การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 70
บทที่ 70 – เมืองที่สงบสุข
หลังจากนั้นพวกเขาก็จัดที่พักให้แต่ที่น่าตกใจคือพวกเขาจัดให้ฉันนอนอยู่ห้องเดียวกับทสึรุ แถมยังมีแค่เตียงเดียวอีกต่างหาก
จะว่าไปฉันเองก็คงต้องระวังทสึรุไว้ด้วย แต่ฉันคิดว่าไม่เป็นไรหรอกเพราะสถานการณ์ของเธอเองคงไม่ต่างจากฉัน
ถ้าเกิดต่อสู้กันแม้ฉันจะแพ้เธอก็คงหาทางรอดไม่ได้เพราะอาการบาดเจ็บแน่ๆ ดังนั้นก่อนที่เธอจะทำอะไรคงต้องรอเวลาเหมาะกว่านี้
ดังนั้นฉันจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเธอมากนัก และหากเธอคิดไม่ซื่อฉันก็มีพวกของช่วยในการต่อสู้ ผสมกับเวทมนตร์ฉันต้องชนะเธอได้แน่ๆ
แต่ก็ไม่ได้คิดจะประมาทอะไร เพราะตั้งแต่มาในโลกนี้ความรู้สึกถึงอันตรายมันเกาะกุมหัวใจฉันแน่นหนา
แถมยังรู้สึกว่ามีบางอย่างถูกลืมไปแม้จะนึกไม่ออก ถ้าเป็นคนอื่นคงคิดว่าช่างมัน แต่ฉันคิดว่ามันอาจจะสำคัญ
แต่ไม่รู้ว่าอะไรหายไปอยู่ดีกับไม่เข้าใจความรู้สึกหวาดกลัวที่เป็นอยู่ตอนนี้ ดังนั้นฉันต้องระวังให้มากกว่านี้…
ในขณะที่คิดแบบนั้นฉันกับทสึรุก็ออกมาจากคฤหาสน์ของผู้นำเมืองแล้ว เมืองนี้ค่อนข้างที่จะใหญ่พอสมควร
คืออย่างน้อยมันก็ไม่เหมือนเมืองที่อยู่ใกล้ๆ โรงเรียน เพราะเมืองนี้มันใหญ่กว่ามาก ว่ากันตามตรงฉันก็ไม่ค่อยได้เที่ยวแบบนี้หรอก
เที่ยวครั้งแรกตั้งแต่เกิดก็คือตอนที่ไปกับซิลเวียนั่นแหละ ส่วนเมืองในเขตไร้อาณามันไม่ใช่เมืองที่ใหญ่โตอะไรแถมคนเยอะ
มันเลยให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินในงานวัฒนธรรมบางอย่างอยู่อย่างงั้นแหละ แต่เมืองนี้เป็นเมืองที่ค่อนข้างเงียบ
แต่ก็มีผู้คนเดินกันไปทั่ว ไม่ได้มากมายจนรกหูรกตาแถมยังให้บรรยากาศที่สบายที่สุด ซึ่งพูดกันตามตรงตอนไปเที่ยวกับซิลเวีย
คนยังเยอะกว่านี้เลย เมืองนี้เป็นที่สงบพอสมควร ดังนั้นฉันจึงไม่ต้องระวังเข้มขนาดนั้นเพราะมันไม่ได้แออัดแบบไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
ขณะที่เดินอยู่นั้นเองทสึรุก็ดึงแขนฉันไปที่ร้านแผงลอยร้านหนึ่ง
“นี่ๆ เลทิเซียดูนี่สิ.. มันคืออะไรน่ะ”
“แผงลอยไง เธอไม่รู้จักเหรอ?”
ไม่คิดว่าจะมีอีกคนที่ไม่รู้จักแผงลอยดวงตาของทสึรุเป็นประกายระยิบระยับ เธอหันมาหาฉันแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“รู้จักสิ ฉันเคยเห็นในหนังสือ แต่พึ่งเคยเห็นของจริงครั้งแรกนี่แหละ!”
“นอกโรงเรียนก็มีเมืองไม่ใช่เหรอ นี่เธอไม่เคยออกนอกโรงเรียนเลยเหรอ?”
