การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 443
บทที่ 443 – พี่ขอโทษ..
“แต่ฉันไม่คิดจะยอมยกโทษให้เธอหรอกนะ เอลน่า”
จู่ๆ เสียงอันเย็นชาของอเล็กเซียก็ดังขึ้นสายตาของเธอจ้องไปที่เอลน่าเหมือนกับจะกลืนกิน ความเจ็บปวด
ความเสียใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอพบเจอมาตลอดราวกับเป็นนิรันดร์ต้นเหตุล้วนมีมาจากเอลน่า.. เพราะเธอทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของอเล็กเซียพังไปจนหมด
ไม่มีทางที่จะยกโทษให้อยู่แล้ว ยกโทษให้ไม่ได้โดยเด็ดขาด.. เอลน่าเองก็หันไปมองอเล็กเซีย
สายตาอันเวิ้งว้างของเอลน่าจดจ้องไปที่ดวงตาของอเล็กเซียทั้งสองคนจ้องกันอยู่แบบนั้น.. เอลน่ากล่าวขึ้น
“เรื่องในตอนนั้นฉันเป็นคนผิดเอง.. เพราะงั้นขอโทษด้วย”
“ขอโทษ..? ขอโทษงั้นเหรอ อย่ามาตลกนะ คิดว่า.. ฉันต้องทนทุกข์ทรมานมานานเท่าไหร่กัน คิดว่าเป็นเพราะใครกัน”
“ก็นั่นน่ะสินะ”
เอลน่าพึมพำออกมาเบาๆ ความโกรธของอเล็กเซียยิ่งรุนแรงขึ้น ดวงตาของเธอแดงก่ำ.. ไอ้ท่าทางที่เหมือนไม่สนใจไยดีอะไรนั่น
ไอ้ท่าทางที่ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เกี่ยวกับตัวเองนั่น.. ทั้งๆ ที่คนที่ผิดมันเธอ หากไม่ใช่เพราะเอลน่าร่ายคำสาปใส่โลกนี้
ทุกอย่างก็จะสวยงามกว่านี้แท้ๆ .. มันควรจะเป็นแบบนั้นแท้ๆ .. อเล็กเซียก้าวเดินเข้ามาหาเอลน่าด้วยความโกรธ
มือทั้งสองข้างกำเป็นหมัดแน่นๆ .. แต่ทว่าดวงตาเอลเน่ขมวดขึ้นเล็กน้อย.. นี่คือช่วงเวลาสำคัญของเธอกับเอลน่า
เอลเน่กับเอลน่าถึงแม้จะทะเลาะกันแต่ทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันนานกว่าทุกความสัมพันธ์บนโลกนี้
พวกเธอรู้จักกันตั้งแต่ทุกสรรพสิ่งยังไม่มีอะไรเลย .. นั่นแน่นอนว่าตลอดระยะเวลาที่นับไม่ได้ที่พวกเธอไม่ได้เจอกันมานาน
ต่อให้เป็นอเล็กเซีย เอลเน่ก็ยังรู้สึกโกรธอย่างช่วยไม่ได้ แถมในตอนนี้เอลเน่ไม่ใช่มารดาแห่งสรรพสิ่งอีกแล้ว
ความรู้สึกรักใคร่ต่อสิ่งมีชีวิตที่มากมหาศาลของเธอหายไปจนหมดแล้ว ในตอนนี้เธอแค่อยากจะปรับความเข้าใจกับเพื่อนเพียงก็เท่านั้นเอง
พอเอลเน่ขมวดคิ้วร่างของอเล็กเซียก็ถูกกดลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว ราวกับมีแรงดึงดูดที่มากมหาศาลกดทับเธอเอาไว้
“อึก”
สายตาเธอไม่ได้หันมองไปที่เอลเน่ แต่หันมองไปที่เทพผู้สร้างริวตะ.. ริวตะยืนอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอนว่าความต้องการของเอลเน่ทำไมริวตะจะไม่เข้าใจ
