การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 48
บทที่ 48 ซิลเวียและศาสตร์แห่งทวน
“ฉันมีชื่อว่าอิซานะ เป็นรูมเมจของโคลเอ้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ!”
ว่าแล้วจิ้งจอกสาวก็แนะนำตัวให้ฉัน แถมทำท่าทางสนิทสนมกับโคลเอ้มากๆ โคลเอ้ก็เหมือนจะทิ้งการระวังตัวต่ออิซานะไปโดยสิ้นเชิง
ทำให้ฉันรู้สึกว่าโคลเอ้ยังต้องเรียนอีกเยอะเลยแหละ ต่อโลกที่โหดร้ายใบนี้น่ะ เพราะเธอใจอ่อนต่อโลกเกินไป
โลกไม่มีทางเห็นใจเธอหรอกนะ! แต่ก็นะฉันไม่ทำตัวให้แตกตื่นและแนะนำตัวออกไปเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ทางเดินไปที่โรงอาหารจึงวุ่นวายอย่างมาก
ฉัน เลวี่ โคลเอ้ ชาร์ล็อต ทสึรุ และอิซานะ จะวุ่นวายก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในขณะที่ฉันพยายามเดินรั้งท้ายเพราะไม่อยากไปแทรกความสนุกของเลวี่
เพราะเธอกำลังคุยกับเพื่อนๆ ฉันแค่ปกป้องอยู่ในเงามืดก็พอแล้วล่ะ! แต่ในตอนนั้นเองจมูกของเลวี่ก็ทำเสียง “ฟุดฟิดๆ”
เธอเอาจมูกไปใกล้ๆ ตัวของชาร์ล็อตก่อนจะหันกลับมามองฉัน
“เอ่อ.. อะไรเหรอเลวี่”
ทุกคนงุนงงกับท่าทางของเลวี่ก่อนที่เธอจะคิดอยู่พักหนึ่งแล้วเดินกลับมาหาฉันที่อยู่ท้ายๆ
“ท่านพี่ทำไมบนตัวของชาร์ล็อตถึงมีกลิ่นของท่านพี่?”
“เอ๊ะ ..?”
กลิ่นเดี๋ยวนะจำไม่ยักได้ว่ามีกลิ่นแบบนั้น ไม่สิ ฉันอาบน้ำนี่น่าแถมไม่ได้ใช้ห้องน้ำเดียวกันด้วย อีกอย่างชาร์ล็อตก็อาบน้ำ
จะมีกลิ่นได้ไงกัน แต่น้องสาวไม่น่าจะโกหกฉันนี่น่า ขณะที่คิดแบบนั้นอยู่ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้มองหน้าเลวี่ที่จ้องมาที่ฉันเหมือนกำลังจะบอกบางอย่าง
อ้อ แบบนี้นี่เอง! น้องสาวกำลังจะบอกฉันว่าฉันปล่อยปละละเลยเกินไปสินะ! อยากจะบอกว่าให้พลังชาร์ล็อตมากกว่านี้จะนอนเตียงเดียวกันไม่ได้!
(แค่โกรธและเลวี่ยังไม่รู้ว่ามา ชาร์ล็อตกับเลทิเซียนอนเตียงเดียวกันก็สงสัย แต่เลทิเซียเข้าใจว่าเลวี่รู้แล้วจากเรื่องกลิ่น ที่เลวี่ไม่พูดออกมาตรงๆ เพราะจะบอกพี่สาวอ้อมๆ)
เอาล่ะฉันจะตอบกลับยังไงดีนะในสถานการณ์แบบนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ควรจะพูดออกไปตรงๆ
และเป็นการบอกเลวี่เป็นนัยๆ ว่าขอโทษ และเป็นคำตอบที่ทำให้คนอื่นไม่รู้ว่าเรานอนเตียงเดียวกัน เพราะที่เลวี่ถามอ้อมๆ คงไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนั้น
ถึงฉันจะไม่รู้ว่าทำไมแต่นอนเตียงเดียวกันนี่ก็ควรบอกคนอื่นสินะ.. เอ๊ะ แต่ฉันนอนกับเลวี่บ่อยๆ นี่น่า แล้วก็บอกท่านแม่กับท่านพ่อได้ปกติ?
