การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 59
บทที่ 59 – พี่น้องงั้นเหรอ ?
ฉันหลบออกมา แต่เพราะเตียงโดนยึดฉันเลยไม่มีแผนจะกลับไปยังห้อง ไปเดินรับลมเล่นคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
ยังไงซะพรุ่งนี้ก็ไม่มีเรียนเนื่องจากจะให้นักเรียนส่วนใหญ่เตรียมตัวที่จะเดินทางกลับ อันที่จริงนี่ก็เป็นวันใหม่แล้วอะนะ
แถมหากเทียบกับวันปกติวันนี้คือวันหยุด ฉันสามารถออกจากเขตโรงเรียนได้ ต่อให้มีคนในโรงเรียนจะเล็งเอาชีวิตฉัน
ฉันก็ใช้ข้ออ้างได้ว่าเป็นวันหยุดแล้ว นี่มันสมบูรณ์แบบเลยแฮะ ต้องออกไปซื้อของที่ต้องการอยู่นิดหน่อยด้วย
เพื่อความปลอดภัยต้องไม่ให้คนรู้ เวลานี้จึงเป็นการดีที่สุด ฉันไม่ได้ใช้ความเร็วสูงเพราะถ้ามันไปปลุกคนอื่นจะแย่เอา
คนที่อยู่ในโรงเรียนนี้มีแต่พวกสัตว์ประหลาด ฉันจึงต้องระวังตัวมากเท่าที่จะทำได้เลยแหละ ฉันเดินลัดเลาะผ่านชั้นเรียน
โดยการเดินไปหลังหอพักของนักเรียนฝั่งผู้หญิง ในขณะที่ฉันกำลังเดินอยู่นั้นเองก็มีคนเดินสวนออกมาจากทางประตูหลังหอพอดี
“โอ๊ย..”
แย่ละ ทำไมฉันถึงสัมผัสถึงไม่ได้ล่ะเนี่ย ขณะที่กำลังจะซ่อนตัวแต่สายตาก็เลื่อนไปเห็นคนคนนั้นก่อน
แน่นอนว่าเธอเป็นผู้หญิง เพราะเดินออกมาจากหอพักหญิง ใช่.. คนคนเดียวที่ฉันเชื่อใจคือ เลวี่นั่นแหละ
“เลวี่?”
“พี่?”
เลวี่ถึงกับตกใจ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะหอบกองกระดาษอยู่พอชนกับฉันมันเลยทำให้กระดาษกระจัดกระจายบนพื้น
“ทำอะไรของเธออยู่เนี่ย…”
“ปะ.. เปล่า…”
เลวี่เหมือนตกใจรีบเก็บกระดาษด้วยความลนลาน แม้แต่ฉันเองยังแปลกใจ ปกติเลวี่เป็นคนที่ร่าเริงและเก่งไปซะทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะการเรียนภาคปฏิบัติหรือความรู้ เธอเก่งจนทุกคนในห้องต่างพากันคิดว่าเธอคือจอมปราชญ์ในอดีตเลยทีเดียว
การเห็นเธอลนลานจึงไม่ค่อยมี ฉันมองไปที่เธอก่อนที่จะถอนหายใจและหยิบกระดาษยื่นให้เธอ
เพราะเป็นความผิดของฉันด้วย แต่ในตอนนั้นสายตาของฉันก็เลื่อนไปเห็นข้อความบนกระดาษว่า
‘ทฤษฎีการตายและฟื้นคืนชี—’
ก่อนที่จะอ่านจบเลวี่ก็ดึงกระดาษออกไปจากมือฉันด้วยความเร็วสูง แล้วเธอก็รีบเก็บกระดาษอื่นทันที รู้สึกว่ากระดาษอื่นจะมีทฤษฎีอื่นที่ดูอันตรายไม่แพ้กัน
“เดี๋ยวสิ เลวี่นั่นมันเรื่องอะไร?”
“มันไม่เกี่ยวอะไรกับท่านพี่หรอก ไม่ต้องมายุ่งหรอก..”
