การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 435
บทที่ 435 – ลูเซียเผ่าอสูรและลูเซียน้องสาว
ทางฝั่งเลทิเซีย..
หลังจากที่คุยกับเลวี่เสร็จเลทิเซียกำลังจะเดินทางกลับไปหาเลวี่นั้นเองเธอก็หยุดชะงักลงขมวดคิ้วเล็กน้อย
เธอยกมือขึ้นในตอนนั้นก็มีอุปกรณ์สื่อสารระยะไกลที่คล้ายโทรศัพท์ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเลทิเซีย เลทิเซียหยิบมันมาใส่หู
ปลายสายก็มีเสียงประหม่าของคนคนหนึ่งดังขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ามันมีอยู่คนเดียวเท่านั้นแหละที่สามารถสื่อสารกับเลทิเซียผ่านของชิ้นนี้
“อ๊ะ.. ติดหรือยังเนี่ย.. อ่า ติดแล้วนี่น่า.. เอ่อ.. เลทิเซียใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง.. ยังรู้สึกแย่อยู่หรือเปล่า?”
เลทิเซียที่เมื่อสักครู่หน้าบึ้งอยู่ พอเห็นความประหม่าและกังวล แต่ยังมีความเป็นห่วงแทรกเข้ามาอยู่ด้วย
พนันได้เลยว่าตอนเธอกำลังจะกดโทรมานั้น เธอคงนั่งคิด นอนคิด กลิ้งคิดอยยู่หลายตลบเป็นแน่แท้
มุมปากเลทิเซียยกยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เธอก็ตอบกลับไปด้วยความอ่อนโยน..
“ฉันไม่เป็นไร.. ไม่ใช่ว่าเธอติดธุระอยู่อย่างงั้นเหรอ?”
เสียงของเธออ่อนโยนกว่าที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด คนที่โทรมาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลูเซียทีเป็นคนมอบอุปกรณ์สื่อสารนี้ให้กับเลทิเซียเอง
อันที่จริงก็เป็นอย่างที่เดา ก่อนที่เธอจะกดโทรออกมาได้เธอกังวลอยู่หลายตลบ
นั่งคิดนอนคิดราว กับสาวน้อยวัยแรกเริ่มที่กำลังกังวลเรื่องความรักอยู่ยังไงยังงั้น ใจหนึ่งก็เป็นห่วงว่าเลทิเซียจะยังรู้สึกแย่
แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวเลทิเซียจะรู้สึกว่าตัวเองจุ้นจ้านเกินไป เพราะไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น อะไรแบบนั้น
ก่อนหน้านี้ตัวเธอไม่ว่าเพราะติดธุระจริงๆ เพราะหลังจากที่เรียนจบมาแล้วเธอก็ทำงานในเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งพร้อมตามหาคนสำคัญสักคนของตัวเอง
แน่นอนว่าเลทิเซียพอจะมองออกแทบจะทันที สำหรับลูเซียคนนี้เลทิเซียเคยเว้นระยะห่างกับเธอเพราะหน้าตาเหมือนน้องสาวตัวเอง
ดังนั้นทั้งสองจึงไม่ได้สนิทกันขนาดที่จะเรียกว่าเพื่อนสนิท แต่จะให้เรียกว่าเพื่อนร่วมชั้นนั้นก็ดูไม่สนิทเกินไปอีก
เอาเป็นว่าเป็นเพื่อนที่สนิทกว่าเพื่อนร่วมชั้น แต่ไม่ใช่เพื่อนซี้พอที่จะตัวติดกันนั่นเอง.. แต่ในตอนนี้สำหรับเลทิเซียแล้วกลับต่างออกไป
ลูเซียแม้ไม่ได้เป็นน้องสาวของเลทิเซียเหมือนลูเซียในโลกเดิม ไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดหรืออะไร
แต่ความจริงที่ว่าเธอคือการฉายซ้ำของประวัติศาสตร์น้องสาวของเธอก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
กล่าวคือ สำหรับเลทิเซียแล้วลูเซียก็เหมือนน้องสาวแท้ๆ ของเธออีกคนนั่นแหละ พอเห็นท่าทางตื่นเต้นกระวนกระวายของเธอ
มันทำให้เธอนึกถึงน้องสาวของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ลูเซียมีนิสัยคล้ายกับเลวี่นิดหน่อย เป็นมิตรกับทุกคนที่เข้ามาหา
