บทที่ 422 – เทพผู้สร้างแรกเริ่ม
เลทิเซียลอยเคว้งไปตามท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ด้วยความสับสน ทุกอย่างในมือเธอว่างเปล่าไปจนหมด ราวกับไม่เหลืออะไรแล้ว
แม้แต่ทฤษฎีการเกิดใหม่ ก็ยังเป็นแค่ทฤษฎีปากต่อปากของเทพธิดา ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้จริง
สรุปคือแค่นิทานปรัมปรา.. เลทิเซียลอยเคว้งเดินทางกลับยังโรงเรียนลิเบอร์ด้วยดวงตาเลื่อนลอย..
สถานที่อันเป็นศูนย์รวมความทรงจำล้ำค่าของเลทิเซียทั้งหมดคือโรงเรียนแห่งนี้ ตอนนี้เธอจนปัญญาอย่างแท้จริง
เมื่อกลับมาถึงเลทิเซียก็เพียงแค่เดินกลับไปยังห้องพักของตัวเอง.. เธอยืนมองหน้าประตู ก่อนจะผลักเข้าไป
ในห้องนี้ยังเป็นเหมือนเมื่อวันนั้นไม่มีผิด เหมือนวันที่เลทิเซียจากไปและฝากฝังที่นี่ไว้ให้กับทสึรุ…
ในห้องนี้ไม่มีคนอยู่เพราะโรงเรียนลิเบอร์ปิดทำการไปแล้ว แม้จะยังมีนักเรียนและครูหลายคนที่ปักหลักอยู่ที่นี่แต่ก็ไม่มีกานรับนักเรียนใหม่มานานแล้ว
เพราะผู้อำนวยการหายตัวไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแค่โรงเรียนลิเบอร์หรอก แต่ทั้งห้าโรงเรียนเลยต่างหาก..
ดังนั้นสถานการณ์ของโรงเรียนทั้งห้าในตอนนี้นับว่าย่ำแย่มาก เป็นเหตุผลที่ห้องเลทิเซียไม่เคยมีใครมาแทนที่เลยนั่นเอง
เลทิเซียเดินเข้าไปในห้องที่มีฝุ่นเต็มไปหมด ไม่มีคนรักษาทำความสะอาดมันนานแล้ว อาจจะตั้งแต่ห้าปีก่อนเลยละมั้ง
เลทิเซียไม่ได้พูดเพียงแค่หยิบไม้กวาดขึ้นมากวาด.. พร้อมกับทำความสะอาด โต๊ะ.. เตียง.. เก้าอี้ทีละอย่าง
“วันนี้.. เป็นเวนของเธอนะชาร์ล็อต”
เลทิเซียพึมพำเบาๆ .. แต่เธอรู้ดีว่า ‘ชาร์ล็อต’ ไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว เธออยู่ในที่ที่ห่างไกลออกไปแล้ว..
ที่ที่ เลทิเซียไม่สามารถเอื้อมไปถึงและก็ก้าวไปถึง.. ไม้กวาดในมือหล่นลงบนพื้น น้ำตาใสสะอาดของเธอไหลออกมาอีกครั้ง
เธอถอยหลังไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงของชาร์ล็อต..เธอนอนเงยหน้าขึ้นมองเห็นเพดานที่ชาร์ล็อตเห็นทุกวันตอนตื่นนอน
ทุกอย่างสำหรับเลทิเซียมันช่างดูเลือนรางเกินไป .. ทุกสิ่งทุกอย่าง วันวานเหบ่านั้นราวกับเป็นภาพมายาในห้วงแห่งความฝัน
“ทำไม.. ฉันทำอะไรผิด!”
“ฉันแค่อยากจะช่วยทุกคนเอง.. ฉันอยากทำเพียงแค่นั้นก็เท่านั้น!”
ดวงตาของเลทิเซียเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา เธอกำหมัดแน่นจนเล็กจิกเข้าไปในผิวหนังของตัวเอง..