อันที่จริงเอลเน่ไม่มีพลังมากพอที่จะต่อกรกับอเล็กเซียได้หรอกในตอนนี้ แต่ไม่ใช่สำหรับริวตะ ว่ากันตามตรงริวตะแข็งแกร่งกว่าอเล็กเซียอยู่หลายขุม
“ริว…ตะ…”
“เธอนอนอยู่ตรงนั้นไปสักพักเถอะนะ”
ริวตะพึมพำเบาๆ .. ดวงตาของอเล็กเซียเผยความเคียดแค้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด เอลน่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่ก็พูดไม่ออก.. เธอเงียบอยู่นานสองนาน ภายใต้สายตาของเอลเน่ที่จับตาดูอยู่ เอลน่าในตอนนี้แตกต่างไปจากเอลน่าในความทรงจำเธอมาก
เอลน่าที่เคยรู้จักรอบตัวจะมีพลังงานสีดำ และโดดเดี่ยวอยู่เสมอ เธอมักจะทำสีหน้าอมทุกข์ราวกับไม่มีใครเข้าใจเธอได้
เธอเปรียบเสมือนตัวแทนด้านมืดของเอลเน่เลยก็ว่าได้ เอลเน่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาบางๆ
“เธอ..เปลี่ยนไปแล้วสินะ..”
“หมายถึงอะไรงั้นเหรอ?”
“ฉันหมายถึงสีหน้าน่ะ.. หมายความว่าเธอเองก็เข้าใจความรู้สึกของฉันแล้วไม่ใช่เหรอ.. ใช่ไหมล่ะ เรื่องที่เล่าให้โรสฟังก่อนหน้านี้มันยังไม่จบเลยใช่ไหม?”
เอลเน่กล่าวราวกับสามารถอ่านความคิดของเอลน่าได้ เอลน่าได้แต่ยิ้มบางๆ .. คิดว่าตัวเองคงหลอกเพื่อนคนนี้ไม่ได้
“ใช่แล้วล่ะ..”
“ตั้งแต่วันที่ฉันทิ้งโรสสองคนนั้นมา.. ฉันก็เร่ร่อนในโลกแห่งนี้มาเรื่อยแบบไร้จุดหมายปลายทาง..”
“จนกระทั่ง.. ฉันได้เจอกับ..เรนแล้วก็ลูเซีย”
“ทั้งสองคนต่างจากความสมบูรณ์แบบที่ฉันวาดฝันถึง คนหนึ่งเป็นเด็กที่ปมด้อยเรื่องขนาดร่างกาย ส่วนเด็กอีกคนก็มีปมด้อยเรื่องโรคซึมเศร้า”
“อย่าว่าแต่ห่างไกลจากความสมบูรณ์เลย.. พวกเธอเป็นเหมือนกับความบิดเบี้ยวซะมากกว่า”
“เพราะแบบนั้นฉันถึงได้สนใจ.. ฉันได้อยากรู้ให้มากกว่านี้.. ฉันอยู่กับพวกเขา เลี้ยงพวกเขา.. คุยกับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม”
เธอเล่าพลางยิ้มที่มุมปาก แม้แต่เอลเน่ก็ยังไม่เคยเห็นเอลน่าที่ยิ้มได้มีความสุขขนาดนี้มาก่อน ต้องเข้าใจว่าหากเอลเน่เป็นแสงสว่าง
เอลน่าก็คือความมืด.. หากเอลเน่คือความถูกต้อง เอลน่าก็คือความชั่วร้าย มันเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรก ตั้งแต่ก่อนที่พวกเธอจะทะเลาะกันด้วยซ้ำ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าเอลน่าทำไมถึงดูหมองหม่นอยู่ตลอดเวลา แต่ในตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นหายไปจนหมด..