เธอพูดแบบนั้นใส่ฉัน แล้วฉันรู้สึกว่าคำพูดนั้นมันดูห่างเหินยังไงไม่รู้พิกล อาจจะไม่ได้เป็นคำพูดตัดพี่ตัดน้องอะไรแบบนั้น
แต่พอคำพูดนั้นดังขึ้นผสมกับการที่เธอหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยกับฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกว่าระยะห่างของฉันกับเธอที่เคยใกล้ชิดกันมาก ฉันยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเธอถึงตีตัวออกห่างฉัน
กลับกันมันเริ่มดูห่างไกลมากขึ้น มากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งที่ไม่ใช่คำที่ดูรุนแรงอะไร เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับฉันจริงๆ
แต่ทำไมคำพูดนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกแย่และโดดเดี่ยวแบบนี้นะ… แต่ว่าฉันในฐานะที่เป็นพี่ต้องเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์
และปรับความเข้าใจกับน้องให้ได้.. ฉันไม่รู้ว่าเธอทำอะไรอยู่ แต่หากเป็นเรื่องอันตรายละก็ฉันไม่มีทางยอมให้น้องสาวทำเรื่องแบบนั้นหรอก
แต่ว่าฉันในตอนนั้นกลับพูดอะไรไม่ได้เลย ความห่างเหินนั้นมีมากเกินไป สายตาของฉันได้แต่มองแผ่นหลังของเธอจากไป
ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยรู้จักคำว่าพ่อแม่ที่รักลูก เพราะตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีฉันไม่มีพ่อแม่อยู่แล้ว
มันเป็นเรื่องก่อนที่ฉันจะจำความได้เพราะว่า ตั้งแต่จำความได้ฉันก็มีน้องสาวตัวเล็กกับพี่สาวที่แข็งแกร่ง คอยพยุงครอบครัว
เธอมักบอกเสมอเราไม่สามารถพึ่งพาคนอื่นได้นอกจากตนเองและครอบครัวที่เราเชื่อมั่นอย่างพี่น้องที่โตมาด้วยกัน..
แม้แต่คำว่า ‘เพื่อน’ ยังไม่สามารถที่จะทดแทนสิ่งนี้ได้ แม้แต่ ‘ความรัก’ ที่เป็นเรื่องไร้เหตุผล พี่สาวฉันคอยบอกเสมอว่า
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน.. และสำหรับฉันแล้วที่เป็นเหมือนสัตว์ประหลาดไม่สามารถได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากใครนอกจากครอบครัว
และคนคนนั้นเท่านั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ฉันเป็นคนที่ขี้ระแวง หลังจากที่พบเจอความโหดร้ายของโลก?
ไม่สิ.. อาจจะเป็นตอนที่พี่บอกว่าอย่าเชื่อใจใคร… หรือมันอาจจะเป็นเรื่องก่อนหน้านั้นอีก.. มันยาวนานเกินไปไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันกลายเป็นคนแบบนี้ไป
แม้จะเกิดใหม่แต่ฉันกลับถูกทิ้งไว้กลางป่า หากไม่ถูกใครสักคนเก็บมาเลี้ยงฉันคงไม่มีชีวิตอยู่จนมาถึงปัจจุบันนี้
ในโลกที่ไม่มีที่ให้พักพิงและเป็นโลกที่โหดร้าย ฉันไม่ปฏิเสธว่าฉันรู้สึกโดดเดี่ยวแม้ฉันจะมีชีวิตมาแล้วชาติหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงฉันกลับรู้สึกเหมือนเด็ก
ฉันคิดถึงน้องสาวในโลกเดิมตลอดเวลา ตอนนี้เธอจะเป็นยังไงบ้าง เธอคงไม่เป็นอะไรนะ? ไม่สิ.. โลกที่เต็มไปด้วยสงครามการแย่งชิงนั่นนะไม่มีทางที่เธอจะสงบสุขอยู่แล้ว
ฉันหลอกตัวเองว่าต้องไม่เป็นไร.. ไม่เป็นไร.. และทนที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกที่โดดเดี่ยวตอนนี้ จะว่าไปก่อนที่ฉันจะเกิดพี่สาวคงรู้สึกแบบเดียวกัน?
