การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 6: สงครามภายใน
บทที่ 6 สงครามภายใน
ฉันที่เป็นทารกก็ตื่นขึ้นมาหลังจากสลบไปแต่ก็ไม่ตาย ฉันมองเห็นเพดานที่ไม่คุ้นเคย… แล้วตอนนี้ฉันกำลังดูดนมจากแม่ที่ไม่คุ้นเคย
เดี๋ยวเฮ้ย นี่คุณเป็นใครฟระเนี่ย ฉันเห็นหน้าผู้หญิงที่ไม่รู้จักพยายามกรอกนมใส่ปากฉัน.. คงหมายถึงนมจากเต้านะ
ถึงภาพนี้จะกระตุ้นความเป็นชาย แต่… อะเดะ ไม่เห็นถูกกระตุ้นเลย.. ไม่สิ นั่นไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย ฉันพยายามดิ้นและร้องออกมา
“อุแงงง อุแงงง”
“โอ๋ๆ”
ผู้หญิงคนนั้นโอ๋เอ๋ฉันด้วยสีหน้าอ่อนโยน อืม… นี่คงไม่ใช่การลักพาตัวสินะ.. ถึงเห็นแบบนี้ฉันก็ไม่ได้โง่หรอกนะ
มาพิจารณาดีกว่าหลังจากฉันปล่อยระเบิดอนุภาคแรงสูงออกไปจนกระเด็นแล้วก็สลบไป พอตื่นอีกทีฉันก็พยายามจะโดนใครไม่รู้เอาเต้านมกรอกปาก
นี่ทันเรื่องบ้าไรฟะเนี่ย? ไม่สิ นี่ต้องเป็นการเก็บมาเลี้ยงใช่ไหม? ต้องใช่แน่ๆ บางทีตอนนั้นอาจจะมีคนมาเห็นฉันเลยเก็บมาเลี้ยง
อะไรแบบนี้ใช่ไหม!?
“หิวแล้วใช่ไหม หิวแล้วใช่ไหม กินนมสิ”
ผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรไม่รู้เรื่องแถมในมือข้างหนึ่งถือหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ แม้อ่านตัวหนังสือไม่ออกแต่มีรูปปกประมาณ แม่อุ้มลูกอยู่
ถ้าให้เดาคงเป็นคู่มือการใช้งาน (เลี้ยงลูก) เดี๋ยวเห้ย นี่ฉันโดนปล่อยป่าไม่พอโดนแปะคู่มือการใช้งานมาด้วยเรอะ!?
ไม่สิแรกเริ่มเดิมที โลกนี้มันมีคู่มือการใช้งานได้ไงเนี่ย ไม่สิ คู่มือการใช้งานก็เป็นคำอธิบายมันก็ควรมีอยู่ทั่วไปสิน่า
“เมื่อลูกตื่นแล้วจะงอแงหิวนม ถ้าเป็นลูกแรกเกิดให้เอานมจากเต้า อืม.. ข้าก็ทำถูกแล้วนี่น่าทำไมยังร้องไห้ หรือเพราะว่ายังไม่เคยลองเลยปฏิเสธ?”
ผู้หญิงคนนั้นมองหนังสือแล้วพึมพำภาษาที่ฉันไม่รู้จัก แต่พอพูดเสร็จก็หันมาดูฉันด้วยสายตาจริงจัง
“กินเถอะนะ แม่ขอโทษ!”