เลทิเซียที่เห็นใบหน้าภูมิใจของเอลน่านั้น มันกลับไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีด้วยหรืออะไร.. กลับกันเลยต่างหาก
เธอรู้สึกราวกับตัวเองเป็นหมูในกรงที่พี่เอลน่าจะประคบประหงมไปยังไงก็ได้.. มองตัวเองราวกับเป็นของเล่นที่.. หากไม่พอใจก็จะเปลี่ยนทิ้ง
เธอก็แค่ข้ามไปโลกอื่นไปหาพวกเลทิเซียที่ดีกว่า.. ซ้ำไปซ้ำมา.. มันรู้สึกราวกับถูกหักหลัง ทั้งที่เชื่อใจมาตลอด
ทั้งที่คิดว่าเป็นพี่ที่แสนสำคัญที่สุดมาตลอด.. แต่สำหรับเธอแล้วพวกเลทิเซียไม่ต่างจากนกในกรงนั่นแหละ
แน่นอนที่ทำให้เลทิเซียคิดแบบนั้นเพราะเธอรู้สึกอคติต่อพี่สาวของตนเอง เป็นธรรมดาที่ความคิดแง่ลบต่ออีกฝ่ายจะถูกยกมาก่อน
มือสองข้างเลทิเซียกำแน่นขึ้น.. แต่เอลน่าก็ยังพูดด้วยรอยยิ้มแห่งความอ่อนโยนต่อไป..
“วันเวลาไหลผ่านไป ในทุกๆ วันที่พวกเราทานข้าวด้วยกัน พูดคุยด้วยกัน เป็นห่วงซึ่งกันและกัน.. ตอนนั้นฉันก็เริ่มที่จะเข้าใจความรู้สึกของเธอขึ้นมาบ้างแล้ว”
“นี่แหละคือความรัก.. ความรักที่มีต่อน้องๆ ของฉัน.. ฉันน่ะ..—”
ในตอนนั้นเองในขณะที่เอลน่ากำลังพูดว่ารัก.. รักและก็รักนั้นความรู้สึกคลื่นไส้ราวกับอยากจะอาเจียนโผล่ออกมาทางใบหน้าของเลทิเซีย
“หุบปาก”
เธอตะโกนดังลั่นจนเสียงของตัวเธอเองดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้อง.. สายตาของเลทิเซียจดจ้องไปที่เอลน่าด้วยความเกลียดชังยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
แม้แต่เวโรเน่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เลทิเซียยังตกใจกับท่าทางของเลทิเซีย.. เลทิเซียปล่อยมือของเวโรเน่พร้อมกับก้าวเดินเข้าไปหาเอลเน่ด้วยความโกรธเคือง
“สำหรับเธอ.. พวกเรามันก็แค่หมูในอวย เรื่องนี้ฉันเข้าใจดีแล้ว.. ฉันเข้าใจแจ่มแจ้งเลยล่ะ”
“ไม่ใช่นะ.. พี่น่ะ.. ทำเพื่อพวกเธอ…นะ”
“หุบปาก หุบปาก.. หุบปาก.. เมื่อกี้เธอก็ยังพูดเองสำหรับพวกเราแล้ว พวกเรามันก็แค่ไอ้พวกบิดเบี้ยวที่น่าสนใจ.. เธอเลยอยากจะปั่นหัวใช่ไหมล่ะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นทำไม เธอถึงไม่ยอมเข้าใจพี่เลยล่ะเลทิเซีย”
เอลน่าตะโกนกลับบ้าง.. ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด.. นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เผชิญหน้ากับเลทิเซีย..
แต่ถึงแบบนั้นไม่ว่าจะพูดกี่ครั้งต่อกี่ครั้งเลทิเซียก็ไม่ยอมเข้าใจเธอเลย.. ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจกันล่ะ ทั้งที่พี่ทำเพื่อเลทิเซียแท้ๆ ..