แต่ในตอนนั้นเอง .. ด้านข้างเตียงของเธอก็พลันมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหนเลทิเซียก็ไม่ทราบ แต่ทว่าเลทิเซียกลับพึ่งรู้สึกตัวเมื่อเงาร่างนั้นกล่าว
“เธอไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก”
พอเสียงนั้นดังขึ้นเลทิเซียก็ตกใจ กระโดดถอยหลังไปยังอีกฟากของเตียง ต้องทราบว่าต่อให้เลทิเซียจะไม่ได้ตั้งใจรับรู้หรือระวังตัว
ไม่ว่าใครบนโลกนี้ก็ไม่สามารถเข้าใกล้เธอได้โดยไม่รู้ตัว ยกเว้นเทพผู้สร้างคนนั้นไว้หนึ่งคน ขนาดมารดาแห่งสรรพสิ่งที่ตอนนี้ไร้พลัง
ก็ไม่ใช่คู่ต่อกรของเลทิเซียเช่นกัน.. ซึ่งหากอีกฝ่ายสามารถโผล่มาด้านข้างเลทิเซียได้โดยที่เธอไม่รู้ตัว หมายความว่าอีกฝ่ายอาจจะอยู่ระดับเดียวกับเทพผู้สร้าง
ซึ่งมันเป็นไปได้ด้วยเหรอ.. พอเงาร่างนั้นเห็นการตอบสนองของเลทิเซียก็พูดขึ้น..
“ใจเย็นก่อน.. ฉันเป็นมิตรของเธอนะ..”
ใบหน้าของอีกฝ่ายค่อยๆ ปรากฏขึ้นต่อหน้าเลทิเซีย คนตรงหน้านี้ค่อยๆ ทำให้เลทิเซียเบิกตากว้าง..
“อเล็กเซีย?”
“ไม่ได้เจอกันนานนะ เลทิเซีย”
เธอคนนี้คืออเล็กเซีย… พอมาคิดๆ ดูแล้วคนคนนี้เคยพูดกับอาจารย์ชิสุที่เป็นถึงมารดาแห่งสรรพสิ่งด้วยความสนิทสนมด้วย
แถมเหมือนจะเรียกมารดาแห่งสรรพสิ่งว่า.. ‘เอลเน่’ ด้วย.. พอคิดถึงชื่อนี้เลทิเซียก็นึกถึงชื่ออีกชื่อหนึ่งที่สำคัญกับเธอมาก..
พี่สาวของเธอก็ชื่อ ‘เอลน่า’ .. อย่างไรก็ตามแต่อเล็กเซียกับเลทิเซียสนิทกันไม่น้อย คนที่สอนให้เลทิเซียรู้จักความเก่งกาจของศาสตร์แห่งการปรุงยา
ก็คือเธอนี่แหละ.. ในชิ้นส่วนเวหาหากไม่ได้ยาที่แอบเรียนมาจากอเล็กเซีย เลทิเซียเองก็ไม่รอดไปจากสถานการณ์นั้นเหมือนกัน
ดังนั้นสำหรับอเล็กเซียแล้ว.. เลทิเซียไม่ได้อคติอะไรมาก.. แต่จากการปรากฏตัวของอีกฝ่ายเมื่อครู่เลทิเซียมั่นใจว่า…
เธอต้องอยู่ระดับเดียวกับเทพผู้สร้าง แถมรู้จักกับมารดาแห่งสรรพสิ่ง.. คนที่เลทิเซียรู้สึกหวั่นเกรงที่สุดในตอนนี้มีเพียงสองคน..
หนึ่งเทพผู้สร้าง..และสองผู้หญิงผมสีทองนั่น แม้จะไม่ได้เจอกันนานแล้วแต่ทุกครั้งที่มองย้อนกลับไปในความทรงจำ ราวกับว่าผู้หญิงผมสีทองคนนั้นมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของเธอด้วย
พอเลทิเซียคิดถึงเธอ เธอเองก็หันมองเลทิเซียเหมือนกัน และเพราะแบบนั้นจึงทำให้เลทิเซียสัมผัสได้ว่าเธอแข็งแกร่งพอๆ กับเทพผู้สร้าง.. หรืออาจจะ..
มากกว่า!