แต่บางครั้งก็ดูน่ากลัวแบบแปลกๆ .. แต่ถึงแบบนั้นก็มีมุมที่น่ารักและน่าเอ็นดูอยู่หลายส่วน สำหรับเลทิเซียแล้วลูเซียคือน้องสาวที่แสนสำคัญของเธอ
“ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอกน่า ฉันไม่กัดสักหน่อย”
เลทิเซียรู้สึกเหมือนกับได้รับการเยียวยาเล็กน้อย ไม่ว่าจะต้องเลือกระหว่างเลวี่หรือลูเซีย แม้แต่ฆ่าไอ้พวกเศษสวะเหล่านั้น
มันทำให้เธอรู้สึกราวกับตัวเองติดอยู่ในบ่อโคลนอะไรสักอย่าง การฆ่าเศษสวะสำหรับเธอมันไม่ได้ทำให้เธอหวาดกลัวหรือรู้สึกแย่
เพียงแต่การลงมือทำไปมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเธอเองกกำลังที่จะละทิ้งความเป็นตัวของตัวเองไป
“ฉันไม่ได้กลัวเลทิเซียกัดสักหน่อย.. แค่กลัวว่าเธอจะรู้สึก…. ช่างมันเถอะ เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วแหละ”
อีกด้านของสายก็รู้สึกสับสนเล็กน้อยที่เห็นเลทิเซียเหมือนจะเข้าใจความประหม่าของเธอ แถมเธอรู้สึกประหม่าอยู่คนเดียวแบบนี้
เธอรู้สึกเหมือนตัวเองบ้าบอคอแตกอยู่คนเดียวมันเลยให้เธอรีบปัดหัวข้อสนทนาทิ้งก่อนที่จะพูด
“จริงสิ.. ฉันมีเรื่องจะถามเธออีกสักอย่างด้วย”
“หืม.. อะไรเหรอ?”
“คือว่า… ฉันเห็นในใบประกาศจับน่ะนะ.. แต่ใบหน้าใบประกาศจับมันเหมือนกับฉันทั้งหน้าตาและชื่อเลย เพราะงั้นคนเลยชอบเข้าใจผิดเรื่องของฉัน”
เธอพูดเรื่องของตัวเองขึ้นมา เลทิเซียที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้ทันทีว่าลูเซียที่ถูกประกาศจับคือลูเซียจากจักรวรรดิมังกรที่ถูกอัญเชิญมา
“อันที่จริงตอนแรกฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก.. แต่พอมานึกๆ ดูฉันเป็นเผ่าอสูรไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ เกิดมาทำไมไม่มีใครรู้”
“ฉันเลยคิดว่า.. ตัวเองอาจจะเกี่ยวอะไรกับคนในภาพประกาศจับนั่น.. มันอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าของฉันด้วย”
“เลทิเซียทั้งฉลาดทั้งหัวดี.. ฉันเลยคิดว่าเธออาจจะรู้อะไรเกี่ยวกับเผ่าของฉันน่ะ มีเบาะแสอะไรหรือเปล่า.. อันที่จริงฉันกำลังตามสืบเรื่องนี้อยู่น่ะ”
เธอพูดแบบนั้นจบ ดวงตาของเลทิเซียก็เบิกกว้าง ความคิดของเธอก็เริ่มปะติดปะต่อทุกอย่างเข้ากันอย่างว่องไว..
เดี๋ยวก่อนนะ.. หากลูเซียเป็นตำนานในโลกนี้จนทำให้ลูเซียเผ่าอสูรเกิดขึ้นมาแล้วละก็.. นั่นก็ไม่ใช่ว่า..
หากลูเซียหายไป.. ลูเซียเผ่าอสูรก็จะหายไปด้วยไม่ใช่เหรอ
ไม่สิ เลทิเซียเคาะหัวตัวเองเธอจะมองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้นก็ได้.. เพราะต่อให้ลูเซียกลับโลกเดิมแล้วละก็บางทีลูเซียเผ่าอสูรอาจจะไม่เป็นอะไรเลย
ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้.. จะมองโลกแบบนั้นไม่ได้ คิดสิเลทิเซียคิดสิ ตลอดมาโลกใบนี้เคยเป็นทางเลือกด้านบวกให้เธอหรือยังไงกัน
จริงอยู่ที่ท้ายที่สุดลูเซียเผ่าอสูรก็ต้องตาย.. แต่ถ้าหากลูเซียน้องสาวเธอมีชีวิตอยู่ไปจนแก่เฒ่าได้ ไม่ใช่ว่าเธอจะควบคุมประวัติศาสตร์ของลูเซียได้เหรอ
ใช่แล้ว.. วิธียกเลิกการล้างสมองก็ค่อยๆ หาวิธีคิดเอาก็พอไม่ใช่หรือไงกัน ขอแค่ได้อยู่กับทุกคน.. เลวี่ เวโรเน่ ลูเซียน้องสาวและลูเซียเผ่าอสูร..