ว่าแบบนั้น (ถึงจะไม่เข้าใจ) แต่ก็กดปากฉันใส่เต้านมอย่างรุนแรง
“อุก อัก”
หะ.. หายใจไม่ออกเฟ้ย สถานการณ์แบบนี้มันอะไรกัน เจอผู้หญิงแปลกหน้าจบปากกดเต้านมเพื่อที่จะให้กินนม
แต่… นมไม่มีเฟ้ย ไม่มีสักหยดเลย มันก็เรื่องปกติไม่ใช่เรอะฉันไม่ใช่ลูกของเธอคนนี้ อีกอย่างดูเหมือนเธอจะไม่เคยมีลูกมาก่อนจะมีน้ำนมได้ยังไง
“ดูดสิๆ”
เธอคนนี้กดแรงเข้า อ๊ากๆๆๆๆ ไม่ไหวแล้ว *ติง*.. สลบไปอีกรอบแล้ว… ฉันนี่แหละ ตั้งแต่มาที่โลกนี้มีอะไรดีบ้างวะเนี่ย
เกิดมาโดนปล่อยทิ้งกลางป่า โดนระเบิดอนุภาคที่ตัวเองสร้างลองหวังจะยิงพลุ จนเกือบตาย พอรู้ตัวอีกทีโดนผู้หญิงที่เหมือนจะเก็บมาเลี้ยง
แต่ที่โดนเก็บมาเลี้ยงเนี่ย ดีใจก็ดีใจอยู่หรอกนะ แบบว่าไม่ได้ถูกทิ้งไว้คนเดียวกลางป่าเขาลำเนาไพร อะไรแบบนั้นน่ะ
แต่ไอ้ข้อหาพยายามฆ่าโดยการทำให้หายใจไม่ออกเมื่อกี้มันอะไรกัน มีความต้องการแบบไหนกันแน่…
แต่จะบ่นอะไรก็ไม่ได้.. ดูเหมือนจะไม่ใช่คนไม่ดีด้วยสิ…. แถมเก็บฉันมาเลี้ยงด้วยสิ
…..
….
…
และด้วยเหตุนี้เองฉันจึงกลายเป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องหลังจากที่ฉันมาอยู่นี่ได้ประมาณสามเดือนถึงรู้
ฉันมีชื่อว่า เลทิเซีย ทีน อาเดฟ ชื่อมันดูเหมือนผู้หญิงก็จริง เพราะฉันกลายเป็นผู้หญิงไปแล้วไงล่ะ
ด้วยความที่พระราชาหรือพ่อ ที่ไม่ใช่พ่อแท้ๆ น่ะนะ เป็นกษัตริย์จึงไม่ค่อยมีเวลาว่าง ปกติฉันจะเห็นแต่คุณแท่มาเล่นกับฉัน
แต่ก็ไม่ได้ดูเป็นคนเลวร้ายอย่างที่คิดนี่นะ พอนึกถึงครอบครัวฉันก็นึกถึงชาติก่อน เพราะชาติก่อนพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุจนถึงแก่ชีวิต
ฉัน พี่สาว น้องสาว อยู่ด้วยกัน.. พี่สาวทำงานหนักเพื่อส่งฉันเรียน ถึงพี่สาวจะดุมากๆ เพราะเธอเรียนวิชาดาบมาจากตระกูลของพ่อ
แต่ฉันคิดว่าเธอคิดร้ายกับฉันไม่เคยได้ เธอเสียชีวิตหลังจากฉันโตขึ้น.. ฉันต้องเลี้ยงส่งน้องสาวแทนพี่ที่สิ้นลมจากการหักโหมทำงานหนัก
น้องสาวฉันเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีจนตรงกันข้ามกับฉันแบบสุดขั้ว จะว่าไป ยัยนั่นจะเป็นอะไรไหมน้า
แต่อย่างยัยนั่น ทำได้ทุกอย่างคงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ เรียก็เก่ง กีฬาก็ดี ฝีมือก็ยอด ทุกอย่างล้วนเพียบพร้อมจนน่ากลัวเลยล่ะ
แต่ช่างเรื่องชาติที่แล้วไปก่อน
หลังจากผ่านมาหนึ่งปี ฉันที่แอบย่องเข้าหอสมุดกลางดึกของวังทุกคืน ผลลัพธ์ก็สำเร็จฉันสามารถเข้าใจภาษาได้แล้ว!
แต่ว่านะ ภาษาสมัยใหม่มันมีเยอะมาก จริงๆ ฉันเข้าใจภาษาแรกตั้งแต่สามเดือนแรกแล้ว ส่วนภาษาอื่นก็จำภายในเวลาสั้นๆได้
ด้วยเหตุนี้การจะหลอกให้ฉันเซ็นต์สัญญาทาสน่ะ เป็นไปไม่ได้เฟ้ย เทพธิดาใจโฉดฉันไม่มีทางเดินตามหมากที่คุณวางไว้หรอกนะ
ฉันไม่มั่นใจว่ามันถูกไหม ฉันเลยคลานไปหาแม่ที่กำลังสร้างปราสาทด้วยแผ่นไม้เล่นเอง ย้ำว่า เธอเล่นเอง… ติ๊งต๊องจริงๆ … (เอ็งว่าคนอื่นไม่ได้หรอก)
“มา..ม๊า”
ด้วยความที่ร่างกายเป็นเด็กกล่องเสียงเลยยังไม่ดีพอที่จะพูดเป็นคำๆ เลยพูดได้ทีละคำสองคำเท่านั้น
“โครม” ปราสาทไม้พังลงทันที แม่หันหน้ามาหาฉันด้วยสายตาตะลึง ก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วไม่มีใคร.