อืม เอาเป็นว่าถ้าเลวี่ไม่ต้องการก็ต้องเลี่ยงสิ ฉันใช้ทักษะที่มากมหาศาลในการวิเคราะห์คำตอบก่อนจะตอบออกไป
“จริงๆ แล้ว.. น้ำหอมในห้องมันแตกนะ เลยมีกลิ่นของพี่แล้วก็ชาร์ล็อต”
“หืมมม งั้นเหรอ”
น้องสาวฉันทำท่าทางเหมือนไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ น่าก็รู้ว่าเป็นห่วงแหละ! แต่เห็นแบบนี้ฉันก็เป็นคนระแวงพอตัวนะ (พอตัว?)
“จะเชื่อแล้วกันนะคะ!”
ว่าแล้วเลวี่ก็พูดขึ้นก่อนจะเดินต่อ ในขณะที่คุยกับคนอื่นแม้จะถูกพยายามดึงไปคุยด้วย แต่เพื่อการป้องกันตัวฉันต้องระวังไว้ให้มาก
แล้วทสึรุเหมือนจะเป็นเด็กที่เข้ากับคนอื่นไม่ได้หรืออาจจะอายุน้อยที่สุดเลยยากที่จะยกหัวข้อมาพูดเธอจึงไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มพูดคุย
แต่หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน แต่ก็ยังเดินไปพร้อมกับเลวี่ เห็นชัดว่าสนิทกันพอตัว ฉันคิดแบบนั้น ถึงจะคิดว่าอาจจะวางแผนอะไรไว้
แต่ก็ไม่คิดจะห้ามน้องสาวมีเพื่อนหรอกนะ อย่างน้อยฉันก็คิดแบบนั้นพวกเรา เดินทางไปจนถึงโรงอาหารโดยใช้เวลาไม่นานมาก
โรงอาหารแบ่งออกเป็นสองชั้นไม่ได้แบ่งชนชั้นอะไรหรอก แค่บรรยากาศแตกต่างกันเท่านั้นเอง
พวกเราขึ้นไปชั้นสอง และไปนั่งที่นั่งที่ระเบียงชั้นสองมีอากาศแจ่มใส สายลมเย็นๆ รู้สึกสบายดีมากๆ เลยแหละ
หลังจากนั้นก็เริ่มรับประทานอาหารแม้จะวุ่นวายไปบ้างแต่ก็ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกแปลกๆ ในหน้าอก
รอยยิ้ม ความสนุกสนาน พูดคุยหัวข้อที่ชอบเหมือนๆ กัน กินของจากจานเดียวกัน อาหารเหมือนๆ กัน…
จะว่าไงดีไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย ตั้งแต่ชาติก่อนแล้วเพราะไม่ว่าฉันจะไปนั่งที่ไหนก็จะมีคนออกห่างมีแค่พี่และน้องเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกวางใจแบบนี้
ไม่ใช่ว่าฉันรู้สึกว่าต้องไม่ระวังตัว แต่มันเป็นความรู้สึกที่ว่าบรรยากาศแบบนี้มันก็ไม่ได้แย่หรอกนะ.. แม้สุดท้ายแล้วมันอาจจะเป็นของปลอมก็ตาม
พอคิดแบบนั้นฉันก็ลุกขึ้นยืน
“ท่านพี่?”
“ขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะ”
“ท่านพี่?”
ฉันวิ่งออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ไม่เอาหรอกความรู้สึกแบบนั้น ความรู้สึกแบบที่ต้องเสียพี่สาวไป..
ฉันวิ่งหลบออกมาจากโรงอาหารก่อนจะชนกับบางอย่างเข้าจนล้มลงไปกับพื้นคิดว่าอีกฝ่ายก็ล้มเหมือนกัน
“โอ้ย”
“ขอโทษค่ะ!”
เสียงผู้หญิงที่ดูคุ้นหูขอโทษ ฉันก็หันขึ้นไปเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา
“ซิลเวีย?!”