เลทิเซียที่ได้ยินแบบนั้นเธอก็ตะโกนกลับด้วยความโกรธเช่นกัน
“เข้าใจอะไรล่ะ!! ก็เธอเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือไงกัน”
“ไม่ใช่… ไม่สิ.. พี่ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น.. แต่พี่พูดไม่ได้”
“พูดไม่ได้งั้นเหรอ? พูดอะไรไม่ได้ เธอทั้งเก่งกาจ ทั้งมากความสามารถ ทั้งไร้เทียมทาน พูดไม่ได้ มีอะไรมาห้ามเธอได้ มันน่าตลกสิ้นดี..”
“…พี่น่ะรักพวกเธอจริงๆ นะ รักมากๆ ด้วย”
“รัก..? รัก รัก รักงั้นเหรอ ทั้งที่ตัวเองเอาแต่เห็นแก่ตัวอยากจะหนีไปอยู่กับพวกเราในอีกโลกอยู่แท้ๆ .. ทำไม ทำไมถึงไม่ยอมเลิกคำสาปล่ะ ทำไม ถ้ารักฉันทำไมพี่ถึงไม่ยอมยกเลิกคำสาปล่ะ”
“พี่….ทำไม่ได้…พี่ขอโทษ…”
“ทำไม่ได้? ทำไม่ได้งั้นเหรอ ฮ่าๆๆ ”
เลทิเซียหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเธอเดินเข้าไปหาเอลน่าด้วยความโกรธ เอลน่าก้มหน้าไม่กล้ามองหน้าของเลทิเซียตรงๆ
สีหน้าและน้ำเสียงของเธอในตอนนี้อย่าว่าแต่เถียงว่าใครถูกใครผิดเลย.. ขนาดน้ำเสียงเธอยังสั่นเครือราวกับกำลังจะร้องไห้
เอลเน่เองก็ไม่เคยเห็นเอลน่าร้องไห้มาก่อน.. พอเห็นท่าจะไม่ดีแบบนี้.. เอลเน่จึงตัดสินใจที่จะหยุดเลทิเซียเอาไว้
ริวตะปลดปล่อยพลังเข้าโจมตีใส่เลทิเซีย แน่นอนว่าแม้จะไม่ใช่พลังถึงตาย..แต่สำหรับเลทิเซียในยามนี้เธอคงไม่ทันป้องกันอะไรแน่
“ไม่..”
เอลน่าร้องออกมาเธอใช้พลังของตัวเองที่ไม่ได้ใช้พลังมานานแล้วปะทะกับคลื่นพลังที่มองไม่เห็นของริวตะจนสลายหายไป
แต่ในตอนนี้เองเลทิเซียก็เดินมาหยุดอยู่ต่อหน้าเอลน่า เลทิเซียผลักเอลเน่จนล้มพร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างไป…
บีบคอของเอลน่าเอาไว้…
“ทำไม่ได้ใช่ไหม.. งั้นถ้าหากฉัน.. เพียงแค่ฉัน..ลองหักคอคู่นี้.. คำสาปมันก็หายไปแล้วใช่ไหม..ล่ะ เพียงแค่เธอตายไปสักคน.. เพียงแค่เธอตายไปสักคน”
มือทั้งสองข้างที่จับคอของเอลน่ายังคงสั่นอยู่.. ไม่รู้ว่าสั่นเพราะความกลัวหรือสั่นเพราะความโกรธ..
ดวงตาของเอลน่าค่อยๆ .. เบิกกว้างขึ้น..ใบหน้าของเลทิเซียอยู่ต่อหน้าเธอ.. ไม่มีใครเห็นใบหน้าของเลทิเซียในตอนนี้นอกจากเธออีกแล้ว
ดวงตาของเลทิเซียนั้นมีทั้งความสับสนและเจ็บปวดอยู่ในตัว ..
“พี่…ขอโทษ”
น้ำตาของเอลน่าไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง
“พี่ขอโทษ.. ที่ทำให้เธอ.. ต้องทำสีหน้าเจ็บปวดแบบนี้”
“พี่ขอโทษ..เลทิเซีย”
…………..
[ตอนต่อไปเป็นตอนจบ จะมีความยาวประมาณ 4 ตอนในตอนเดียว — ผู้เขียน]