“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ?”
“มาม๊า”
เธอเหมือนจะคิดว่าฉันพูดไม่ได้ แต่พอฉันพูดอีกรอบตาของเธอก็น้ำตาไหลพรากทันที เธอร้องไห้ออกมาซะงั้น
ฉันคิดว่าก็คงปกติละมั้ง แบบลูกถึงจะไม่แท้เริ่มพูดคงดีใจจนร้องก็ไม่แปลกอะไร เอ๊ะ หรือแปลก?
“ใน…ในที่สุด… ก็ถูกเรียกว่าแม่แล้วคุณค้าาาา”
ตรงนั้นหรอกเรอะ!? ว่าแล้วแม่ก็วิ่งออกไปจากห้องของฉัน ดูจากการเรียกพ่อคงจะไปหาพ่อนั่นแหละ
แต่ตกเย็นแม่ก็ไม่กลับมาเลย ปกติแม่จะกลับมานอนที่นี่ ด้วยความสงสัยฉันเลยย่องออกจากห้องไปเงียบๆ
ถามว่าทำไมถึงเดินได้น่ะเหรอ.. ฉันเดินไดตั้งแต่เดือนแรกแล้ว กล้ามเนื้อลูกจอมมารนี่แข็งแกร่งกว่าที่คิดจริงๆ
ฉันที่ย่องผ่านความมืดก็ได้ยินเสียงฝีเท้ายามราตรีพร้อมกับเสียงพูดคุย
“ตอนนี้กองทัพอาณาจักรเอฟกำลังตีชายแดนทางเหนือกำลังจะแตกแล้ว”
“ฝ่าบาทยังคงไม่เคลื่อนไหว ข้าได้ยินว่าเพราะฝ่าบาทกลัวน่ะ”
“ไร้สาระจริงๆ”
ฉันหลบขึ้นไปบนผนังเห็นเมดสองคนคุยกันเรื่องใครที่ไหนไม่รู้กำลังทำสงคราม เอ๊ะ.. ตอนนี้อยู่ในช่วงสงครามเหรอ?
ไม่เอานะ ถ้ามีสงครามก็ต้องมีแบบเชลยศึกใช่ไหม ที่แบบต้องโดนทุบโดนตีก็ห้ามปริปากอะไรแบบนี้… ไม่อยากเป็นแบบนั้นนะ
แต่พ่อคงไม่ปล่อยไว้แน่ๆ .. หรือว่าพ่อกับแม่กำลังไปชายแดนสินะ..
ถ้างั้นห้องของพ่อก็ไม่มีคนอยู่สิ มีหนังสือที่อยากอ่านในนั้นพอดีด้วย.. ว่าแล้วฉันก็ย่องไปในความมืด
จนมาถึงห้องนอนของกษัตริย์ ซึ่งปกติจะมีอัศวินระดับสูงเฝ้าไว้อยู่แต่ตอนนี้ไม่มีเลย สงสัยจะไปทำสงครามกันหมด
ฉันค่อยๆ เปิดประตูออกช้าๆ น่าตกใจที่แสงสว่างสาดจ้าเข้ามาในตาฉันจนพร่ามัวไปครู่หนึ่งก่อนที่จะชินกับแสง ฉันก็เห็นภาพสงครามในห้องนอนพ่อ
โอ้.. รุนแรงดีนะเนี่ย
ไม่ใช่แล้วเฟ้ย ฉันรีบปิดประตู.. สาบานว่าฉันไม่ได้เห็นอะไรทั้งสิ้น ที่ว่าพ่อแม่กำลังออกกำลังกายกลางดึกด้วยท่าพิสดารและรุนแรง…
ไม่เลยสักนิด…
นี่คงเป็นสถานการณ์ที่เรียกว่า สงครามภายในล่ะสินะ?