพี่ ถ้าให้เลือกน่ะ ฉันควรตายแทนพี่มากกว่านะ!”
“หุบปากไปเลย ไอ้น้องบ้าคนนี้ กล้าเถียงพี่งั้นเหรอ มาตีสักทีสิ?!”
พอเลทิเซียเถียงเรื่องนี้ ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เอลน่าก็ดุเดือดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งเลทิเซียเองก็ทราบเรื่องนี้ดี
แต่ว่าเธอดันลืม ก็เธอคิดว่าถ้าเป็นพี่คงดีกว่านี้ แต่เพราะงั้นเลยทำให้ยักษ์ในร่างของเอลน่าตื่นขึ้นมาทันที
เมื่อพูดถึงเรื่องการมีชีวิตอยู่.. สำหรับเอลน่าแล้ว ชีวิตของน้องๆ ของเธอสำคัญกว่าชีวิตเธอไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
………