และตอนนี้อเล็กเซียก็ถูกเลทิเซียยกให้เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน.. ดังนั้นไม่แปลกที่เลทิเซียจะระมัดระวังตัว
แถมในขณะเดียวกันหากอีกฝ่ายเก่งระดับนั้น หมายความว่าอีกฝ่ายเองก็น่าจะไม่ได้คิดว่าเลทิเซียเป็นเพื่อนหรอก
เพราะเธอน่าจะรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่เลทิเซียปรากฏราวกับเห็นอนาคตว่าใครจะตายบ้าง กล่าวคือเลทิเซียไม่สามารถตัดสินได้ว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูหรือมิตร
แต่แน่นอนว่าคงไม่ใช่ศัตรู เพราะหากศัตรูเลทิเซียคงตายไปแล้ว และบางทีคงไม่ใช่มิตร หากเป็นมิตรเลทิเซียคงถูกช่วยไว้แล้วล่ะ
กล่าวคือเธอมีเป้าหมายบางอย่างอยู่ในใจตั้งแต่แรกนั่นเอง
“ที่เธอบอกว่าฉันไม่ผิด หมายถึงอะไร”
เลทิเซียกล่าวถามขึ้น อเล็กเซียครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบ
“ก่อนที่จะพูดเรื่องนั้น.. ฉันจะขอบอกสิ่งที่ฉันต้องการก่อน เป้าหมายของฉันเหมือนกับเธอ คือการชุบชีวิตคนสำคัญที่ตายไปแล้ว”
“อาณาจักรของฉันเคยถูกฆ่าล้างบางไปจนหมด สำหรับข้าทุกคนในอาณาจักรล้วนเป็นครอบครัว”
“ดังนั้น สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงแค่นี้”
เธอพูดแบบนั้นพร้อมแสดงสีหน้าเสียใจ ซึ่งเลทิเซียมองออกทันทีว่าเธอไม่ได้โกหก ความเศร้าของเธอเป็นของจริงอย่างแน่นอน
หรือก็คือทั้งคู่มีเป้าหมายเหมือนกัน แต่เลทิเซียก็ยังขมวดคิ้วเล็กน้อย.. พอเห็นอีกฝ่ายบอกความลับตัวเองมาก่อนแบบนี้
นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายต้องการขอร้อง.. และหากจุดประสงค์คือการชุบชีวิตเหมือนกัน บางทีตัวแปรในการชุบชีวิตอาจจะเป็นเธอ
สรุปคือเลทิเซียตอนนี้ถือไพ่เหนือกว่ายังไงล่ะ เลทิเซียไม่ได้ตอบตกลงทันที เธอขมวดคิ้ว…
“อาณาจักรที่ถูกฆ่าล้างบางแล้วเธอเหลือรอด? ฉันคิดว่าโลกนี้ไม่น่ามีอาณาจักรแบบนั้นอยู่นะ”
แน่นอนว่านี่แค่การบลัฟ ถึงจะจริงที่เลทิเซียไม่เคยรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์แบบนั้น กล่าวคือเป็นเรื่องที่เลทิเซียไม่รู้จัก
แต่ถึงแบบนั้นเธอก็บลัฟออกไป เพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่แข็งแกร่งพอๆ กับเทพผู้สร้าง นั่นแน่นอนอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายอาจจะมาจากอีกต้นกำเนิดเลยก็ได้
เพื่อการนั้นเลทิเซียถึงบลัฟออกไป แต่อเล็กเซียก็โบกมือ
“ไม่ต้องอ้อมค้อมไปบลัฟหรอก ฉันจะตอบทุกคำถามที่เธอถาม.. เพราะเรื่องนี้สำคัญกับฉันมาก.. ฉันมาจากอีกต้นกำเนิดที่แท้จริงเหรอ? คำคอบคือทั้งใช่และไม่ในเวลาเดียวกัน”
“อย่างที่เธออาจจะรู้มาก่อนว่า ต้นกำเนิดนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน.. แล้วก่อนหน้านั้นก็มีต้นกำเนิดที่มีมาก่อนแล้ว”
“แถมก่อนหน้านั้นยังมีสงครามล้างบางต้นกำเนิด ของไอ้คนที่ชื่อโรสนั่นกับเอลเน่จนโลกพังไปจนหมด”
“แต่หารู้ไม่ว่าก่อนนั้นยังมีต้นกำเนิดแห่งนี้ก่อนอีกที.. นั่นแหละคือต้นกำเนิดที่แท้จริงที่ซึ่งฉันดำรงอยู่ อาณาจักรของฉันถูกฆ่าตายไปจนหมด”
“ฉันหาวิธีชุบชีวิตมามากมาย.. แต่ทุกอย่างก็ไม่สำเร็จ ซึ่งเธอก็น่าจะเข้าใจวังวนแห่งความชั่วร้ายนั้นดี ฉันกับเธอน่ะเหมือนกัน”
“เพราะแบบนั้นฉันถึงสอนเรื่องปรุงยาให้เธอไง”
ดวงตาของทั้งสองผสานกันราวกับสามารถมองทะลุถึงจิตใจได้เลทิเซียไม่ใช่คนโง่ เธอรู้ว่าสิ่งที่อเล็กเซียพูดมาเป็นความจริงทั้งหมด..