เลทิเซียดวงตาเรือนรอง ราวกับมีความหวังบางอย่างขึ้นมา เธอเงยหน้าขึ้น..
“ฉันจะเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง”
เลทิเซียตัดสินใจว่าลูเซียเผ่าอสูรควรทราบเรื่องของตัวเอง แน่นอนว่าเธอเล่าเรื่องของลูเซียและเรื่องที่เธอเป็นน้องสาวของเลทิเซียให้ฟังด้วย
รวมถึงเรื่องของต่างโลก สำหรับเลทิเซียแล้ว ไม่ว่าจะลูเซียที่เป็นน้องสาวหรือลูเซียที่เป็นอสูร สำหรับเธอแล้วมันล้วนไม่ต่างกัน
หากให้เปรียบเทียบลูเซียเผ่าอสูรก็มีทั้งความคิด ความรู้สึกเป็นของัวเอง เปรียบเหมือนฝาแฝดของลูเซียน้องสาวเธอไปแล้ว
แน่นอนว่าสำหรับเลทิเซีย หากเป็นเรื่องของครอบครัวละก็ เธอนั้นจะเคลื่อนไหวก่อนความคิดด้วยซ้ำ
ใช่แล้ว ไม่ต้องสูญเสียทั้งเลวี่ หรือใครเลย.. แค่อยู่ด้วยกันทุกคน ปกป้องทุกคนไว้ก็พอ แม้เธอไม่อาจจะชุบชีวิตคนอื่นๆ กลับมาได้
แต่เรื่องราวทุกอย่างมันก็สอนเธอมาตลอดไม่ใช่หรือไงล่ะ เลทิเซีย
ว่ามองให้เห็นความสุขตรงหน้าซะบ้าง.. ตอนที่เธอปฏิเสธทุกคน ทุกคนกับคอยเคียงข้าง พอตอนที่เธอยอมรับทุกคนกลับหายไปจนหมด
ราวกับว่า.. ทุกครั้ง ทุกครั้งเธอจะหลงลืมที่จะมองเห็นสิ่งสำคัญตรงหน้า.. แต่ครั้งนี้ต่างออกไป.. เธอจะต้องช่วยทุกคนเอาไว้ให้ได้
“ฉัน..คือ..การฉายซ้ำประวัติศาสตร์…?”
“ไม่ต้องห่วง.. เธอน่ะมีความคิด ความรู้สึกเป็นของตัวเอง.. แค่นี้ก่อนนะ ฉันจะไปเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเอง”
เมื่อเล่าทุกอย่างให้ลูเซียเผ่าอสูรฟังเธอดูยังย่อยข้อมูลหลายอย่างไม่ทัน เลทิเซียคิดว่าเธอควรจะอยู่คนเดียวสักพัก
เลทิเซียจึงบอกลาเธอแล้วก็วางสายทันที..
“รอก่อนนะ.. ฉันจะช่วยทุกคนเอ—”
แต่ในตอนนั้นเองเลทิเซียที่กำลังจะก้าวขาไปข้างหน้าก็หยุดชะงักลง ราวกับว่าโลกทั้งใบเกิดการแปรเปลี่ยนบางอย่าง
บางทีคนอื่นนอกจากคนระดับเลทิเซียคงไม่มีใครสัมผัสถึงได้ แต่เลทิเซียสัมผัสได้ชัดเจน ราวกับว่ามีกฎเกณฑ์บางอย่างถูกแปรเปลี่ยน
หรือแนวความคิดอะไรบางอย่างถูกลบออกไป วินาทีนั้น หัวใจของเลทิเซียเต้นระรัวด้วยความสับสนแทบจะทัน
ภายในใจเกิดการคาดเดาบางอย่าง.
“หรือว่า…”
“ไม่นะ.. เลวี่!”
เธอพึมพำและรีบเคลื่อนไหวไปทางเลวี่อยู่และหายวับไปจากจุดเดิมแทบจะในทันที…