ฉันเองก็ไม่แน่ใจ จริงๆ ระยะทางมันเดินไปไม่ถึงร้อยเมตรด้วยซ้ำก็ไปถึงแล้วนะ แต่ที่เธอไม่เคยไปมันหมายความว่ายังไงล่ะเนี่ย
ถึงจะรู้ว่าทสึรุเป็นแบบกรณีเดียวกับชาร์ล็อตที่ตื่นขึ้นมาในโรงเรียน แต่เธอจะไม่เคยออกนอกโรงเรียนนี่ไม่แปลกเกินไปไหม
เธอก้มหน้าลงแล้วเงียบอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบฉันออกมาด้วยเสียงเบาๆ
“ท่านลิลิซบอกว่าข้างนอกอันตราย ต้องไปกับคนอื่น.. ดังนั้นข้าเลยไม่เคยออกไปมาก่อน…”
อ้อ แบบนี้นี่เอง ก็จริงแหละนะมันอันตรายจริงๆ แหละ ว่าแต่ลิลิซนี่ใครเนี่ย ผู้อำนวยการโรงเรียนหรือเปล่านะ
เหมือนเคยได้ยินที่ไหนแต่ก็ลืมไปและ ช่างมันแล้วกัน แต่เอาเป็นว่าไม่เคยออกจากโรงเรียนเลยละกัน แต่ว่าไม่ว่างจนเบื่อเหรอนั่น
ไม่สิ ขนาดฉันยังอยู่ในปราสาทโดยไม่ออกจากเขตปราสาทได้โดยแค่อ่านหนังสือนี่น่า
“โอ้ พวกท่านคงเป็นผู้มาเยือนที่แห่งนี้สินะ”
“อืมๆ”
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงเรียกจากแผงลอยแห่งหนึ่ง ทสึรุพยักหน้ารัวๆ แล้วตอบกลับด้วยความตื่นเต้นจากการถูกเรียก
คนที่เรียกเหมือนจะเป็นหนุ่มคนหนึ่งที่อายุยี่สิบกว่าๆ เห็นจะได้ เหมือนจะขายเนื้อย่างธรรมดานั่นแหละ
“นี่ เนื้อย่าง”
“เอ๊ะ แต่พวกเราไม่มีเงินนะ”
ฉันเป็นคนพูดคำนั้นออกมาเอง เพราะที่นี่เหมือนจะแตกต่างในหลายๆ อย่าง ฉันเลยคิดว่าแม้แต่เงินเองก็คงไม่ต่างกัน
ชายหนุ่มคนนั้นก็หัวเราะแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ
“นี่ท่านอัลฟี่ไม่ได้บอกอะไรพวกเจ้าเลยเหรอ พวกท่านในฐานะคนที่จะมาช่วยพวกเรา พวกเราจึงจำเป็นต้องตอบแทนอะไรบ้างเหมือนกัน ว่าง่ายๆ พวกท่านจะไม่ได้เปิดกระเป๋าเงินสักนิดในการเที่ยวเมืองนี้ ไม่ต้องเกรงใจๆ”
“ว้าว สุดยอดไปเลย”
เขาบอกแบบนั้นแน่ะ แล้วทสึรุก็ตาเป็นประกายพร้อมกับพูดชม แต่ว่าของตอบแทนนี่มันไม่ใช่ว่ามีแล้วเหรอ?
ก็แผนที่ในการไปหาอาร์ติแฟ็คยังไงล่ะ แต่ทว่าพ่อค้าคนนั้นหยิบเนื้อย่างโรยด้วยผงเครื่องปรุงสีขาว ซึ่งสำหรับฉันไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่
แต่ก่อนที่จะได้ตอบสนองอะไรลูกค้าก็แทรกเข้ามาด้านหน้าจนฉันกับทสึรุต้องถูกดันถอยออกมาพร้อมไม้เนื้อย่างคนละไม้
ฉันมองเนื้อย่างในมือ แน่นอนว่าฉันไม่คิดจะกินแต่จะทิ้งตรงนี้ก็คงจะกระไรอยู่ เลยถือไปด้วยแล้วโดนทัวร์เมืองต่อ
“เลทิเซียไม่กินเหรอ?”
“ไม่ควรกินของที่คนไม่รู้จักให้เด็ดขาด!”
ฉันพูดออกไปแบบนั้น ทสึรุเองก็แปลกใจแต่ก็เลียนแบบฉัน ฉันคิดว่าเธอคงแกล้งถามฉัน เพราะเธอคงไม่คิดจะกินแต่แรกเหมือนกัน
ฉันกับทสึรุเดินทัวร์เมืองเห็นเมืองที่สงบสุขเกินคาด พอเหนื่อยก็ไปพักที่เก้าอี้นั่งสาธารณะแถวๆ ขอบเมืองที่มีป่าอยู่นอกเมือง
ฉันเอาเนื้อย่างทิ้งลงถังขยะ และนั่งพักทสึรุเองก็เลียนแบบฉันแต่ในตอนนั้นเอง สายตาฉันก็หันไปเห็น
“กัซมันดุ กรุณาระวัง”
กัซ… หมายถึงอะไรชื่ออะไรสักอย่างเหรอ แต่พอคิดแบบนั้นก็มีหมาตัวใหญ่วิ่งออกมาจากป่าด้านหลังที่นั่งสาธารณะ
ฉันนี่ถึงกับงงเลย ทสึรุเองก็ตกใจแต่เธอกลับหันหน้าประจันกับหมาเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
“โฮ่งๆ!”