เลทิเซียเงียบลงเล็กน้อย พวกเธอต่างรู้ถึงความเจ็บปวดเหล่านั้นดี…
เลทิเซียจึงพยักหน้า
“เข้าใจแล้ว..”
เมื่อเลทิเซียตอบแบบนั้นอเล็กเซียก็ยิ้มพร้อมกับพูด
“อืม.. ต่อจากเดิมนะ.. ความผิดทุกอย่างมันไม่ใช่ของเราหรอกนะ.. เพราะโลกนี้น่ะมี ‘คำสาป’ อยู่ต่างหาก”
“คำสาปที่สร้างขึ้นโดยเทพผู้สร้างแรกเริ่ม.. เธอรู้ตัวหรือไม่ว่าเทพผู้สร้างแรกเริ่มในตอนแรกหาได้มีเพียงหนึ่งคน.. แต่มีถึงสองคน”
“คนหนึ่งมอบความรักให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในต้นกำเนิดแห่งนี้ จนส่งผลให้เทพอีกคนเกิดความอิจฉาสิ่งมีชีวิต.. ในตอนแรก.. เธอก็เพียงแค่สร้างอารมณ์ด้านลบ ความมืดมัวในจิตใจของสิ่งมีชีวิต”
“แต่ความอิจฉานั้นนับวันยิ่งเพิ่มทวีคูณ.. จนท้ายที่สุดเธอได้สาปให้กับต้นกำเนิดที่แท้จริงแห่งนี้ว่า.. ‘จงอย่าได้เกิดใหม่อีกเลย’ นับแต่นั้นมา..”
“โลกนี้ก็ไร้การถือกำเนิดใหม่และการดับสลาย ทำให้ต้นกำเนิดแห่งนี้ไม่ว่าจะรีเซตไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ดวงวิญญาณก็จะติดอยู่ในวังวนแห่งการเกิดดับ ดวงวิญญาณเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบ”
“นั่นเป็นเหตุผลที่เราไม่สามารถชุบชีวิตคนที่ตายได้ เพราะพวกเขาเมื่อตายจะถูกนำสู่ปรภพและทำให้เป็นวิญญาณอันว่างเปล่า”
“สรุปคือ.. สิ่งที่พวกเราต้องทำคือทำลายคำสาปนั้นทิ้งซะ!!”
เธอกล่าวออกแบบนั้น แต่เลทิเซียก็พูดขึ้น
“เดี๋ยวก่อน.. ถ้าคำสาปมันถอนง่ายขนาดนั้นไม่ใช่ว่ามันควรโดนถอนไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ก็มันไม่ได้ง่ายน่ะสิ”
“หมายความว่าไง?”
“วิธีที่จะถอนคำสาป.. ได้มีเพียงวิธีเดียวคือการ.. สังหารผู้ร่ายคำสาปซะ..ซึ่งบนโลกนี้ไม่มีมารดาแห่งสรรพสิ่งแล้วไม่มีใครที่อยู่ในระดับเดียวกับเทพผู้สร้างแรกเริ่มได้แล้วล่ะ.. ยกเว้นเธอน่ะ เลทิเซีย!”
พอเลทิเซียได้ยินแบบนั้น เธอก็ขมวดคิ้ว เลทิเซียมั่นใจว่าเธอไม่ได้แข็งแกร่งกว่าเทพผู้สร้างอย่างคนที่ชื่อริวคุงนั่น
ให้ไปฆ่าเทพผู้สร้างแรกเริ่มที่เก่งกว่านั้น.. จะไปทำได้ยังไงล่ะ.. แต่เหมือนอเล็กเซียจะรู้ความคิดของเธอ
“ไม่ต้องห่วง.. เธอทำได้แน่… เพราะเทพผู้สร้างแรกเริ่มที่เป็นด้านลบน่ะเป็นคนที่เธอรู้จักดียิ่งกว่าใคร..และเธอก็เป็นคนที่คนคนนั้นรักมากที่สุดเช่นกัน”
“ฉันกำลังหมายถึง.. ‘เอลน่า’ พี่สาวในโลกเดิมของเธอน่ะเลทิเซีย”
MANGA DISCUSSION