คนคนนั้นคือซิลเวียที่หายหน้าหายตาไปหลายวันฉันคิดว่าน่าจะไปดำเนินเรื่องการเข้าเป็นครูเหมือนกับลาน่าละมั้ง
ว่าแต่โรงเรียนนี้รับคนเป็นครูง่ายจังนะ เพราะไม่ใช่แค่ลาน่าแต่รับแม้แต่คนอย่างซิลเวียเนี่ย ถามว่าทำไมฉันถึงรู้ว่าเธอสอบเป็นครูผ่านน่ะเหรอ
ก็ชุดที่เธอใส่เป็นชุดของครูในตอนนี้สิ จำได้ว่าซิลเวียเคยบอกว่าตัวเองจะมาเป็นครู แต่ไม่คิดว่าจะได้เป็นจริงๆ นะเนี่ย
“เลทิเซียยยย~~ แงงง”
แล้วเธอก็กระโดดกอดฉันทั้งน้ำตา พอรู้ว่าเป็นฉันที่ตัวเองชน เพราะเสียงร้องของเธอเลยดึงดูดสายตาคน
โดยเฉพาะหน้าโรงอาหารเด็กนักเรียนเยอะมากฉันเลยต้องลากแขนซิลเวียที่กำลังสะอึกสะอื้นร้องไห้อยู่ไปจากหน้าโรงอาหาร
“ฮรืออออ เลทิเซียยยย~ ฉันกลัวมากเลยล่ะ ฮรืออ”
สวมชุดครูแต่ร้องไห้ให้นักเรียน นี่มันไม่แปลกไปหน่อยไหม แต่ยังไงซะซิลเวียก็คือซิลเวียแหละน่าเธอไปเจออะไรมากันแน่ถึงขั้นทำให้เธอเป็นแบบนี้
“ใจเย็นๆ ก่อนสิ แล้วมีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ?”
ไม่สิ ว่าแต่ทำไมฉันต้องสนใจเรื่องของซิลเวียด้วยเนี่ย แต่เพราะซิลเวียเป็นคนที่ฉันมีความระวังต่อเธอน้อยที่สุด
ว่าตามตรงแล้วฉันอยู่กับเธอนานมาก ดังนั้นฉันก็รู้จักเธอมากเช่นกันเพราะผู้หญิงคนนี้ถึงจะมีแผนอยู่ในใจแต่ก็แสดงออกห่วยแตกมาก
ฉันเลยมองออก .. แต่เพราะเหตุผลที่อยู่ด้วยกันมานานละมั้งเลยทำให้ฉันถามแบบนั้นออกไป
“ฮรือ.. มะ.. เมื่อกี้.. ฉัน..ฉัน..”
ว่าแล้วเธอก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง.. ด้วยความที่สอบเป็นครูผ่านแต่เพราะไม่มีที่ดัก เธอเลยต้องจำใจไปอยู่ที่บ้านผู้อำนวยการเก่า
แต่ว่าบ้านผู้อำนวยการเก่าเป็นบ้าร้างที่ไม่มีคนอยู่ เคยมีเรื่องเล่าว่าครูคนหนึ่งที่เป็นผู้อำนวยการของวิชาสอนการต่อสู้ด้วยทวน
แต่เพราะศาสตร์การต่อสู้ล้าสมัยจนไม่มีใครสนใจ ทำให้เขาเริ่มกลายเป็นคนบ้าค้นคว้าศาสตร์แห่งทวนเพื่อที่จะเอาชนะดาบ
แต่ว่าด้วยความที่สร้างผิดพลาดทำให้ตาย แต่ทว่ายังมีเรื่องเล่าต่อว่าวิญญาณของอาจารย์คนนั้นไม่ยอมไปผุดไปเกิด
ทุกๆ วันที่พระจันทร์เต็มดวงจะมีเสียงหัวเราะของคนบ้าดังออกมาจากห้องใต้ดินและเสียงฝึกทวนพร้อมกับการทำเวทคำสาปจองศาสตร์แห่งทวน
เรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในเจ็ดเรื่องลึกลับของโรงเรียนเช่นกัน ที่ซิลเวียยอมไปอยู่บ้านหลังนี้ทั้งๆ ที่รู้ฉันคิดว่ายัยนี่คงคิดว่าตัวเองเป็นเทพไม่จำเป็นต้องกลัวผี
และสภาพของซิลเวียในตอนนี้ผนวกกับเมื่อคืนที่เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง… ฉันพนันได้ว่าถูกหลอกมาทั้งคืนแน่ๆ ..
……….