“เลทิเซียหลบไป ฉันจะจัดการเจ้ามอนสเตอร์นี่เอง!”
แต่ว่าฉันไม่อยากถูกคนเกลียดเพิ่ม เพราะฆ่าหมาเขา แถมนี่ก็ไม่ใช่มอนสเตอร์ มันเป็นแค่สุนัข.. คิดว่านะ
แต่เจ้าของบ้านนี่เขียนชื่อมันแล้วบอกว่ามันดุ.. คือคิดจะไม่เตือนแต่แรกใช่ไหมเนี่ย ก็แบบบอกแค่ชื่อใครจะไปรู้ว่าหมายถึงอะไร
ฉันจับแขนทสึรุแล้ววิ่งอย่างช่วยไม่ได้ ถึงจะไม่อยากยุ่งแต่ก็มาด้วยกัน หากมีคนเกลียดก็หมายถึงต้องถูกล้างแค้นแน่ๆ แบบล้างแค้นเพื่อสุนัขข้าอะไรแบบนี้
แต่ฉันก็หนีออกมาได้ เจ้าหมานั่นไม่วิ่งตามมาแต่มันแสดงสีหน้าโกรธชัดเจน เหมือนจะบอกว่ามาถิ่นฉันทำไม?!
นี่ขนาดหมายังบางแผนจะฆ่าฉันเลยเหรอเนี่ย มันเดินกลับไปคาบถังขยะแล้วก็กัดถังขยะจนแทบจะพังก่อนจะลากถังขยะเข้าป่า
ทำเอาฉันใจสั่น.. หมาในโลกนี้จะดุเกินไปแล้วแฮะ อย่าว่าฉันไม่รู้ ต่อให้เป็นสุนัขฉันก็พอเดาความคิดมันออก เพราะรอยแผลส่วนขาของฉันในโลกเดิมนั้น
ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เกิดขึ้นจากหมา ดังนั้นจึงพอเข้าใจหมาอยู่ไม่มากก็น้อย สิ่งที่มันทำเมื่อกี้คงประมาณเป็นการขู่ของสัตว์ป่า แบบว่า
“หากมาระรานถิ่นของฉันอีก ฉันจะกัดแกแบบนี้จนตายและลากเข้าไปทิ้งในป่า” ไม่ไปอีกแล้วล่ะ และไม่คิดจะทัวร์เมืองรอบสองแล้ว
ในตอนนั้นเองทสึรุก็พูดขึ้นว่า
“เจ้านั่นไม่ใช่มอนสเตอร์หรอกเหรอ?”
ฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่าทสึรุนี่ไม่รู้จักจริงๆ หรือเธอแค่แสดง ตั้งแต่เรื่องแผงลอยก่อนหน้านี้แล้ว ยิ่งรู้จักทสึรุยิ่งทำให้ฉันเห็นทสึรุเหมือนซิลเวีย..
แต่ทสึรุเป็นหนึ่งในคนไม่กี่คนที่ทำลายแผนการของฉันได้นะ อีกอย่างที่ทำลายคือแผนที่ฉันคิดว่าสมบูรณ์แบบที่สุดได้ด้วย
แถมเจ้าตัวเองก็วางแผนอะไรไม่รู้ เธอไม่น่าจะไม่รู้จักสุนัขนะ.. อืม… แต่ฉันก็ตามน้ำไปแม้ว่าเธออาจจะแค่แสดงก็ตามทีเถอะ
“นั่นมันแค่สุนัขนะ..”
“สัตว์ธรรมดางั้นเหรอ แบบนี้นี่เอง.. เลทิเซียนี่รู้ไปซะทุกอย่างเลยนะ”
ว่าแล้วเธอก็ยิ้มให้ฉัน.. อืม รอยยิ้มแบบนั้นไม่ค่อยชอบเลยแฮะ.. ฉันถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
แต่ว่านี่ยังไม่หมดเลยสินะ.. นี่ฉันต้องเดินอีกครึ่งเมืองเลยสินะ ฉันพึ่งมารู้สึกตัวว่ามันลำบากกว่าที่คิดไว้เยอะเลย
แต่ว่าฉันก็ไม่ปฏิเสธเลยจริงๆ ว่า เมืองนี้เป็นเมืองที่เงียบสงบดีจริงๆ
…………