จนกระทั่งเลวี่ได้เกิดขึ้นมา.. นั่นคงเป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มที่จะหลอกเลวี่ หลอกทุกคนหรือแม้แต่ตัวเอง
ฉันมองเลวี่เป็นลูเซียตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้.. ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันก็ไว้เนื้อเชื่อใจเธอที่สุดบนโลกใบนี้ ใช่ เธอคือน้องสาวเพียงคนเดียวของฉัน
ฉันต้องปกป้อง.. นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดตลอดมา ใช่ สุดท้ายแล้วฉันก็แค่หาที่พักพองให้ตัวเอง ในโลกอันโหดร้ายใบนี้
ฉันไม่สามารถแบกรับมันไหว จึงต้องหาที่พักพิง.. เธอคือน้องสาวของฉันนะ.. เธอคือคนเดียวบนโลกใบนี้นะที่ฉันเชื่อใจ
ฉันคิดแบบนั้น หลอกเลวี่ หลอกตัวเองตลอด ทั้งที่ในความจริงฉันเป็นแค่เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงแถมเป็นเหมือนปีศาจสำหรับมนุษย์
ฉันหลอกตัวเองเสมอมาตั้งแต่ตอนนั้น และจนกระทั่งเมื่อสองเดือนก่อนน่ะ.. วันที่เด็กผู้หญิงที่ชื่อลูเซียปรากฏตัวขึ้น
มันทำให้ฉันนึกออกขึ้นมาว่า น้องสาวที่แท้จริงของฉันไม่มีอยู่บนโลกใบนี้ และบางทีคนที่ตีตัวออกห่างน่ะไม่ใช่เลวี่..
แต่เป็นตัวฉันต่างหากที่กำลังตีตัวออกห่าง.. และเริ่มรู้สึกระแวงเธอขึ้นมา ฉันหลอกตัวเองอีกครั้งว่าเธออาจจะมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำและปกปิดคนอื่นไม่ให้รับรู้
ในความเป็นจริงมันกลับมีฉันเป็นต้นเหตุมากกว่า คำพูดที่บอกว่าไม่เกี่ยวกับฉันและเลิกยุ่งกับเธอสักที..
มันเป็นเหมือนกับระฆังที่กึกก้องอยู่ในหัวของฉัน ปลุกฉันขึ้นมาจากโลกแห่งการหลอกลวงที่ฉันสร้างมันขึ้นมาเอง
และ.. สุดท้ายแล้ว.. ในโลกที่โหดร้ายนี้ก็ยังโหดร้ายกับฉันอีกต่อไป ปลุกฉันจากความสุขเพียงเสี้ยวเดียวบนโลกด้วยคนที่ฉันไม่รู้จัก…
มันบอกกับฉันว่า ฉันมันตัวคนเดียว
……….
เลวิเนียที่เดินออกมาจากเลทิเซียได้สะฝักพักหนึ่งเธอก็หยุดลง แล้วก็กำหมัดขึ้นต่อยใส่ผนังหอพัก
“ข้า.. พูดอะไรออกไป…”
เพราะการที่ทุบหมัดนั้นทำให้กระดาษในมือร่วงลงบนพื้นอีกกระดาษแต่ละใบมีทฤษฎีเวทมนตร์ต่างๆ มากมาย เธอค่อยๆ หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา
“ท่านพี่… หากท่านรู้เรื่องของข้า.. ท่านคงเกลียดข้า..”
กระดาษแผ่นนั้นมีข้อความเขียนไว้ และมีการขีดโยงมากมายเห็นชัดว่ากระดาษแผ่นอื่นแค่ส่วนประกอบที่มาใช้ในการทดลองทฤษฎีความเป็นไปได้นี้
‘การเกิดใหม่’
นั่นคือหัวข้อบนกระดาษแผ่นนั้น.. เธอตัวสั่นและกลัว
เพราะเธอ..อาจจะไม่ใช่เธออีกต่อไป
ใช่แล้ว.. ความสลับซับซ้อนของอารมณ์และความรู้สึกมันมีมากกว่าจะมองทะลุปรุโปร่งได้ในบางครั้ง
ดังนั้นแม้พวกเธอจะอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เอื้อม.. แต่มันก็เหมือนกับว่าอยู่ห่างไกลกันราวกับอยู่คนละโลก
…………
[มันเริ่มแล้วสินะ ณ ที่แห่งนี้มันมาถึงจุดๆนี้แล้วสินะ – ใครสักคน]